หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 318 – ความเกี่ยวข้องเช่นนี้
ตอนที่ 318 – ความเกี่ยวข้องเช่นนี้
เวลานี้ ในที่สุดสุ่ยหลินโปลืมตาขึ้นมาแล้ว
คนแรกที่นางเห็นคือเยี่ยเจินจี เอ่ยเสียงแผ่วว่า “เจ้าทำไมอยู่ที่นี่อีกแล้ว ไม่ไปฝึกตนล่ะ” ในน้ำเสียงของนางเจือการต่อว่าบางเบา ทำให้โม่เทียนเกอนึกถึงตนเองตอนก่อนหน้านี้ที่ก็เร่งให้เยี่ยเจินจีฝึกตนอย่างนี้เหมือนกัน อดยกมุมปากยิ้มบาง ๆ ไม่ได้
เยี่ยเจินจีขึ้นหน้า นั่งลงข้างกายนาง เอ่ยเสียงอ่อนว่า “หลินโป ท่านป้าข้ากับซือฟุในที่สุดก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว มา เจ้าก็มาพบพวกท่าน”
สุ่ยหลินโปคล้ายกับว่าตอนนี้จึงสังเกตเห็นว่าในห้องมีคนอื่น
ถึงแม้โม่เทียนเกอและฉินซีจะเก็บงำลมปราณ แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานและผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ นางถึงกับสัมผัสไม่ได้สักนิด ทราบได้ว่าจิตหยั่งรู้จะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกันจึงเฉื่อยชาได้ถึงเพียงนี้
นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างใคร่รู้ กวาดตามองฉินซีก่อน จากนั้นสายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าโม่เทียนเกอไม่ขยับเขยื้อน
นี่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกว่าน่าสนใจ สตรีทุกนางไม่ว่าจะเป็นปุถุชนหรือว่าผู้ฝึกตน พอเห็นพวกเขาสองคน สายตาจะต้องหยุดอยู่ที่ใบหน้าฉินซี คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้เห็นเขาแล้วกลับเพียงแค่กวาดตาผ่าน แต่กลับหยุดสายตาอยู่ที่ใบหน้าตนเอง นางคาดเดาในใจ สตรีนางนี้หากมิใช่จิตใจดียิ่ง ในสายตาไม่มีความอัปลักษณ์งดงามอยู่แต่แรก ก็จะต้องมีเล่ห์กลล้ำลึกจึงประพฤติตนเช่นนี้
แต่พริบตาถัดมา ปฏิกิริยาของสุ่ยหลินโปกลับพลิกคว่ำการคาดเดาของนางแล้ว
รอยแดงจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าผอมแห้งไร้สีเลือด สีหน้าของสุ่ยหลินโปค่อย ๆ ตื่นเต้นขึ้นมา ถึงกับไม่ใส่ใจแม้แต่มารยาทเข้าพบ ร้องไปทางโม่เทียนเกอว่า “ท่านเซียน ท่านคือท่านเซียนหรือ”
วาจานี้เปล่งจากปาก ไม่เพียงโม่เทียนเกอและฉินซีตะลึง แม้แต่เยี่ยเจินจียังตะลึงไป ถามนางอย่างประหลาดใจว่า “ท่านเซียนอะไร หลินโปเจ้าพูดอะไร”
สุ่ยหลินโปเผยแววตาคาดหวัง จับจ้องโม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ห้าสิบแปดปีก่อน ชายฝั่งตงไห่ เด็กน้อยสกุลสุ่ย ท่านเซียน ท่านยังจำได้ไหมเจ้าคะ”
โม่เทียนเกออึ้งไป ในสมองค่อย ๆ ปรากฏเด็กหญิงน้อยหน้าเหลืองเล็กแกร็นที่เจือความคาดหวังเอาไว้นางนั้น ห้าสิบแปดปีก่อน ชายฝั่งตงไห่ นางมอบวิชาเวทสามัญเล่มหนึ่งให้เด็กหญิงเล็ก ๆ นางหนึ่ง ให้นางเดินบนเส้นทางเซียน
“ถึงกับเป็นเจ้า –”
“ท่านคือท่านเซียนจริง ๆ!” สุ่ยหลินโปดีใจจนหลั่งน้ำตา รวบรวมเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาคุกเข่า “สุ่ยหลินโปขอบพระคุณท่านเซียนมากเจ้าค่ะสำหรับความเมตตาที่มอบหนังสือให้ปีนั้น หากไม่มีท่านเซียน วันนี้ก็ไม่มีสุ่ยหลินโปแล้ว”
“เจ้าลุกขึ้นก่อน” โม่เทียนเกอยกมือขึ้นเล็กน้อย พลังวิญญาณไร้สภาพสายหนึ่งดันสุ่ยหลินโปกลับขึ้นเตียง
ขณะนี้เยี่ยเจินจีมีปฏิกิริยาขึ้นมาแล้ว มองสุ่ยหลินโปอย่างไม่คาดฝัน แล้วมองโม่เทียนเกอ “หลินโป ท่านป้าข้าก็คือท่านเซียนที่มอบวิชาเวทให้เจ้าคนนั้นที่เจ้าพูดหรือ?!”
