หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 311 – ผูกจิตวิญญาณสำเร็จ
ตอนที่ 311 – ผูกจิตวิญญาณสำเร็จ
ในห้องฝึกตน โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิ
พลังวิญญาณในตานเถียนเต็มเปี่ยมมาก ในนี้มีพลังวิญญาณหยางไม่น้อย
ผ่านการฝึกตนอย่างยาวนานเช่นนี้ พลังวิญญาณหยางเหล่านี้ได้หลอมรวมเข้ากับตานเถียนของนางอย่างราบรื่นแล้ว ผสมเป็นเนื้อเดียวกับพลังวิญญาณอินของนาง ก่อเกิดเป็นวัฏจักร
หลังจากก่อเกิดตาน ตานเถียนของนางขยายใหญ่ขึ้นมาก นี่ทำให้พลังวิญญาณอินหยางทั้งสองมีที่ว่างให้ผสมผสานกัน พลังวิญญาณหยางที่ได้รับมาจากฉินซีทำให้ศาสตร์แห่งต้นกำเนิดของนางได้รับการพัฒนาอย่างแท้จริง ในกายปรากฏต้นกำเนิดอันแท้จริง
โคจรรอบใหญ่เสร็จสิ้น เก็บพลังวิญญาณเข้าสู่ตานเถียน โม่เทียนเกอลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องฝึกตน
นอกห้อง สายลมพัดโชยเบา ๆ ใบไผ่เสียดสีดังซู่ ๆ เฟยเฟยร้อง “จิ๊ดอี๊ด” โถมเข้ามา
เสี่ยวหั่วไปฝึกตนอีกแล้ว ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้มีเพียงพวกมันสองสัตว์วิญญาณ เฟยเฟยรักการเล่นสนุก ไม่มีเพื่อนเล่น รอนางออกมาอย่างไม่ง่ายดายเลย ดีใจไม่จบไม่สิ้น
นางยิ้มบาง ๆ เล่นกับเฟยเฟยสักครู่ สุดท้ายให้โอสถมันหลายเม็ดแล้วจึงปลอบโยนมัน ให้มันกระโจนใส่ผีเสื้อเล่นกับตัวเอง
พูดไปแล้วก็ประหลาด ถึงจะบอกว่าหญ้าวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนางปล่อยให้สัตว์วิญญาณสองตัวนี้กินมาตลอด แต่พวกมันคล้ายจะชื่นชอบโอสถมากกว่า หรือว่าโอสถมีรสชาติอยู่บ้าง? คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้ รู้สึกว่าตนเองเหมือนจะเบื่อหน่ายนิดหน่อย หันหน้าไปมองดูเรือนไม้ไผ่ที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดอย่างหักห้ามอารมณ์ไม่ได้
นี่คือห้องฝึกตนของฉินซี เขากักตนผูกจิตวิญญาณมาได้สามปีแล้ว ห้องฝึกตนของเขาสงบเงียบมาโดยตลอด มีเพียงพลังวิญญาณที่โคจรไม่หยุดนิ่ง ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
เวลาช่วงนี้ โม่เทียนเกอเข้าใจเรื่องราวหนึ่ง สิ่งที่คนกลัวมิใช่ไม่ได้รับ ทว่าเป็นได้รับแล้วสูญเสีย ก่อนหน้านี้นางตัวคนเดียว เวลาที่ไม่มีห่วงกังวล กักตนห้าปีหกปีหรือแม้กระทั่งถึงสิบกว่าปีก็ไม่รู้สึกว่ากระไร แต่เคยชินกับการใช้ชีวิตร่วมกับเขาแล้ว จู่ ๆ สูญเสียไปก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าในใจเอาแต่คิดถึงเรื่องอะไรอยู่
ค้นพบจุดนี้แล้วโม่เทียนเกอกลับเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้รู้สึกรบกวนจิตใจเลย ก่อนหน้านี้นางกังวลอยู่เสมอว่าได้รับแล้วถ้าเกิดภายหลังสูญเสียไปอีกจะทำอย่างไร จึงห่วงเรื่องการได้รับสูญเสีย อันที่จริงสูญเสียไปแล้วจะเป็นอันใดไปเล่า? ทะนุถนอมช่วงเวลานั้นที่ได้รับ สูญเสียไปแล้วก็ค่อย ๆ ไปทำความคุ้นเคยอีก นี่จึงเป็นสภาพจิตใจที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง หากหวาดกลัวว่าจะสูญเสียจึงไม่กล้าจะได้รับ นั่นกลับเป็นการบิดเบือนจนเกินไป ไม่อาจมองทะลุถึงความเป็นจริง
