หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 330 – หาเกาะ
ตอนที่ 330 – หาเกาะ
โม่เทียนเกอคิดอยู่พักหนึ่งแล้วสั่นศีรษะ โยนคำถามนี้ลงในส่วนลึกของสมอง อันไหนถูกต้องดู ๆ ไปก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรนั่นเป็นเส้นทางที่จำต้องผ่าน
ตอนที่กำลังจะเก็บแผ่นหยกปรับหายใจสักครู่ จู่ ๆ สัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของพลังวิญญาณของเสี่ยวหั่ว นางรีบหันศีรษะไปมอง กลับเห็นเสี่ยวหั่วยิ่งวิ่งยิ่งไกล อยู่ห่างจากนางไประยะทางหนึ่งแล้ว
ขณะนี้เสี่ยวหั่วกำลังสู้กับเถาวัลย์ที่หนาเป็นที่สุดเส้นหนึ่ง ว่าตามหลักเหตุผล เสี่ยวหั่วเป็นสัตว์วิญญาณขั้นห้าแล้ว เถาวัลย์นี้ถึงจะมีพลังมาร แต่มันก็เป็นพืช โดยเฉพาะหลังจากเสี่ยวหั่วกลายพันธุ์ ครอบครองไฟแท้ไท่หยาง อสูรมารทั่วไปควรจะสู้มันไม่ได้ แต่เถาวัลย์นี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร ถึงกับเผชิญหน้ากับไฟแท้ไท่หยางโดยไม่กลัว เพียงหลบเลี่ยงเล็กน้อย ในทางตรงกันข้ามกลับกวาดใส่เสี่ยวหั่วอย่างดุดันไร้ที่เปรียบ
ค้นพบว่าสถานการณ์ไม่เข้าที โม่เทียนเกอลุกขึ้นมา
“เสี่ยวหั่ว!”
เมื่อได้ยินเสียงของนาง เสี่ยวหั่วพ่นไฟแท้ไท่หยางออกมาหนึ่งคำ บังคับในเถาวัลย์ล่าถอย หมุนตัววิ่งกลับมาหานาง
โม่เทียนเกอแบมือ แสงสีขาวหนึ่งก้อนหมุนวน พัดแห่งสวรรค์และโลกาปรากฏขึ้นในมือนาง จากนั้นเดินไปทางเถาวัลย์นี้อย่างระมัดระวัง
เถาวัลย์ต้นนี้หนาเป็นที่สุด เทียบกับทุกต้นที่เคยเห็นเมื่อครู่นี้หนากว่าหลายเท่านัก มองคราแรกถึงกับหาลำต้นของมันไม่พบ กิ่งใบดกทึบ หนาเป็นชั้น ๆ ดุจดั่งต้นไม้ใหญ่ที่สูงเทียมฟ้า
ไฟแท้ไท่หยางเป็นไฟแท้ที่หลอมยาหลอมอุปกรณ์ได้ดียิ่ง วัตถุอันแข็งแกร่งมากมายล้วนสามารถเผาจนละลาย เถาวัลย์นี้เป็นแค่พืชที่กินอสูรมารเอาพลังวิญญาณ ถึงกับไม่กลัวหรือ
นางคิด ๆ แล้วชักกระบี่บินออกมา เฉือนฟันกิ่งใบของเถาวัลย์นี้
กระบี่บินยังบินไม่ถึง เถาวัลย์นี้ก็ขยับเขยื้อนแล้ว กิ่งไม้ร่ายระบำอยากจะหลบเลี่ยง โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อ พลังวิญญาณผลักออกไป กระบี่บินแทงไปตรง ๆ การแทงครั้งนี้เข้าเป้าถนัดถนี่ แต่ผลกลับเป็นเพียงการทิ้งรอยกระบี่ตื้น ๆ สายหนึ่งบนเถาวัลย์นี้
โม่เทียนเกอเห็นแล้วขมวดคิ้วเล็ก ๆ ถึงนางจะไม่เชี่ยวชาญกระบี่บิน แต่กระบี่บินนี้เป็นอาวุธเวทที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอประทานให้นาง แหลมคมอย่างยิ่งยวด ถึงกับฟันมันไม่ขาดหรือ
“เสี่ยวหั่ว ใช้ทักษะเวทเผามัน!”