สุ่ยหลินโปพยักหน้า เอ่ยอย่างดีใจว่า “ที่แท้ท่านเซียนก็คือท่านป้าของเจ้าหรือ มิน่าเล่าข้ารู้สึกตลอดเลยว่าเสื้อผ้าของโรงเรียนเสวียนชิงกับที่ท่านเซียนสวมใส่คล้ายกันมาก……” ปีนั้นนางยังมีอายุเพียงแปดขวบ เรื่องราวมากมายล้วนจดจำได้อย่างเลือนราง เพียงจดจำหน้าตาของโม่เทียนเกอได้อย่างคร่าว ๆ หากมิใช่ว่าหลายปีนี้รูปโฉมของโม่เทียนเกอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เสื้อผ้าที่ใส่ก็เหมือนตอนเริ่มแรก เกรงว่านางก็จำไม่ได้
เดิมทีเคยคิดว่าผู้ฝึกตนสตรีนี้มาจากตงไห่ ไม่แน่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนาง คาดไม่ถึงว่าความเกี่ยวข้องนี้มิใช่ตื้นเขิน โม่เทียนเกอก็ถอนทอดใจอยู่บ้าง ปีนั้นเป็นเพียงการลงมือตามอำเภอใจ ไฉนเลยจะรู้ว่าจะสร้างผู้ฝึกตนสตรีสร้างฐานพลังนางนี้ในวันนี้ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับเจินจีมิใช่ตื้นเขิน ทราบได้ว่าบนโลกนี้มีเรื่องบังเอิญเหมือนนิยายจริง ๆ
เรื่องเล็กอย่างนี้ ปีนั้นนางไม่เคยเล่าเลย ฉินซีก็ไม่รู้ เห็นท่าทางของพวกเขาก็ถามนางว่า “เป็นไร เป็นสหายเก่าของเจ้าหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ยิ้มว่า “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ปีนั้นข้ารับคำสั่งซือฟุออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ไปถึงชายฝั่งของตงไห่ เด็กคนนี้บนร่างมีรากวิญญาณ ปีนั้นบิดามารดานางขอร้องข้า ข้าก็มอบวิชาเวทฝึกตนส่วนหนึ่งในนางไปง่าย ๆ คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่านางจะฝึกตนถึงระดับนี้แล้วในวันนี้”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” ฉินซีพยักหน้า
เห็นสายตาของสุ่ยหลินโปตกลงบนร่างฉินซี ไม่รู้ควรจะเรียกขานอย่างไร เยี่ยเจินแนะนำจากด้านข้างว่า “หลินโป นี่ก็คือซือฟุข้าอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง – อ้อ ไม่ใช่ ซือฟุเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่แล้ว ปัจจุบันนี้คือประมุขเต๋าโส่วจิ้งแล้ว”
สุ่ยหลินโปตระหนกจนสะดุ้ง ประหม่าขึ้นมาทันที นางรู้แต่แรกว่าเยี่ยเจินจีสถานะไม่ธรรมดา ท่านป้าและซือฟุล้วนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน อีกทั้งเป็นผู้อาวุโสของสำนักใหญ่อย่างโรงเรียนเสวียนชิง แต่คาดไม่ถึงว่าฉินซีจะเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่เร็วขนาดนี้
เดิมทีนางเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระสามัญ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนก่อเกิดตานยังพบเจอน้อยมาก ต้องหลังจากติดตามเยี่ยเจินจีกลับมาจึงได้พบผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ขณะนี้ได้ยินว่าคนผู้นี้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ประหม่าเสียจนไม่รู้ว่าควรจะคารวะอย่างไรแล้ว