สามปีแล้ว นางยังไม่ได้ฝึกตนถึงก่อเกิดตานขั้นกลาง แต่ก็อยู่ห่างจากก่อเกิดตานขึ้นต้นจุดสูงสุดไม่ไกล
ผลประโยชน์ที่นางได้รับในการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ไม่ได้ด้อยกว่าฉินซี ตอนที่ยังไม่ก่อเกิดตาน ฉินซีเคยรักษาบาดเจ็บให้นาง ด้วยเหตุนี้นางจึงได้รับพลังวิญญาณหยางมาหนึ่งส่วน รู้ว่าอันใดคือต้นกำเนิด หลังจากพวกเขาฝึกตนร่วมสัมพันธ์ อินหยางผสมกลมกลืน นางได้รับพลังวิญญาณหยางมากมายในคราเดียว ศาสตร์แห่งต้นกำเนิดสามารถทำงานอย่างแท้จริง
เดิมนางนึกว่าหลังจากตนเองได้รับศาสตร์ซู่หนี่ต้นกำเนิด ความเร็วในการฝึกตนนั้นเร็วมากแล้ว ภายหลังในภายก่อเกิดต้นกำเนิดอย่างแท้จริงจึงได้ค้นพบว่า นี่จึงเป็นความหมายแท้จริงของศาสตร์แห่งต้นกำเนิด
ห้าธาตุขับเน้น อินหยางผสมกลมกลืน วัฎจักรเวียนวน ก่อกำเนิดไม่สิ้นสุด ความโกลาหลแรกเริ่มจึงเริ่มต้น ชีวิตจึงอุบัติ
สมมติจะพูดว่า เดิมทีนางยังต้องดูดซับพลังวิญญาณหยางจากโลกภายนอกจึงจะสามารถเพิ่มระดับการฝึกตน อย่างนั้นในตอนนี้ ตัวนางก็สามารถอาศัยต้นกำเนิดในกายให้ผลิตพลังวิญญาณออกมาได้แล้ว
แน่นอนว่าความเร็วในการผลิตพลังวิญญาณนี้ไม่อาจจะเร็วมาก ถ้าหากอยากจะฝึกตนตามปกติ นางยังต้องดูดซับพลังวิญญาณจากภายนอกแล้วแปรเปลี่ยนเป็นของตน แต่ว่าการที่สามารถอาศัยร่างกายตนเองผลิตพลังวิญญาณได้ก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังในโลกฝึกตนแล้ว ตอนที่นางดูดซับพลังวิญญาณ ในร่างก็กำลังผลิตพลังวิญญาณ ฝึกตนไปเช่นนี้ก็จะเดินนำหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ นี่จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์ที่สุด!
แต่ไม่รู้ว่าฉินซีหลังจากได้รับพลังวิญญาณอินของนางแล้วก็เป็นเช่นนี้หรือไม่ พูดตามเหตุผล วิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์ของเขาในเมื่อต้องการวัฏจักรสามปราณเช่นนั้น หลักการใกล้เคียงกับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดของนาง ก็น่าจะพอ ๆ กันจึงจะถูก
คิดถึงตรงนี้ นางหันเหสายตามองไปที่ห้องฝึกตนของฉินซี
ถึงแม้ฉินซีจะไม่ได้ออกมาเลย แต่อาศัยความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ นางรู้ว่าครั้งนี้เขากักตนได้ราบรื่นมาก อาจจะสามารถเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่ได้อย่างราบรื่นจริง ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาต้องเสียเวลานานเท่าใด
เวลากักตนผูกจิตวิญญาณปกติจะนานกว่าก่อเกิดตาน แต่ทุกผู้คนแตกต่างกัน จากสองปีถึงสิบปี ก่อนที่ฉินซีจะกักตน พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม พูดตามหลักเหตุผลเป็นเรื่องที่น้ำไหลถึงก่อเกิดคูคลอง ต้องไม่เสียเวลานานเกินไปถึงจะถูก
คิดอย่างนี้ โม่เทียนเกอกังวลใจนิดหน่อยขึ้นมาอีก สามปีแล้ว เขายังไม่ออกมา ถึงขนาดไม่มีการขยับเขยื้อน หรือว่าพบกับปัญหายุ่งยากอะไร?