เสี่ยวหั่วได้ยินแล้วกระโดดไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง พ่นไฟแท้ไท่หยางออกมาอีกรอบ
ครั้งนี้ความเคลื่อนไหวของเถาวัลย์ใหญ่โตขึ้นมาหน่อย กิ่งใบโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง พัดสายลมกล้าแข็งออกมาหลายสาย สกัดไฟแท้กลับมา
แต่โม่เทียนเกอยังคงสังเกตเห็นว่าปลายของกิ่งใบมีรอยไหม้
ไฟแท้ไท่หยางยังมีประโยชน์ เพียงแค่ว่าประสิทธิภาพไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่การจะอาศัยไฟแท้ไท่หยางผลักเถาวัลย์นี้ให้ล่าถอยยังไม่ได้
โม่เทียนเกอคิดชั่วขณะ มีความคิดอย่างหนึ่ง
นางหยิบหุ่นเชิดหินสลักออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ หลังจากได้รับหุ่นเชิดสองตัวนี้น้อยมากที่จะใช้ต่อสู้ ความจริงคือนางเลื่อนระดับเร็วเกินไป แต่ว่าพลังของหุ่นเชิดสองตัวนี้กล้าแข็งอย่างยิ่ง ยังคงมีประโยชน์มาก
ขณะนี้นางสั่งการหุ่นเชิดสองตัวนี้ให้เดินไปทางเถาวัลย์ เถาวัลย์คล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ กิ่งก้านรัดเข้ามา หุ่นเชิดสองตัวหยุดนิ่ง พากันวาดกระบี่ กระบี่ที่ฟังลงไปยังคงเป็นเพียงแผลตื้น ๆ สองรอยอยู่บนเถาวัลย์ จากนั้น กิ่งก้านดันอ่อนนุ่มเหล่านี้ม้วนหุ่นเชิดสองตัวขึ้นไป
เสี่ยวหั่วลนลานอยู่บ้าง ร้องอูอูสองคำ หุ่นเชิดสองตัวนี้อยู่เป็นเพื่อนมันในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาโดยตลอด ล้วนมีความผูกพันต่อกันแล้ว
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ปลอบมันว่า “อย่าลนลาน”
หุ่นเชิดหินสลักถึงจะมีพลังกล้าแข็งอย่างยิ่ง แล้วยังทนทานไร้ที่เปรียบ แต่เถาวัลย์ก็เหนียวเป็นที่สุด กิ่งก้านยังยืดหยุ่น ยับยั้งพวกมันได้พอดี อยากจะอาศัยพวกมันฟันเถาวัลย์ให้ขาดเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ที่โม่เทียนเกอหยิบหุ่นเชิดออกมากลับไม่ได้เป็นแผนการนี้
ตอนที่ม้วนพันหุ่นเชิดสองตัววจนกระทั่งพวกมันขยับเขยื้อนไม่ได้ เถาวัลย์โยนพวกมันไปด้านหลัง ตอนนี้เอง โม่เทียนเกอเห็นว่าระหว่างกิ่งใบอันรกชัฏข้างหลังมีถุงขนาดมหึมาหนึ่งใบ คล้ายกับปากอันใหญ่
ตอนที่กิ่งก้านมัวนหุ่นเชิดเข้าไป ปากใหญ่นี้อ้ากว้าง กิ่งก้านโยนหุ่นเชิดเข้าไป ปากใหญ่ปิดลง เริ่มขยุกขยิกเหมือนว่ากำลังกลืนกิน
เมื่อเห็นฉากเหตุการณ์นี้ โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ จิตหยั่งรู้ขยับ ถุงใบใหญ่จู่ ๆ นูนออกมา กิ่งใบของเถาวัลย์เริ่มสั่นเทาคล้ายกับเจ็บปวด จากนั้น การสั่นเทายิ่งมายิ่งรุนแรง แม้แต่ถุงใบใหญ่ที่ซ่อนลึกอยู่ข้างหลังก็เริ่มจะบิดตัวขึ้นมา
ทันใดนั้น “ฉัวะ” ถุงใบใหญ่ปริแตกเป็นรู กระบี่หินของหุ่นเชิดหินสลักทิ่มออกมาจากด้านใน ของเหลวสีเขียวไหลออกมา
“เสี่ยวหั่ว ทักษะเวท!”