สุดท้ายฉินซียิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องประหม่า ในเมื่อเจ้ากับเจินจี……” เขาหยุดลงไป คำพูดบางอย่างเจินจีไม่ได้พูดก็ไม่ควรจะพูดให้ชัดเจน ก็เลยกลบเกลื่อนไปว่า “ในเมื่อซือจู่อนุญาตให้เจ้าอยู่ เจ้าก็เป็นศิษย์ของยอดเขาชิงฉวนเรา คารวะเรียกข้าก็พอ”
“เจ้าค่ะ” สุ่ยหลินโปจึงสงบลง คารวะแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “น้อมพบโส่วจิ้งซือจู่”
หลังจากคารวะน้อมพบ โม่เทียนเกอมองฉินซี
พวกเขาสองคนอยู่ร่วมกันในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนสิบปี เรื่องราวมากมายใจสื่อถึงกัน ฉินซีเข้าใจความหมายของนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ารับผิดชอบแล้วกัน”
โม่เทียนเกอก็ยิ้ม หยิบขวดหยกออกมาจากในอกเสื้อ ส่งให้เยี่ยเจินจี “เจินจี อาการบาดเจ็บของหลินโปพวกเราจะคิดหาหนทาง ก่อนหน้านั้น โอสถขวดนี้เจ้าให้นางกินหนึ่งเม็ดทุก ๆ สามวัน หลังกินเสร็จใช้พลังวิญญาณช่วยนางรักษาบาดเจ็บสองชั่วยาม”
“ขอรับ ท่านป้า”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เอ่ยกับพวกเขาว่า “ข้ากับซือฟุเจ้าเพิ่งจะกลับมา ยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการ จะกลับไปก่อนนะ พวกเจ้ารักษาบาดเจ็บตามปกติฝึกตนตามปกติก็พอ”
“ขอรับ” เยี่ยเจินจีรีบเอ่ยว่า “ท่านป้า ข้าส่งพวกท่าน”
โม่เทียนเกอยกมือขึ้นขัดขวาง “ไม่ต้องแล้ว เจ้าดูหลินโปก็พอ” พยักหน้าให้สุ่ยหลินโปยิ้ม ๆ แล้วจากไปพร้อมกับฉินซี
ออกจากวังซ่างชิง ทั้งสองคนมีเรื่องในใจ ก้าวเดินไปพร้อมกัน คนหนึ่งไปตะวันออก คนหนึ่งไปใต้ เดินไปได้สิบก้าวจึงค้นพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดินตามตนเอง หยุดลงหมุนตัวมา ตกตะลึงไป “ทำไมเจ้าทางนั้น”
หลังจากถามออกมาเป็นเสียงเดียว ก็อึ้งขึ้นมาอีก แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าถ้ำพำนักของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน
ทั้งสองคนหัวเราะให้แก่กัน ถอนหายใจแล้วเดินเข้าหากัน
“ทำอย่างไร” ฉินซีถาม “ไปที่ของเจ้าก่อนหรือว่าไปที่ของข้าก่อน”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ต่างคนต่างกลับถ้ำพำนักของตัวเองเถอะ ไม่ได้กลับไปตั้งนาน ต้องจัดการธุระก่อน รอเสร็จธุระแล้วพวกเราค่อยติดต่อกันใหม่”
ฉินซีคิดแล้วพยักหน้า “ตกลง จำไว้ว่าต้องส่งเครื่องรางสื่อสารมานะ”
โม่เทียนเกอส่งเสียงตอบรับ ทั้งสองคนจึงได้แยกย้ายกลับถ้ำพำนักของตนเอง
ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว อนาคตย่อมต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน เรื่องนี้ทั้งสองคนก็เคยปรึกษากันมาแล้ว ฉินซีบอกว่า ถ้ำพำนักของเขาดูไปไม่สะดุดตา อันที่จริงอยู่บนศูนย์รวมพลังวิญญาณที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งของเส้นเลือดวิญญาณยอดเขาชิงฉวนพอดี แล้วเขายังคิดหาวิธีการมากมายมายกระดับพลังวิญญาณ ปัจจุบันนี้ไม่ได้ด้อยกว่าวังซ่างชิงเลย อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มันซ่อนเร้นถึงสิบส่วน มีคนผ่านน้อย เหมาะสมกับนิสัยรักความสงบของพวกเขา ส่วนถ้ำพำนักในตอนนี้ของโม่เทียนเกอถึงจะใหญ่พอ พลังวิญญาณก็ไม่เลว แต่ก็เพราะว่าใหญ่เกินไป คนที่ดูแลก็มาก แล้วพวกเขาสองคนคาดว่าก็คงจะไม่รับศิษย์สักเท่าไร มิสู้ยกให้คนอื่นจะได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
โม่เทียนเกอคิดอยู่นานแล้วก็ตกลง ถ้ำพำนักในตอนนี้ของนางเป็นถ้ำที่ประมุขเต๋าเสวียนอินใช้ก่อนผูกจิตวิญญาณ นางเพียงอาศัยอยู่สองปี ไม่มีสิ่งของมากมาย ย้ายออกมาก็สะดวก
แต่จะสะดวกแค่ไหนก็ไม่สามารถย้ายทันที นางยังต้องกลับไปจัดการธุระหน่อย
โชคดีที่โถงผู้ดูแลของโรงเรียนเสวียนชิงมีประสิทธิภาพมาก นางไปสิบปี ถ้ำพำนักยังคงอยู่ดี เรื่องที่ควรจะทำก็ไม่มีขาดตกบกพร่องสักนิด ศิลาวิญญาณที่ใช้จ่ายล้วนหักเอาจากในของคารวะของนาง นางไม่ได้รับของคารวะมาสิบปี ทันใดนั้นได้รับทรัพย์สินกองใหญ่มาในคราเดียว
รอจนเรื่องราวจัดการเสร็จสิ้น เพิ่งจะสั่งการโถงผู้ดูแลว่านางอยากจะเปลี่ยนถ้ำพำนัก เครื่องรางสื่อสารทางด้านฉินซีก็มาถึงแล้ว
ได้ยินว่านางอยากจะย้ายไปถ้ำพำนักของฉินซี ผู้ดูแลของโถงผู้ดูแลตกตะลึงเสียจนกรามค้าง ขณะนี้ได้เห็นโม่เทียนเกอรับเครื่องรางสื่อสารยิ้มบาง ๆ อีก จินตนาการไปไกลทันที
โม่เทียนเกอกำลังจะตอบเครื่องรางสื่อสาร ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เข้าใกล้ จากนั้น ฉินซีก้าวลงมาจากเมฆบิน เดินเข้ามา
นางประหลาดใจ “ทำไมถึงมาแล้วล่ะ” นางเพิ่งจะได้รับเครื่องรางสื่อสารเองนะ!
ฉินซียิ้ม “พอดีนึกขึ้นได้ว่าต้องไปอาคารสัตว์วิญญาณรับสัตว์วิญญาณที่ฝากเลี้ยงกลับ ก็เลยออกมา”
“อ้อ” หลังส่งเสียงตอบรับ โม่เทียนเกอนึกขึ้นได้ว่าผู้ดูแลของโถงผู้ดูแลยังอยู่เลย จึงเอ่ยกับคนผู้นั้นว่า “เอาล่ะ ธุระล้วนส่งมอบให้เจ้าแล้ว ไปทำเถอะ”
“ขอรับ” สายตาของคนผู้นั้นมองสลับไปมาระหว่างนางและฉินซี คารวะให้ฉินซีแล้วก็จากไป จู่ ๆ นึกขึ้นมาได้ว่าปัจจุบันนี้เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว รีบทำการคารวะอย่างเป็นทางการ แล้วจึงจากไปทำธุระ
โม่เทียนเกอมองเงาหลังของผู้ดูแล ถอนหายใจออกมา “ข้าเดาว่าในใจเขาจะต้องคิดว่า : ชิงเวยซือซูผู้นี้ดูเรียบ ๆ ร้อย ๆ คิดไม่ถึงว่าถึงกับเกี่ยวโส่วจิ้งซือจู่มาติดเบ็ด เป็นอาจารย์เต๋าที่ไม่เปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงโดยแท้!”
