หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 322 – ความหมายแท้จริงของการผูกจิตวิญญาณ
ตอนที่ 322 – ความหมายแท้จริงของการผูกจิตวิญญาณ
ผ่านไปไม่นาน พิธีฉลองผูกจิตวิญญาณจัดขึ้นตามกำหนด
พิธีฉลองผูกจิตวิญญาณครั้งนี้เรียบง่ายมาก มีเพียงสำนักสหายของโรงเรียนเสวียนชิงได้รับคำเชิญมาเข้าร่วม แต่บรรดาแขกเหรื่อที่มาในขณะนี้อย่างต่ำที่สุดก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานนำกลุ่ม ด้านมาตราฐานก็ไม่ได้ต่ำว่าครั้งที่แล้วสักนิด
โม่เทียนเกอจึงยุ่งเสียจนเท้าไม่แตะพื้นเพราะเหตุนี้ แขกไม่มาก แต่ต่ำที่สุดก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เช่นนั้นก็ต้องให้พวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไปต้อนรับ อีกอย่างปัจจุบันนี้นางเป็นคู่เต๋าของฉินซี เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเอาตัวไปอยู่วงนอก
เทียบกับการต้อนรับแขกเหรื่อ พิธีฉลองผูกจิตวิญญาณอันแท้จริงกลับเรียบง่ายมาก เป็นอย่างครั้งที่แล้ว ฉินซีกราบคารวะซานชิงจู่ซือภายใต้การเป็นสักขีพยานของลูกศิษย์และแขกเหรื่อทั้งหมด รับตำแหน่งผู้อาวุโสไท่ซ่าง แล้วก็โขกศีรษะขอบคุณความเมตตาของอาจารย์อีก สิ่งที่ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วคือ หลังจากโขกศีรษะขอบคุณความเมตตาของอาจารย์ โม่เทียนเกอก็เดินขึ้นหน้าไปด้วย รายงานต่อประมุขเต๋าจิ้งเหอด้วยกันกับฉินซี ประมุขเต๋าจิ้งเหออนุญาต ทั้งสองกลายเป็นคู่เต๋า
จากนั้น พิธีฉลองผูกจิตวิญญาณเสร็จสิ้น เชิญแขกเหรื่อรับประทาน
ครั้งนี้ ในที่สุดโม่เทียนเกอไม่ต้องไปเป็นเพื่อนแขกเหรื่อแล้ว นางกับฉินซีติดตามประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับวังซ่างชิง
ประมุขเต๋าจิ้งเหอในวันนี้ บนร่างสวมชุดเต๋าเฉียนคุน ศีรษะสวมมงกุฎเฉียนคุน เท้าใส่รองเท้าปากั้ว ชุดประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่โรงเรียนเสวียนชิงตามธรรมเนียมทั้งตัว ท่วงท่าเหนือสามัญ ใบหน้าก็ทำความสะอาดอย่างถี่ถ้วน เคราสั้นไม่ยุ่งสักนิด
แต่พอเข้าวังซ่างชิง ประมุขเต๋าจิ้งเหอร่างสั่นสะท้าน ถึงกับยืนก็ยืนไม่นิ่ง
“ซือฟุ!” โม่เทียนเกอและฉินซีร้องเรียกเป็นเสียงเดียว รีบขึ้นหน้าไปพยุงเขา
ประมุขเต๋าจิ้งเหอนั่งลงบนบันลังก์มังกรในห้องโถงใหญ่ด้วยความช่วยเหลือของทั้งสอง ผมดำทั้งศีรษะสีจางไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์
เพื่อพิธีฉลองผูกจิตวิญญาณครั้งนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็จ่ายราคาลงไป ใช้เวทลับฟื้นฟูรูปลักษณ์ก่อนได้รับบาดเจ็บเป็นการชั่วคราว จะอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือจิตวิญญาณใหม่อันดับสองเป็นรองเพียงประมุขเต๋าเจิ้นหยางในโรงเรียนเสวียนชิง หากรูปลักษณ์ชราของเขาให้แขกเหรื่อเห็นเข้า พิธีฉลองจิตวิญญาณใหม่ในวันนี้ก็จะไปไม่ถึงเป้าหมายประกาศความแข็งแกร่งของโรงเรียนเสวียนชิงแล้ว
