หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 323 – ข้อความขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 323 – ข้อความขอความช่วยเหลือ
หลังพิธีฉลองผูกจิตวิญญาณไม่นาน โถงผู้ดูแลได้ตรวจสอบที่มาของสุ่ยหลินโปจนกระจ่างชัด รายงานขึ้นไป
จากการตรวจสอบขั้นต้น สุ่ยหลินโปไม่ได้โกหกเลย นอกจากเรื่องของหลินไห่ที่ไม่อาจยืนยัน เรื่องที่นางพบเจอโถงผู้ดูแลได้สืบจนชัดแล้ว ไม่มีใดน่าระแวง
ในเมื่อไม่มีใดน่าระแวง โม่เทียนเกอก็วางใจแล้ว เยี่ยเจินจีเป็นรุ่นหลังที่ใกล้ชิดนางกับฉินซีที่สุด คู่เต๋าของเขาสามารถมีคุณสมบัติย่ำแย่ สามารถระดับการฝึกตนต่ำ แต่ห้ามมีแผนชั่วในใจเด็ดขาด
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกวางใจคือสุ่ยหลินโปมีนิสัยหนักแน่นกว่าเยี่ยเจินจีมาก แล้วยังประสบการณ์มากพบเห็นมาก หากสามารถอยู่ข้างกายเขาดูแลเขาตลอดเวลา ภายหลังนางก็สามารถฝึกตนได้อย่างวางใจ ปล่อยมือจากเยี่ยเจินจีได้
สำหรับอาการบาดเจ็บของสุ่ยหลินโป หลังจากยืนยันว่าที่มาของนางไร้ข้อกังขา โม่เทียนเกอฝากฝังให้กับค่วงจู่ ไม่ว่าต้องการวัตถุล้ำค่าอะไรเพียงบอกนางให้เบิกออกมาก็พอ ไม่พูดถึงสิ่งอื่น ด้วยของคารวะของผู้อาวุโสก่อเกิดตานของนางในปัจจุบัน สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาสุ่ยหลินโปได้ทั้งหมด ต้องการวัตถุดิบล้ำค่าอะไรล้วนใช้ได้
เรื่องของประมุขเต๋าจิ้งเหอในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ต้องเป็นกังวล อาการบาดเจ็บของสุ่ยหลินโปก็มีค่วงจู๋รับผิดชอบ ยังมีเรื่องจิปาถะนิดหน่อย ในที่สุดล้วนจัดการเรียบร้อย
วันถัดไป สิ่งที่นางต้องสนใจก็คือเรื่องการกักตนของฉินซี
ฉินซีกักตนครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ตัวเขาเองคาดการณ์ในชั้นต้นว่าอย่างน้อยที่สุดต้องสิบยี่สิบปี ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งของที่ต้องตระเตรียมก็จะมากแล้ว
โม่เทียนเกอรู้สึกว่าในช่วงเวลานี้ตนเองไม่มีทางอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิงได้ตลอด นางอยู่ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาสิบปีแล้ว อาศัยประโยชน์ของการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ระดับการฝึกตนพุ่งไปถึงจุดสูงสุดของก่อเกิดตานขั้นต้นอย่างราบรื่น ในระยะเวลาอันสั้นไม่กักตนอีกจะดีที่สุด อย่างนั้นการออกไปท่องเที่ยวข้างนอกทำธุระก็เลี่ยงไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นนางก็ต้องทิ้งสิ่งของเล็กน้อยให้ฉินซี อย่างเช่นโอสถพิเศษบางอย่าง
นอกจากนี้ยังมีซือฟุ นางไม่สามารถแจกจ่ายโอสถทั้งหมดออกมา แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องจ่ายออกมาสักหนึ่งหรือสองประเภท ให้ซือฟุหลังออกจากการกักตนมีโอสถใช้รักษาบาดเจ็บ
หลอมยา จ่ายยา ฝึกตน ศึกษาอาวุธเวท ชี้แนะให้เจินจีกับสุ่ยหลินโปเป็นครั้งคราว เวลาสองปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก
เวลาสองปีนี้ถึงจะผ่านไปอย่างสงบนิ่งแต่ก็เต็มเปี่ยมมาก การกลายเป็นคู่เต๋ากับฉินซีไม่ได้นำความยุ่งยากอะไรมาให้ชีวิตของอีกฝ่ายเลย นิสัยของพวกเขาเข้ากัน แล้วยังผ่านช่วงทดลองในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ก็เลยคุ้นเคยกับชีวิตของคนสองคนได้อย่างรวดเร็ว
ตอนที่ฉินซีกำลังเตรียมจะกักตน โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงลมปราณอันคุ้นเคยที่ส่งมาจากแดนไกล — นั่นเป็นจิตหยั่งรู้ที่อ่อนจางของนาง
เครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้!