ประโยคหลังนางเลียนแบบน้ำเสียงผู้อื่น พิลึกถึงสิบส่วน ทำให้ฉินซีอดยิ้มไม่ได้
เห็นเขายิ้ม โม่เทียนเกอก็อดยิ้มไม่ได้ ถามว่า “ธุระของท่านล้วนทำเสร็จแล้วหรือ”
ฉินซีนั่งลงข้างนาง โอบเอวนางด้วยความเคยชินแล้วจึงตอบว่า “ถ้ำพำนักเล็ก ๆ นั่นของข้าจะสามารถมีธุระอะไรเล่า เพียงต้องถามไถ่นิดหน่อยไม่กี่คำก็พอแล้ว”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ก็ใช่ ถ้ำพำนักเล็กมีข้อดีของถ้ำพำนักเล็ก” นางหยุดแล้วถามอีกว่า “เรื่องของซือฟุ ท่านมีความคิดอะไร”
คำถามนี้ทำให้รอยยิ้มของฉินซีลบเลือนไป เอ่ยว่า “เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้เป็นการชั่วคราว ผ่านไปสองวันพวกเรายังต้องไปพบซือฟุ อย่างนี้เถอะ เรื่องของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่สะดวกจะพูดออกไป แต่พวกเราสามารถหยิบโอสถบางชนิดไปให้ซือฟุดูก่อน บอกเขาว่าพวกเราเสาะพบหญ้าวิญญาณมากมายที่ภูเขามาร ถ้าเป็นอย่างนี้ ซือฟุก็จะเชื่อว่าพวกเรามีกำลังจะช่วยเหลือเขา ถึงเวลาก็จะบอกพวกเราว่ามีโอสถที่สามารถรักษาบาดเจ็บของเขาได้หรือไม่”
“อืม” โม่เทียนเกอเห็นด้วย “เช่นนั้นสุ่ยหลินโปเล่า”
คำถามนี้กลับทำให้ฉินซีชะงักงันไป “พูดตามสัตย์ ข้าไม่เคยเห็นว่ามีคนที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้เลย ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ในโรงเรียนพวกเราก็มีผู้ฝึกวิชาแพทย์หลายคน อาจจะค่อนข้างเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับความเจ็บป่วยมากกว่า มิสู้พวกเราไปเสาะหาพวกเขาเพื่อสอบถาม”
“อ้อ ใช่!” พอเขาเตือนขึ้นมา โม่เทียนเกอก็นึกขึ้นได้ถึงค่วงจู๋ซือเกอกับคนในครอบครัวนั้นของเขาแห่งยอดเขาหลิงอิ่น หาเวลาไปถาม ๆ หน่อยก็ดี
“สองเรื่องนี้ล้วนรีบร้อนไม่ได้ ขณะนี้มีเรื่องหนึ่งที่ต้องปรึกษากับเจ้า”
“หืม?”
ฉินซีมองดูนาง เอ่ยอย่างจนใจอยู่บ้างว่า “ความหมายที่ข้าผูกจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับสำนักอาจารย์ ดังนั้นเจิ้นหยางซือป๋อระบุว่าต้องทำพิธีฉลองผูกจิตวิญญาณ นอกจากนั้น พวกเราถึงจะทำสาบานเลือดกันแล้ว แล้วก็ผูกพันเป็นสามีภรรยาแล้ว แต่ก็ควรจะทำพิธีฉลองฝึกตนร่วมสัมพันธ์เพิ่มเติม……”
“อย่า……” โม่เทียนเกอปฏิเสธทันที จากนั้นเห็นท่าทางไม่เข้าใจของเขาจึงก้มหน้าอธิบายว่า “พิธีฉลองผูกจิตวิญญาณแล้วแต่ท่านเองเลย พิธีฉลองฝึกตนร่วมสัมพันธ์ช่างมันไปได้ไหม ข้าไม่ชอบอย่างนั้นจริง ๆ……”
ฉินซีคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ข้ารู้ความหมายของเจ้า ข้าก็ไม่ชอบบรรยากาศนั้นเหมือนกัน อย่างนี้แล้วกัน ถึงเวลาก็บอกกับเจิ้นหยางซือป๋อสักคำว่าให้ประกาศในพิธีฉลองผูกจิตวิญญาณสักคำก็พอ”
ความคิดนี้โม่เทียนเกอยังรับได้ ก็เลยไม่ได้พูดอะไรแล้ว
………………………………