ไม่ว่าฉินซีจะเจอกับปัญหายุ่งยากหรือไม่ นางในตอนนี้ล้วนไม่อาจทำอันใด ช่วงเวลาผูกจิตวิญญาณห้ามรบกวนเป็นอันขาด สิ่งที่นางสามารถกระทำมีเพียงการรอคอยอยู่ข้างนอก อย่างน้อยพลังวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้สงบนิ่ง ตอนนี้เขาน่าจะไม่เป็นไร
โม่เทียนเกอระงับจิตใจ ยังคงใช้ชีวิตลืมตาก็หลอมยาหลับตาก็ฝึกตน ฝึกตนอย่างไม่รู้วันรู้เดือน พริบตาเดียว ผ่านไปอีกสองปีแล้ว……
วันนี้ โม่เทียนเกอที่อยู่ในการฝึกตนลืมตาขึ้นมากะทันหัน
โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนกับจิตใจของนางเชื่อมโยงกัน นางเพิ่งจะสัมผัสได้ว่าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจู่ ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
นางลุกขึ้นยืน เปิดประตูเปิด ตะลึงงันไป
เพียงเห็นว่าพลังวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนซึ่งเดิมทีเข้มข้นมากแล้วควบแน่นจนกลายเป็นมุกวิญญาณดั่งหยาดน้ำค้าง แสงวิญญาณส่องสว่างไปทั่วแผ่นฟ้า มุกวิญญาณนับไม่ถ้วนหลั่งไหลไปทางห้องฝึกตนของฉินซี หมุนวนรอบเรือนไม้ไผ่ แสงอันส่องประกายใสกระจ่างวิบวับ เห็นแล้วรอบบริเวณงดงามดุจดั่งแดนเซียน
โม่เทียนเกอจำได้ว่าตอนที่เสวียนอินซือซูผูกจิตวิญญาณ ยอดเขาชิงฉวนก็เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ อดเผยรอยยิ้มออกมามิได้ เช่นนี้ฉินซีผูกจิตวิญญาณใกล้จะสำเร็จแล้ว! ลำดับถัดไปขอเพียงเขาสงบจิตใจออกมาจากในจิตมารก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่!
คิดถึงตรงนี้ ในใจนางเต็มไปด้วยความยินดี ภาวนาอย่างลับ ๆ ให้ฉินซีข้ามผ่านด่านทดสอบสุดท้ายได้ เลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ เขาล้มเหลวมาสามครั้งแล้ว ประสบกับความผิดหวังจนเกินพอ หากยังไม่สำเร็จจะต้องจิตใจหดหู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า แสงวิญญาณไม่กระจายหายไปหลายเดือนเต็ม ๆ
ในหลายเดือนนี้ โม่เทียนเกอก็เฝ้าอยู่นอกห้องฝึกตน ไม่จากไปแม้ชั่วขณะ
แรกเริ่ม ห้องฝึกตนของฉินซีเพียงดึงดูดมุกวิญญาณเหล่านี้มาช้า ๆ ภายหลังความเร็วยิ่งมายิ่งเร็ว ค่อย ๆ กลายเป็นวังวนใหญ่หนึ่งลูก ในวังวนนี้มุกวิญญาณนับไม่ถ้วนไหลบ่าเข้าไป พร้อมกันนั้น แรงกดดันก็ยิ่งมายิ่งแรงกล้า โม่เทียนเกอรู้สึกว่าตนเองต้องใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณอย่างสุดกำลังจึงพอจะสามารถฝืนจิตใจให้มั่นคงอยู่ในในแรงกดดันนี้
แรงกดดันยิ่งแรงกล้า ในใจนางยิ่งรู้สึกมีความสุข นางมีศาสตร์หลอมจิตวิญญาณอยู่กับตัว ถึงฉินซีจะก่อเกิดตานเต็มขั้นก็ไม่อาจใช้แรงกดดันกดนางลงไปได้ นอกเสียจากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ – นี่หมายความว่าฉินซีอยู่ห่างจากการผูกจิตวิญญาณสำเร็จไม่ไกลแล้ว!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในห้องฝึกตน ฉินซีค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ปี สำหรับเขายาวนานเหมือนชั่วชีวิต ครั้งนี้ ในที่สุดเขาเดินออกมาจากในจิตมารได้สำเร็จแล้ว
เขายิ้มบาง ๆ ก้มหน้าลงมองดูมือของตนเอง
ในที่สุดเขาผูกจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว!