เสี่ยวหั่วกระโดดขึ้นมา พ่นไฟแท้ไท่หยาง ในเวลาเดียวกัน กระบี่บินของโม่เทียนเกอฟันออกไป กลับฉวยโอกาสตอนที่กิ่งก้านของเถาวัลย์ต้านทานไฟแท้ไท่หยางบินเข้าไปตามช่องว่างจนแทงถุงใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
ครั้งนี้ กระบี่บินแทงลึกจนมิดด้าม ของเหลวสีเขียวไหลออกมามากกว่าเดิม จากนั้น หุ่นเชิดหินสลักสองตัวทลายออกมาจากในถุงใบใหญ่
ถุงใบใหญ่ตอนนี้ไม่ได้มีรูปทรงเป็นถุงแล้ว ฉีกขาดจนแทบจะกลายเป็นตะแกรง
ของเหลวสีเขียวที่ยิ่งมายิ่งมากไหลออกจากข้างใน ความเคลื่อนไหวของเถาวัลย์ยิ่งมายิ่งช้า จนท้ายที่สุดก็แน่นิ่งไป ไม่ขยับแล้ว
เสี่ยวหั่วร้องหลายคำอย่างดีอกดีใจทันที พุ่งขึ้นไป เริ่มแทะเล็มถุง
โม่เทียนเกอก็เดินไป ศึกษาเถาวัลย์แสนพิเศษต้นนี้
ถ้าหากเถาวัลย์เหล่านี้ล้วนถือว่าเป็นมาร ระดับการฝึกตนของเถาวัลย์ต้นนี้สูงกว่าต้นอื่นอย่างเห็นได้ชัด กิ่งก้านถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ไฟแท้ไท่หยางก็ยากจะเผาจนไหม้
นางคิด ๆ แล้วชักกระบี่บินไปตัดกิ่งก้าน ถึงจะไม่อาจตัดขาดในทันที แต่ใช้กระบี่บินเฉือนไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด สุดท้ายยังเฉือนออกมาสองชิ้น
เวลานี้ เสี่ยวหั่วกินถุงใบใหญ่นั้นเรียบไปแล้ว มองเห็นเถาวัลย์อันเขียวชอุ่มอันไร้พลังชีวิตไปแล้ว กลอกนัยน์ตาดำสนิท อดไปกัดหนึ่งคำไม่ได้ ครั้งนี้กลับแทบจะทำฟันของมันหัก ได้ยินแค่มันร้อง “อู” กระโดดขึ้นมา ใช้อุ้มเท้าหน้าทั้งสองกุมปาก กระโดดไปกระโดดมาอยู่บนพื้น
โม่เทียนเกอถูกการกระทำของมันก่อกวนจนขำ คว้าตัวมันขึ้นมา “ดูซิว่าเจ้าจะตะกละอีกไหม!”
เสี่ยวหั่วกุมอยู่ครึ่งค่อนวันจึงได้กะพริบตา วางอุ้มเท้าลง คอตกอย่างน่าสงสาร
โม่เทียนเกอลูบหัวของมัน พูดว่า “สิ่งนี้แข็งเกินไป เจ้ากัดไม่ขาดหรอก หากอยากจะเอาไปก็ต้องเสียเวลานานมาก รอให้พวกเรากลับมาค่อยว่ากันเถอะ” นางแค่ตัดกิ่งลงมาสองท่อนก็เสียเวลานานขนาดนี้แล้ว อยากจะเอาสิ่งนี้ทั้งหมดไปจะอย่างไรก็ต้องเสียเวลาเป็นหลายวัน เป้าหมายการเดินทางของนางเที่ยวนี้คือการเสาะหาถ้ำพำนักของโม่เหยาชิง ยังคงทำธุระให้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน
จับเสี่ยวหั่วเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หนึ่งคนหนึ่งสัตว์อสูรพักผ่อนสักพักหนึ่ง ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเดินทางต่อไป
บินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อีกสองวัน มหาสมุทรกว้างขวาง ไม่มีร่องรอยของเกาะใด ๆ
โม่เทียนเกอะเสาะหาอยู่ครึ่งวัน ใช้เข็มทิศเปรียบเทียบตำแหน่งที่ตนเองอยู่ ยืนยันครั้งสุดท้าย แผนที่ทะเลแผ่นนั้นที่เว่ยเฮ่าหลานให้ถูกต้อง ตรงนี้ไม่ได้มีเกาะใหญ่จริง ๆ บางทีเวลาห้าพันปี เกาะใหญ่นั้นหายไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ไปแต่แรกแล้ว ช่วยไม่ได้ ได้แต่ไปเสาะหาเครื่องหมายอันต่อไปต่อ