นางคิดทบทวนโดยละเอียด คล้ายกับว่าเคยให้เครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้กับคนเพียงคนเดียว นั่นก็คือเว่ยเฮ่าหลานเจ้าสำนักสภาปี้เซวียนที่อยู่ไกลออกไปเป็นหมื่นลี้!
แต่ลมปราณนี้มีระยะห่างจากนางไม่ไกลเลย ประมาณตำแหน่งของเมืองคุนจง – หรือว่าสภาปี้เซวียนมีคนมาที่คุนอู๋?
โม่เทียนเกอแจ้งเรื่องนี้ให้ฉินซีทราบ ฉินซีขมวดคิ้วคิดสักครู่ “พวกเขาทราบสถานะของเจ้า เหตุใดไม่มาเสาะหาตรง ๆ แต่กลับปล่อยเครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้ออกมา?”
จุดนี้พอดีเป็นเรื่องที่โม่เทียนเกอกังวล “ข้าคิดว่าคนคนนี้อาจจะพบกับอันตรายอะไรจึงใช้วิธีการนี้ติดต่อกับข้าอย่างจนตรอก”
“อืม” ฉินซีก็คิดอย่างนี้ เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “มิสู้ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”
“หืม อย่า!” โม่เทียนเกอมองเขา เอ่ยว่าจนใจว่า “ตอนนี้ท่านเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ อีกทั้งเตรียมการมานานขนาดนี้เพื่อจะกักตน ทำไมไม่ทันไรก็ต้องการจะไปที่ไหนต่อไหนเป็นเพื่อนข้าแล้วล่ะ”
ฉินซีถูกนางพูดจนขัดเขินอยู่บ้าง เอ่ยว่า “ข้าไม่ค่อยวางใจ……”
“จะดีจะชั่วข้าก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่ง ตอนนี้ขาดความตระหนักรู้นิดเดียวก็จะสามารถทะลวงจากขั้นต้นไปถึงขั้นกลาง หลายปีนี้ท่านยังสอนหัวใจของวิชาต่อสู้ให้ข้ามากมาย หรือว่าแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยนี้ข้าก็จะทำไม่สำเร็จหรือ”
“……” ฉินซีไร้คำพูด หากเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนอื่นเขาจะไม่คิดอย่างนี้เลย แม้แต่ปีนั้นที่นางยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ตอนที่เดินทางอยู่ข้างนอกเขาก็ไม่ได้มีความห่วงใยแบบนี้ ตอนนี้ได้แต่พูดว่ากังวลจนสับสนแล้ว
“ฟังข้าเถอะ” โม่เทียนเกอพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านยังคงกักตนของท่านให้ดี ๆ เรื่องเหล่านี้ข้าจะจัดการเอง –” เห็นฉินซีคล้ายอยากจะพูดอะไร นางยกมือขึ้นยับยั้ง สายตามองตรงไปที่เขา “เชื่อมั่นในตัวข้า ได้ไหม”
ฉินซีคิดชั่วครู่แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ พยักหน้า “เอาเถอะ ข้ารู้ว่าข้าควรจะเชื่อมั่นในตัวเจ้า ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน”
โม่เทียนเกอยิ้มเมื่อได้รับคำอนุญาตของเขา ขึ้นไปนั่งบนตักเขาในพริบตา โน้มไปจุมพิตเขา “ดีแล้ว ท่านก็กักตนไปดี ๆ นะ หวังว่ารอจนท่านออกจากการกักตน ทุกสิ่งล้วนแก้ไขได้อย่างง่ายดาย”
ฉินซีดันนางลงไป “แค่นี้ไม่พอ……”
……………
หลายวันให้หลัง ฉินซีกักตน โม่เทียนเกอออกจากโรงเรียนเสวียนชิง มุ่งหน้าไปยังเมืองคุนจงเสาะหาลมปราณของเครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้
ถึงแม้สถานที่ซึ่งส่งเครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้ออกมาจะไม่ได้ไกล แต่ก็ไม่นับว่าใกล้ พื้นที่เมืองคุนจงสำหรับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานอย่างน้อยที่สุดก็ต้องบินหลายวันจึงจะสามารถไปถึง