ลุกขึ้นยืน พลังวิญญาณเวียนวนรอบกาย คล้ายกับนกสาลิกาวิญญาณโบยบิน ร่างกายเต็มไปด้วยพลัง พลังที่จะเคลื่อนภูเขาผลาญทะเล นี่ก็คือความรู้สึกของการผูกจิตวิญญาณ……
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก ๆ ลืมตาขึ้นมาใหม่ มุมปากแต้มรอยยิ้ม ผลักประตูห้องฝึกตนเปิดช้า ๆ
สี่ตาประสานกัน
การพรากจากไม่กี่ปี สำหรับเขาคล้ายชั่วชีวิต เขามองดูคนตรงหน้าอย่างละโมภ ไม่ละทิ้งสีหน้าเล็กน้อยใด ๆ
จดจำได้ว่าในความฝันของจิตมาร เขาผูกจิตวิญญาณสำเร็จ ร้อยปีให้หลังนางก็เข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณใหม่ สองคนจูงมือท่องโลก ฝึกมรรคาเซียนด้วยกัน โด่งดังในเทียนจี๋ ก้าวสู่แปลงเทพด้วยกันอีก ครั้งนี้เขาลุ่มหลงอยู่ไม่นานก็กระโดดออกมาจากข้างใน ขอเพียงเขาลืมตาขึ้น นี่ก็เป็นชีวิตแท้จริงของพวกเขาแล้ว จะต้องการมายาด้วยเหตุใด
โม่เทียนเกอไม่พูดไม่จา ฉินซีก็ไม่
พวกเขาเพียงเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ โอบกอดเงียบ ๆ
เพราะว่าจิตวิญญาณใหม่นี่ พวกเขาแทบจะจากกันไกลไปคนละโลก วันนี้ในที่สุดก็ได้สมปรารถนา
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เฝ้าอยู่ที่นี่หลายเดือนโดยไม่ขยับสักนิด น้ำเสียงของนางแหบเครืออยู่บ้าง “ยินดีด้วยเจ้าค่ะโส่วจิ้งซือซูที่ผูกจิตวิญญาณเลื่อนระดับ”
ฉินซีก็ยิ้ม อดก้มหน้ากัดนางมิได้ “ซือซู หืม?”
“ไม่ใช่หรอกหรือ” โม่เทียนเกอเขย่งปลายเท้ากัดเขาด้วย แขนทั้งคู่โอบรอบตัวเขา เอ่ยล้อเล่นว่า “เลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่ ตำแหน่งประมุขเต๋า แต่นี้ต่อไปจะไม่นับว่าอยู่ในสังกัดอาจารย์แล้ว โส่วจิ้งซือซู ชื่อเสียงว่าคนแก่กินหญ้าอ่อนนี้ ท่านหนีไม่พ้นหรอก!”
“เช่นนั้นก็หนีไม่พ้นเถอะ” ฉินซีโอบเอวนาง ออกแรงยกนางขึ้นสูง จุมพิตลงไป “ไม่เคยผมขาวตัดชาดแดง กลัวอันใดกับดอกหลีกดไห่ถัง*……”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จุมพิตอันยากจะหายใจในที่สุดได้ยืนยันการคงอยู่ของกันและกัน ฉินซีกอดโม่เทียนเกอนั่งลงบนขั้นบันไดที่นางนั่งอยู่ก่อนหน้านี้
“เจ้ารออยู่ข้างนอกนานเท่าไหร่”
“ไม่นานมาก จำไม่ได้แล้ว”
“จำไม่ได้?” ฉินซีก้มหน้า “จำไม่ได้จริง ๆ หรือว่าไม่อยากบอกข้า”
โม่เทียนเกอกลอกตา ยิ้มหนึ่งที “ในเมื่อรู้ว่าไม่อยากบอกท่าน เช่นนั้นยังจะถามข้าทำอะไร”
“……ก็ได้” ฉินซีถอนหายใจ รู้ว่านางไม่อยากพูด เช่นนั้นจะต้องถามไม่ได้ความ หันเหหัวเรื่องไปว่า “ข้าผูกจิตวิญญาณใช้เวลานานเท่าไหร่”
“ห้าปี” โม่เทียนเกอถามว่า “ท่านผูกจิตวิญญาณราบรื่นดีหรือ”