บิน ๆ หยุด ๆ ไปอย่างนี้ เสาะหาอยู่หลายเดือน เหนื่อยก็เข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปพัก หยอกล้อสัตว์วิญญาณทั้งสอง สดชื่นขึ้นมาแล้วก็ออกมาบินต่อ ตรงกลางเดินทางผิดไปหลายครั้ง แล้วก็เจอกับอสูรมารในทะเลหลายตัว
บนแผนที่เส้นทางของโม่เหยาชิงมีเกาะเล็ก ๆ หลายแห่งที่หายไปไม่เห็นแล้ว ถึงตอนหลัง แผนที่ทะเลที่เว่ยเฮ่าหลานให้ก็ไม่มีการบันทึกแล้ว จนหนทาง นางได้แต่พึ่งเข็มทิศ คลำทางไปทีละนิด ๆ เสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง
หลายเดือนให้หลัง โม่เทียนเกอเริ่มวิตกกังวลแล้ว ถึงแม้นางไม่ต้องเสาะหาเกาะเล็กเพื่อพักผ่อน พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมตลอดเวลา แต่การบินทุก ๆ วัน สิ่งที่เห็นเป็นมหาสมุทรอันไพศาลสุดลูกหูลูกตา แม้แต่คนจะพูดคุยด้วยยังไม่มี แรงกดดันทางจิตใจยิ่งมายิ่งมาก ในสถานที่ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนผันแห่งหนึ่งง่ายมากที่จะทำให้คนรู้สึกกระสับกระส่าย ถึงนางจะเป็นผู้ฝึกตนก็เป็นเช่นนี้
ตอนที่นางจวนจะถึงขีดจำกัด จิตหยั่งรู้สะดุดขึ้นมา ในที่สุดสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณในที่ไกล ๆ แล้ว
เมื่อค้นพบจุดนี้ โม่เทียนเกอกักเก็บความยินนี้เอาไว้ไม่ได้ นางวนอยู่ในทะเลมาหลายเดือนจนจวนจะเป็นบ้าไปแล้ว ถ้าต้องดำเนินเช่นนี้ต่อไปอีกก็ได้แต่ล้มเลิกเป็นการชั่วคราว เข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนฝึกสภาวะจิตใจ โชคดีที่ในที่สุดก็สัมผัสได้แล้ว
ตามคู่มือในแผนที่เส้นทางของโม่เหยาชิง นี่ก็คือสถานที่ที่ต้องหาเป็นแห่งสุดท้าย
การเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณยิ่งมายิ่งกล้าแข็ง เกาะเล็กแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของนางในที่สุด โม่เทียนเกอดีใจแทบคลั่ง โชคดีที่เกาะเล็กแห่งนี้ไม่ได้กลายเป็นหนึ่งในเกาะที่จมลงไป หากเป็นเช่นนั้น การเดินทางเที่ยวนี้ของนางนับว่าเสียเปล่าแล้ว
แต่เวลานี้ นางยิ่งรอบคอบ เพราะโม่เหยาชิงบอกบนแผ่นหยกเอาไว้ชัดเจนมากว่าในถ้ำพำนักที่นางนั่งละสังขารตั้งม่านพลังกำแพงอาคมที่ร้ายกาจเอาไว้ โม่เหยาชิงเป็นบุคคลยอดอัจฉริยะ ในบันทึกที่นางจดเอาไว้ผ่าน ๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิชาม่านพลังได้มอบแรงบันดาลใจมากมายให้โม่เทียนเกอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้ำพำนักนั่งละสังขารที่นางตั้งขึ้นมาด้วยตนเองเลย ถึงแม้ในมือจะมีแผนที่เส้นทาง โม่เทียนเกอก็ไม่กล้าประมาท
รอจนบินไปใกล้ โม่เทียนเกอวนอยู่เหนือเกาะเล็กหลายรอบ