หลังจากนั่งลง ประมุขเต๋าจิ้งเหอหอบหายใจ โบกมือให้ทั้งสองคนปล่อยเขา
โม่เทียนเกอถามอย่างห่วงใยว่า “ซือฟุ ท่านเป็นอย่างไร”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลืนโอสถหนึ่งเม็ด ส่ายหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ยังดีที่มีโอสถเหล่านี้ที่พวกเจ้าเตรียมเอาไว้ ไม่เป็นไร” จากนั้นหลับตานั่งสมาธิ
ทั้งสองคนฟังคำแล้วก็วางใจลงได้เล็กน้อย มองดูสีหน้าของประมุขเต๋าจิ้งเหอโดยละเอียด ถึงเส้นผมจะยังคงกลายเป็นสีขาว แต่ใบหน้าไม่ได้แก่ชราอย่างตอนที่พวกเขาเพิ่งกลับมาอีกแล้ว นี่เป็นสัญญาณที่ดี แสดงว่าระดับการฝึกตนของประมุขเต๋าจิ้งเหอฟื้นฟูโดยไม่สะดุด
ผ่านไปพักหนึ่ง ประมุขเต๋าจิ้งเหอลืมตาทั้งคู่ เมื่อผ่านปรับลมหายใจสีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นไม่น้อย เงยหน้ามองศิษย์สองคนนี้แล้วเผยรอยยิ้มบาง ๆ “ต้องขอบคุณผลทองไร้ดอกที่พวกเจ้าหยิบกลับมา ชีพจรปราณของเหวยซือฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ขอเพียงภายหลังใช้โอสถต่อเนื่อง คาดว่าภายในห้าสิบปีสามารถฟื้นฟูสู่สภาวะสูงสุด หากโชคดีในกระบวนการนี้ทำให้ข้าหยั่งรู้ถึงระดับของจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย เช่นนั้นก็จะเป็นโชคดีในคราเคราะห์แล้ว”
โม่เทียนเกอกับฉินซีหันไปสบตากัน แต่ไม่ได้รู้สึกดีใจมากนัก ถึงจะบอกว่าสิ่งที่ซือฟุพูดไม่จำเป็นว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้ฝึกคนเท่าไหร่ที่ติดอยู่ในจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นมาหลายร้อยปีไปจนถึงเป็นพันปีแล้วไม่อาจเลื่อนระดับ ระดับจิตวิญญาณใหม่ไม่เคยยากจะฝึกตน ทว่ายากจะเลื่อนขั้น การทะลวงผ่านระดับชั้นเล็ก ๆ ยากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการผูกจิตวิญญาณ
ฉินซีทอดถอนในใจแล้วเอ่ยว่า “ซือฟุ ท่านวางใจเถิด ปัจจุบันนี้ข้าจิตวิญญาณใหม่แล้ว มีความสามารถจะเสาะหายาเพื่อท่านแล้ว”
“อืม” ครั้งนี้ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้ปฏิเสธ ฉินซีปัจจุบันนี้เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาแล้ว
“จริงสิ ผลทองไร้ดอกสามผลนั้นฤทธิ์ยาแรงเกินไป เหวยซือไม่อาจกลืนลงไปในครั้งเดียว ซีเอ๋อร์เจ้าเพิ่งจะผูกจิตวิญญาณ ระดับชั้นยังไม่มั่นคง ไม่สามารถใช้ตัวยาเช่นนี้ ดังนั้นเหวยซือก็เลยให้เจิ้นหยางซือป๋อของพวกเจ้าไปหนึ่งผล”