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าตอนที่ตนเองไปถึงจะยังทันเวลาหรือไม่ แต่ได้พยายามสุดความสามารถ
คิดทบทวนถึงปีนั้น นางกับท่านอารองเคยใช้เครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้ขอความช่วยเหลือจากฉินซี บังเอิญฉินซีอยู่บริเวณใกล้ ๆ หากไม่เช่นนั้นเกรงว่ารอถึงตอนที่เขารีบรุดมาหรือว่าสั่งการให้ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงมาตรวจสอบ นางกับท่านอารองคงตกตายโดยไร้ที่กลบฝังไปแล้ว
สิ่งที่ผนึกไว้ในเครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้ประเภทนี้คือจิตหยั่งรู้ของตัวผู้ฝึกตน ถึงแม้จะอยู่ห่างเป็นหมื่นลี้ก็สามารถตามรอยมาถึงสถานที่ต้นกำเนิดที่ทำลายเครื่องรางสื่อสารนั้นได้ และสัมผัสของจิตหยั่งรู้ก็คงอยู่ค่อนข้างนาน สามารถหลงเหลืออยู่เกือบหนึ่งเดือน เพียงพอให้โม่เทียนเกอเสาะพบสถานที่แห่งนั้น
รองเท้าย่ำเมฆาเร่งความเร็วไปถึงขีดจำกัด ไม่กี่วันโม่เทียนเกอก็ทิ้งตัวลงนอกเมืองคุนจงแล้ว
สถานที่ทำลายเครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้ก็คือในเมืองคุนจง ระยะทางใกล้เข้า โม่เทียนเกอยืนยันทิศทางได้แล้ว ติดตามรอยประทับที่จิตหยั่งรู้ทิ้งเอาไว้ไปเสาะหา กลับค้นพบว่าถึงกับเป็นร้านสุราที่สิบสองปีก่อนฉินซีพานางมาพบกับพรตเต๋าคูมู่และพวก
คิดทบทวนถึงปีนั้น นางยังเพิ่งจะก่อเกิดตาน แม้แต่การใช้จิตหยั่งรู้ที่เมืองคุนจงยังรู้สึกไม่สบาย สิบสองปีผ่านไป เหล่ายอดฝีมือก่อเกิดตานพวกนั้นที่ดูแคลนนางในร้านสุรานี้ล้วนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ส่วนนางกลับอยู่ในระดับก่อเกิดตานอย่างราบรื่นมั่นคงแล้ว
เส้นทางชีวิตอันยาวไกลสายนี้ก็โหดร้ายขนาดนี้ล่ะ คลื่นใหญ่ชะล้างเม็ดทราย คนรุ่นใหม่แทนที่คนเก่า
เรื่องของเยี่ยเจินจีปีนั้นทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอโกรธแค้น อาจารย์เต๋าหมิงเจินสังหารหมู่สมาคมผู้ฝึกตนอิสระของเมืองคุนจงจนแทบจะราบคาบ ด้วยเหตุนี้โรงเรียนเสวียนชิงก็เลยกลายเป็นตัวตนดุจดาวมฤตยูที่เมืองคุนจง ถึงแม้เมืองคุนจงยังคงเป็นเมืองแห่งผู้ฝึกตนอิสระ เมืองแห่งการค้าขาย แต่กลับไม่ได้เป็นกลางอย่างในวันวานอีกแล้ว
พอเห็นชุดเต๋าโรงเรียนเสวียนชิงที่โม่เทียนเกอสวมใส่บนร่าง ผู้ดูแลร้านสุราเข้ามาต้อนรับ ทักทายอย่างอบอุ่นไร้ที่เปรียบว่า “ผู้น้อยน้อมพบท่านเซียน ท่านเซียนท่านนี้ ขอบังอาจถามว่ามีอะไรที่สามารถรับใช้ได้ขอรับ”
โม่เทียนเกอตามรอยประทับของจิตหยั่งรู้ขึ้นชั้นบน ลดเลี้ยวหลายครั้ง ชี้ไปที่ห้องห้องหนึ่ง “ห้องนี้ ผู้ที่พักอาศัยครึ่งเดือนก่อนเป็นผู้ใด”
“ครึ่งเดือนก่อน?” ผู้ดูแลร้านมึนตึ้บ เอ่ยว่า “ท่านเซียนขอรับ ห้องนี้ ผู้ที่พักก็เป็นปรมาจารย์เซียนสองท่าน พวกเขาอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้วจริง ๆ ยังไม่ได้คืนห้องเลยขอรับ!”