นี่เป็นเกาะเล็กที่มีรัศมีประมาณสิบลี้ มวลเมฆลอยล่อง พลังวิญญาณอ่อนจาง ค่อนข้างมีไอเซียน โม่เทียนเกอดูออกว่าบนเกาะเล็กนี้น่าจะมีเส้นเลือดวิญญาณขนาดกลางหนึ่งเส้น แต่พลังวิญญาณส่วนใหญ่ถูกกักขังเอาไว้ มีเพียงพลังวิญญาณปริมาณน้อยหลุดรอดออกมา
พลังวิญญาณเช่นนี้ไม่ดึงดูดความสนใจของอสูรมารขั้นสูง แต่มีอสูรทะเลขั้นต่ำจำนวนหนึ่งเดินท่องไปทั่วเกาะ
เกาะทรงวงแหวน ชั้นนอกสุดเป็นหาดทราย ด้านในเป็นยอดเขาเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ยกตัวขึ้น มองลงไปจากด้านบน ในน้ำทะเลสีคราม เม็ดทรายขาวละเอียดหนึ่งชั้นโอบล้อมแมกไม้เขียวขจีผืนหนึ่ง งดงามถึงสิบส่วน บนยอดเขาที่สูงที่สุดตรงกลาง โม่เทียนเกอค้นพบร่องรอยของม่านพลัง สอดคล้องกับบันทึกในแผ่นหยกของโม่เหยาชิง
เมื่อยืนยันแน่ชัดว่าไม่ได้หาสถานที่ผิด โม่เทียนเกอกางมือ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวหลุดออกจากมือ กลายร่างเป็นสายหมอกบาง ๆ โอบล้อมตนเองจนมิด จากนั้นกำพัดแห่งสวรรค์และโลกาค่อย ๆ ทิ้งตัวลง
ถึงแม้สถานที่จะหาพบแล้ว แต่สรุปแล้วมีอันตรายหรือไม่ยังยากจะบอก ถึงอย่างไรผ่านมาห้าพันปีแล้ว ระหว่างนี้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก
เหยียบลงบนพื้นดินในที่สุด โม่เทียนเกอแผ่ขยายจิตหยั่งรู้ออกไปเป็นอันดับแรก นอกจากตำแหน่งถ้ำพำนักที่โม่เหยาชิงบอก สถานที่แห่งอื่นไม่มีอันตรายเลย นางโล่งอก ก้าวไปข้างหน้าสู่ถ้ำพำนักนั้น
โม่เหยาชิงพูดว่า ที่ถ้ำพำนักนี้ติดตั้งม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ที่นางคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง ม่านพลังนี้ทำลายอย่างไรนางก็ไม่ได้อธิบายในแผ่นหยก ก็นับว่าเป็นบททดสอบเล็ก ๆ อย่างหนึ่งที่นางมอบให้ชนรุ่นหลัง
บังเอิญว่าโม่เทียนเกอได้รับบันทึกของนาง เกี่ยวกับม่านพลังสัตตสัมบูรณ์นี้มีการบันทึกเอาไว้ประปราย บวกกับความสำเร็จในวิชาม่านพลังของตัวนางเอง สำหรับการทำลายม่านพลังก็มีความมั่นใจในระดับหนึ่ง
สัตตสัมบูรณ์ที่เรียกอันที่จริงก็คือห้าธาตุรวมกับอินหยาง ทุก ๆ สัมบูรณ์ก็คือหนึ่งด่าน ม่านพลังนี้ประกอบด้วยเจ็ดด่าน โม่เหยาชิงเรียกม่านพลังนี้ว่าสัตตสัมบูรณ์มีความหยิ่งทะนงปะปนอยู่ข้างใน ตนเองเชื่อว่าด้วยระดับการฝึกตนนี้ของนาง สามารถควบรวมห้าธาตุอินหยางจนถึงขั้นนี้เป็นการไปถึงขีดจำกัดแล้ว ด้วยเหตุนี้ขนานนามว่าสัตตสัมบูรณ์
ข้างในนี้ ห้าธาตุแปรผันกะทันหัน บางเวลาต่อต้านกัน บางเวลาหนุนเสริมกัน ดูไปแล้วเป็นทอง อาจจะเป็นน้ำ แล้วก็อาจจะเป็นไฟ อินหยางผสมผสาน สรุปว่าเป็นอินหรือหยาง หากมิได้เชี่ยวชาญวิชาม่านพลังอย่างยิ่งยากมากที่จะแยกแยะให้ชัดเจน
ดังนั้นหากต้องการจะทำลายศาสตร์ลับของม่านพลังนี้อันที่จริงแล้วก็คือคำเดียว แยกแยะ ขอเพียงแยกแยะได้ชัดเจน ม่านพลังนี้ก็ทำลายได้ง่ายดายแล้ว
……………………………………….