“เรื่องพวกนี้ซือฟุตัดสินใจเองก็พอ” ฉินซีเอ่ยเสียงเบา ตอนที่พวกเขาเก็บผลทองไร้ดอกกังวลว่าจะไม่เพียงพอ ดังนั้นเก็บผลที่อยู่บนต้นลงมาหมด ผลไม้นี้ไม่อาจเก็บรักษาไว้นานจนเกินไป หากใช้ไม่ทันเวลาพลังวิญญาณก็จะสูญหาย แบ่งหนึ่งผลให้ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็เป็นวิธีจัดการที่เหมาะสม ถึงอย่างไรเพื่ออาการบาดเจ็บของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็ลงแรงไปไม่น้อย
ประมุขเต๋าจิ้งเหอทอดมองศิษย์สองคนที่อยู่เบื้องหน้า สายตาวูบขึ้น ถามว่า “พวกเจ้าสองคนฝึกตนเจอกับความลำบากอะไรใช่หรือไม่”
คำถามนี้ทำให้ทั้งสองล้วนตะลึง โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ซือฟุ ท่านทราบได้อย่างไร……”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้ม ๆ “ซือฟุมีอะไรที่ไม่เคยเห็นเล่า รู้สึกแต่แรกแล้วว่าพวกเจ้าฝึกตนร่วมสัมพันธ์จะไม่ง่ายดายขนาดนั้น”
ฉินซีจิตใจสั่นไหว ถามว่า “ซือฟุ ท่านรู้สึกว่าพวกเราปรากฏปัญหาในด้านไหนขอรับ”
“ทำไม ลองภูมิเหวยซือหรือ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเหลือบมอง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ในความเห็นข้า ปัญหาที่จะปรากฏขึ้นอาจจะเป็นความไม่เข้ากันของวิชาเวทพวกเจ้า”
โม่เทียนเกอและฉินซีสบตากัน ถึงจะไม่ได้แม่นยำมาก แต่ก็ห่างไปไม่ไกล
ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูเหมือนมีแผนการเต็มอก “เป็นไร สิ่งที่ซือฟุพูดไม่ถูกหรือ”
ฉินซีหมดหนทางได้แต่พยักหน้า “ไม่ผิด ซือฟุ เพราะเหตุใดท่านจึงคิดเช่นนี้”
“เรียบง่ายมาก” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด “เอ่ยถึงที่สุดยังคงเป็นสถานการณ์ของเทียนเกอซับซ้อนเกินไป ทั้งเป็นร่างหยินบริสุทธิ์แล้วยังเป็นรากวิญญาณต้นกำเนิด รากวิญญาณต้นกำเนิดไร้วิชาเวทเฉพาะไม่สามารถแสดงบทบาทออกมา ทว่าพวกเจ้าสองคนหากไม่เลือกวิชาเวทที่เข้ากับร่างกาย เพียงอาศัยร่างกายของทั้งสองฝ่ายมาฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ผลลัพธ์ก็จะแย่ลงไปมากมาย”
ไม่เอ่ยถึงโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นี่ก็คือปัญหาที่พวกเขาเจอในขณะนี้จริง ๆ ฉินซีอดถามมิได้ว่า “เช่นนั้นซือฟุท่านมีหนทางแก้ไขอะไรขอรับ”
“ไม่มี” ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ตัวข้าซือฟุพบเห็นมามากกว่าพวกเจ้า แต่ก็ไม่ได้เป็นปราชญ์รู้แจ้ง เจ้านึกว่าตัวข้าซือฟุอะไร ๆ ก็รู้ไปเสียหมดหรือ” หยุดลงชั่วครู่ เขาผ่อนน้ำเสียงลง “แต่ว่า ซือฟุสามารถแนะนำกับพวกเจ้าอย่างหนึ่ง”
โม่เทียนเกอและฉินซีแววตาสว่างขึ้น จับจ้องเขา
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์ เจ้ายังคงกักตนปรับระดับให้มั่นคงก่อนเถิด”
ฉินซีตะลึง คิดไม่เข้าใจ “ซือฟุ ท่านแนะนำอะไรกันขอรับ” นี่ไม่ได้ช่วยเหลือสถานการณ์ของพวกเขาโดยสิ้นเชิงเลยนี่!