ปรมาจารย์เซียนสองท่าน? โม่เทียนเกอขยับสายตา คนที่สภาปี้เซวียนส่งออกมาเป็นผู้ฝึกตนบุรุษหรือ
จิตหยั่งรู้ของนางครอบคลุมทั่วทั้งโรงเตี้ยมแต่แรก ในห้องนี้ไม่มีคนเลย
“พวกเขาออกไปแล้ว?”
“อันนี้……” ผู้ดูแลร้านส่ายหน้า “ท่านเซียน ผู้น้อยเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง เหล่าปรมาจารย์เซียนหากจะออกไป ผู้น้อยก็ไม่รู้ขอรับ!”
นี่ก็เป็นความจริง นอกจากผู้ฝึกตนระดับต่ำ ผู้ฝึกตนคนไหนอยู่ในโรงเตี้ยมแล้วจะออกทางประตูอย่างจริงจังบ้าง? บินออกไปตรง ๆ ก็พอแล้ว
โม่เทียนเกอกำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไร กลับเห็นผู้ดูแลร้านจ้องมองตนเองอย่างหวาดกลัวไม่หยุด จึงเอ่ยว่า “เจ้าไปเถอะ ข้ามาหาคน”
ผู้ดูแลร้านไหนเลยจะกล้าพูดว่าไม่ ตอบรับคำหนึ่งอย่างนอบน้อมแล้วหันหลังจากไป
หลังผู้ดูแลร้านไปแล้ว โม่เทียนเกอผลักดันพลังวิญญาณทั่วร่าง ประตูห้องส่งเสียงแล้วเปิดออก
นางย่างเท้าเข้าไปในห้อง กวาดสายตา จิตหยั่งรู้ปกคลุม ขมวดคิ้วขึ้นมา
เครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้แตกลงที่นี่จริง ๆ แล้วในห้องนี้ก็หลงเหลือลมปราณของผู้ฝึกตนคนอื่นอีกด้วย แต่นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลย เพราะว่าจากลมปราณที่หลงเหลืออยู่ นางคาดเดาว่าในสองคนนี้มีอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน!
สภาปี้เซวียนน่าจะไม่ได้มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานออกมาเร็วขนาดนี้ เช่นนี้แล้ว เป็นคนผู้นี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหรือ?