ฉินซีพยักหน้าอย่างมีความสุข “ราบรื่นมาก แทบจะไม่มีจุดหักเห – แต่ว่าตอนที่หลอมรวมพลังวิญญาณอินเสียเวลานานมาก ดังนั้นถึงใช้เวลาห้าปี”
“ราบรื่นก็ดี” โม่เทียนเกอเงียบไปสักครู่ จู่ ๆ เอ่ยว่า “เวลานั้น ข้ากลัวจริง ๆ ว่าท่านหลังจากทำลายตานแล้วเกิดปัญหา……” ทำลายตานทว่าไม่อาจผูกจิตวิญญาณสำเร็จ เช่นนั้นระดับการฝึกฝนทั้งร่างก็จะสูญเปล่า ก่อเกิดตานล้มเหลวสามารถทดลองไปเรื่อย ๆ ผูกจิตวิญญาณกลับไม่เป็นเช่นนี้ อันตรายของการล้มเหลวใหญ่หลวงเกินไป
ในเวลาช่วงนี้ นางก็เคยคิดว่าหากเขาล้มเหลวแล้วระดับการฝึกตนเสียหายจะทำอย่างไร คิดถึงภายหลัง ได้แต่เชื่อมั่นอย่างหนักแน่น จิตวิญญาณใหม่เป็นเส้นทางที่พวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนที่ใฝ่ฝันถึงมหามรรคาจำเป็นต้องเดิน หรือว่ามีอันตรายว่าตานแตกหักเสียหายแล้วจะไม่ไปผูกจิตวิญญาณหรืออย่างไร? รักกันปกป้องกันไม่ใช่ทำให้พวกเขากลายเป็นขี้ขลาดตาขาว ทว่าต้องยิ่งเดินไปอย่างกล้าหาญ
“จะได้อย่างไรเล่า” ฉินซียิ้มบาง ๆ จับจ้องนาง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “กลายเป็นมหามรรคาเซียน ข้าต้องเดินไปกับเจ้า”
เขาเอ่ยคำหวานน้อยนัก แต่มีคำสาบานมากมายซ่อนอยู่ในถ้อยคำอย่างนี้ โม่เทียนเกอยิ้มแล้ว เอ่ยว่า “วางใจเถอะ! อย่างมากที่สุดหนึ่งร้อยปี ข้าก็จะผูกจิตวิญญาณ จากนั้น แปลงเทพด้วยกัน!”
“หนึ่งร้อยปี……” เขามองนางตาไม่กะพริบ แต่จู่ ๆ หัวเราะขึ้นมา “ร้อยปีให้หลัง เจ้ายังไม่ถึงสองร้อยปีเลย มั่นใจขนาดนี้เลยหรือว่าตนเองจะกลายเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เยาว์วัยที่สุดของเทียนจี๋”
“แน่นอน!” โม่เทียนเกอพูดอย่างหน้าไม่แดงสักนิด “ข้ามีคุณสมบัติที่หลายพันปียากจะพบพานสักคน ยังมีวาสนาที่เทียนจี๋หลายหมื่นปีก็ไม่เคยมี เหตุใดจะไม่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เยาว์วัยที่สุดของเทียนจี๋เล่า”
……………………………….
* จากกลอนที่โด่งดังมาก ๆ โดยซูซื่อของจีน (พยายามหาคำแปลที่สละสลวยจะลอก แต่หาไม่เจอเลยแปลเอง 555)
十八新娘八十郎,เจ้าสาวสิบแปด เจ้าบ่าวแปดสิบ
苍苍白发对红妆。 ผมขาวตัดชาดแดง
鸳鸯被里成双夜,ยวนยางร่วมสัมพันธ์ในผ้าห่ม
เรื่องราวคือมีขุนนางผู้หนึ่งอายุแปดสิบแล้วแต่งเมียน้อยสิบแปดเข้าบ้าน คนถามว่ารู้สึกยังไงตาแก่ยังแต่งกลอนอวดซะได้ ซูซื่อที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาเลยแต่งกลอนแซะ
เสียงร้องของเฟยเฟยสร้างความปวดหัวให้เราตลอด จืออู๋ คือร้องยังไง ต้องแปลว่าอะไรคะ…….. ตัว “จือ” เห็นเขียนว่าเป็นเสียงร้องของหนูหรือนก หนูกับนกร้องเสียงเดียวกัน??