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับยิ้ม “ปัจจุบันนี้ถึงเจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว แต่ถึงที่สุดยังไม่ได้หยั่งรู้ถึงความหมายแท้จริงของระดับชั้นนี้ทั้งหมด ดังนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่อาจสัมผัสได้ชั่วคราว อยากแก้ไขปัญหาข้อนี้เรียบง่ายมาก วิธีการก็โง่เขลามาก นั่นก็คือกักตนปรับระดับให้มั่นคง ทำความเข้าใจสภาวะของจิตวิญญาณใหม่อย่างสิ้นเชิง” พูดถึงตรงนี้ เขาเอ่ยเตือนอย่างหนักแน่นจริงใจว่า “เจ้าหนู จิตวิญญาณใหม่ไม่ได้เป็นระดับชั้นที่เลื่อนขั้นได้เรียบง่ายขนาดนั้น คนบนโลกล้วนพูดว่ามาถึงระดับชั้นจิตวิญญาณใหม่นี้แล้วจะครอบครองความสามารถในการเคลื่อนภูเขาผลาญทะเลเป็นเทพเซียนในแดนดิน นี่มิใช่คำพูดเกินจริงเลย รอจนเจ้าไปถึงทัศนวิสัยของจิตวิญญาณใหม่อย่างสมบูรณ์ก็จะเข้าใจส่วนที่น่ากลัวของจิตวิญญาณใหม่ ที่ระดับชั้นนี้ เจ้าสามารถซึมซับส่วนที่ลึกล้ำของวิชาเวททั้งหมด ทักษะลับบางอย่างแค่คิดก็ใช้ออกมาได้ แม้แต่ – สร้างวิชาเวทของตัวเอง!”
ฉินซีเงียบงันไม่ส่งเสียง แต่ในแววตามีแสงสว่างวูบขึ้นในชั่วพริบตา เรื่องนี้เดิมทีเขาก็เคยได้ยินอย่างไม่ปะติดปะต่อ หลังจากไปถึงจิตวิญญาณใหม่กลับพบว่าไม่ได้เกินจริงขนาดนั้นเลย ยังนึกว่าเป็นคำพูดโอ้อวดของชนชาวโลก แต่ซือฟุจะไม่โกหกเขา
สร้างวิชาเวทขึ้นเอง มีเพียงเข้าใจความลับแท้จริงของพลังวิญญาณจึงจะสามารถสร้างวิชาเวทขึ้นเอง หากเขาไปถึงระดับเช่นนั้นจริง ๆ อย่างนั้นวิชาเวทร่วมสัมพันธืกับเทียนเกอก็จะสามารถอ้างอิงสภาพแท้จริงของทั้งสองดำเนินการปรับแก้ หรือพูดได้ว่าสร้างวิชาเวทอันพิเศษเฉพาะเพื่อคนสองคน!
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “เจ้าเป็นเด็กที่ชาญฉลาด ซือฟุนำเข้าประตู การฝึกฝนขึ้นอยู่กับตัวบุคคล สุภาษิตประโยคนี้ใช้ได้กับโลกฝึกเซียนเช่นกัน จิตวิญญาณใหม่เป็นอย่างไร ซือฟุเพียงสามารถบ่งบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า ถัดจากนี้ก็ต้องอาศัยตัวเจ้าเองคิดให้แตกฉาน”
ฉินซีเก็บคำพูดประโยคนี้สลักลึกไว้ในใจอย่างใส่ใจ สุดท้ายพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ซือฟุ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เหวยซือจะกลับไปกักตนต่อแล้ว มีโอสถพวกนี้อยู่ ภายในสิบปีเหวยซือจะไม่ออกจากการกักตนแล้ว พวกเจ้าไปกันเองเถอะ”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ ซือฟุ” ทั้งสองคนล่าถอยไปอย่างนอบน้อม
ฉินซีได้รับคำพูดพวกนั้นก็อารมณ์ปั่นป่วน ดึงมือของโม่เทียนเกอกลับถ้ำพำนักของตนเอง ยังคงกักเก็บอารณ์ไม่อยู่
“เทียนเกอ”
“หืม?” โม่เทียนเกอทอดมองเขา สีหน้าของฉินซีในขณะนี้มีการตกลงใจแล้วอย่างเห็นได้ชัด นี่ก็เกี่ยวข้องกับเส้นทางในภายภาคหน้าของนางด้วยว่าจะเดินอย่างไร
“อีกพักหนึ่ง เมื่อธุระทั่วไปพวกนี้แล้วเสร็จ ข้าก็จะกักตน” ฉินซีผ่อนลมหายใจออกมาคำหนึ่ง ก้มหน้ามองนาง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าจะกักตนที่นี่”