แต่ว่าที่นี่กลับไม่มีการวางม่านพลังป้องกันหรือกำแพงอาคมเลย ดูท่าผู้ฝึกตนสองคนนี้ก็แค่ถือที่นี่เป็นที่อยู่ชั่วคราว
โม่เทียนเกอครุ่นคิดสักครู่ ล้วงกระเป๋าเอกภพ หยิบสิ่งของหลายอย่างออกมา กลับเป็นจานวางม่านพลังและธงวางม่านพลังทั้งสิ้น
นานแล้วที่นางไม่ได้ใช้ม่านพลังต่อศัตรู สถานการณ์ในขณะนี้กลับเหมาะสมที่จะวางม่านพลังมาก
นางยิ้มบาง ๆ แขนเสื้อสะบัดพลิ้ว จานวางม่านพลังและธงวางม่านพลังแยกย้ายกันลอยออกไป ตกลงอย่างต่อเนื่อง แค่ครู่เดียวก็จัดวางเสร็จเรียบร้อย จากนั้นนางเดินไปที่มุมห้อง วางศิลาวิญญาณ
มีม่านพลังสี่คชสารร้อยบุปผานี้ ถึงระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนนี้จะเหนือล้ำกว่านางก็ต่อกรได้ไม่ยาก
ทำพวกนี้เสร็จแล้ว โม่เทียนเกอถือพัดแห่งสวรรค์และโลกาไว้ในมือ เอนกายพิงข้างหน้าต่างจิบชาดูท้องถนนอย่างสบายอารมณ์
เวลาผ่านไปทีละนิด ตอนที่นางมาถึงเป็นเวลาเที่ยง จนกระทั่งยามสายัณห์คนก็ไม่กลับมา โม่เทียนเกอไม่รีบร้อน ในเมื่อห้องยังไม่ได้คืนก็น่าจะยังไม่ไป สมมติว่าไปจริง ๆ นางแม้กระทั่งคนที่ส่งเครื่องรางสื่อสารเป็นใครยังไม่รู้ ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ไม่มีหนทางจะตามรอย มิสู้รอต่อไป
การรอนี้รอจนถึงกลางเดือน
ยามราตรีผู้คนเงียบสงัด ร้านค้าของเมืองคุนจงพากันปิดประตู โม่เทียนเกอนั่นขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้หนึ่งตัว ปรับลมหายใจเงียบ ๆ
ทันใดนั้น จิตหยั่งรู้ของนางเกร็งขึ้นมา เก็บงำลมปราณทั้งหมดในทันที
วิชาเก็บลมหายใจของนางถึงจะไม่สูงส่ง แต่กลับมีป้ายซ่อนวิญญาณบนตัว อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ถึงจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็สัมผัสไม่ได้ในชั่วขณะ
ต่อมา มีลมปราณสองลมปราณปรากฏขึ้นใกล้ ๆ คนหนึ่งสร้างฐานพลังขั้นกลาง คนหนึ่งก่อเกิดตาน……ขั้นปลาย!
โม่เทียนเกอตัวสั่น ถึงกับเป็นก่อเกิดตานขั้นปลาย จะเอาอยู่หรือไม่? ความคิดวูบผ่านในสมองในชั่วพริบตา นางตั้งสติอีกครั้ง กลัวอะไร? นางไม่ได้เป็นโม่ชิงเวยที่เพิ่งจะก่อเกิดตานของสิบสองปีก่อนแล้ว มีอาวุธเวทอย่างพัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือ ผ่านการทดลองมาสิบปี แล้วยังมีการชี้แนะของฉินซี พัฒนาการด้านวิชาต่อสู้ของนางเติบโตขึ้นไม่ใช่แค่ส่วนครึ่งส่วน อีกอย่างยังมีม่านพลังสี่คชสารร้อยบุปผาหนุนหลังด้วย
คนยิ่งมายิ่งใกล้ โม่เทียนเกอได้ยินเสียง
“เด็กน้อยเจ้าจะให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสงบสักหน่อยไม่ได้หรือ ตัวข้าผู้อาวุโสเคยปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้าเมื่อใดบ้าง หนี ๆๆ เจ้าจะหนีไปได้ถึงที่ไหน?!” เสียงนี้ฟังดูคุ้นหูอยู่บ้าง
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย พัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือยังคงกำแน่น ถึงจะมีความเป็นไปได้ว่าเป็นคนรู้จักก็คุมตัวไว้ก่อนค่อยว่ากัน
จากนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคยอีกแล้วอ้อนวอนว่า “ผู้อาวุโส ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะขอรับ? ท่านจับข้ามาไม่มีผลประโยชน์อะไร ข้า……”
ถังเซิ่น! โม่เทียนเกอเลิกคิ้วทั้งคู่ นี่เป็นเสียงของถังเซิ่น เขาถึงกับวิ่งมาถึงคุนอู๋แล้ว?
……………………………………………..
ตอนที่ 324 – พบถังเซิ่นอีก