เขาพูดเน้นย้ำอย่างนี้ ก็คือไม่ได้ตั้งใจเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้ว
โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงในใจนางมีการเตรียมใจไว้อยู่แล้ว ปัญหาที่ต้องแก้ไขระหว่างพวกเขายังมีมากมาย ด้วยนิสัยของฉินซี เขาจะไม่ปรารถนาความสะดวกสบายเล็กน้อยในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วปล่อยวางการสำรวจความหมายแท้จริงของจิตวิญญาณใหม่ เขาอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาสิบปี วิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์ฝึกไปถึงระดับประมาณหนึ่งแล้ว ส่วนวิชาเวทและทักษะลับอื่น ๆ ความเร็วในการฝึกห่างกันไกลกับวิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์ ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การอยู่กักตนที่ถ้ำพำนักดีกว่าการเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาก
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนจำเป็นจะต้องแยกจากกันอีกแล้ว
นางไม่ได้รู้สึกยากจะทนทานเลย ระหว่างผู้ฝึกตนไหนเลยจะมีการอยู่ตัวติดกัน? ต่างคนต่างกักตน สั้นไม่กี่ปียาวหลายสิบปี พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่จิตเต๋ามั่นคงชั่วชีวิต การพัวพันกันตลอดเวลาขัดกับจิตใจดั้งเดิม
“ข้ารู้แล้ว”
เห็นนางตอบรับอย่างสงบนิ่ง ในแววตากลับมีความไม่ยินยอม ฉินซีอดกอดนางมิได้ พัวพันอยู่ชั่วครู่
ผ่านไปครึ่งวัน ทุกสิ่งยุติ ฉินซีคิดแล้วถามอย่างลังเลอยู่บ้างว่า “มีเรื่องหนึ่ง เจ้ายังจำได้ไหม”
“หืม?” โม่เทียนเกอใช้เวลามาสวมชุดชั้นนอก
“ข้อตกลงสองร้อยปีของนักเดินทางจื่อเวย” ฉินซีพูด “ปัจจุบันนี้ผ่านไปห้าสิบเก้าปีแล้ว ยังเหลือเวลาหนึ่งร้อยสี่สิบปี การเสาะหาเถ้ากระดูกของผู้ฝึกตนที่ตายไปห้าพันปีแล้วมิใช่เรื่องเรียบง่ายเลย ควรจะลงมือแต่เนิ่น ๆ ถึงจะถูก”
“อ้อ” โม่เทียนเกอจำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ตลอดมานางไม่ได้ไปทำเรื่องนี้เพราะว่าความแข็งแกร่งของตนเองไม่เพียงพอ ปัจจุบันนางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว อาวุธเวทคู่ชีพอยู่ในมือ สามารถลองดูสักหน่อยแล้ว
แต่เรื่องนี้ก็คลำทางไม่ถูกเป็นการชั่วคราว นางคิดแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้มิสู้มอบหมายให้โถงผู้ดูแลไปสืบข่าวก่อน รอจนมีเบาะแสค่อยไปเสาะหาช้า ๆ อีกที”
“อืม” ฉินซีก็รู้สึกว่าอย่างนี้แน่นอนกว่าหน่อย “หากมีข่าวสาร จะต้องจำไว้ว่าให้รอข้าออกจากการกักตน จากนั้นไปด้วยกัน” เขาจำได้ว่าคู่เต๋าผู้นั้นของนักเดินทางจื่อเวยก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ สถานที่สิ้นชีพของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จะต้องไม่เรียบง่ายเด็ดขาด เกรงแต่ว่านางคนเดียวจะมีอันตราย
โม่เทียนเกอลังเลนิดหนึ่งแต่ยังยินยอม “ข้ารู้แล้ว”
……………………………….