หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 331 – ทำลายม่านพลัง ร่างแท้
ตอนที่ 331 – ทำลายม่านพลัง ร่างแท้
โม่เทียนเกอไม่ได้เข้าม่านพลังทันที จะทำลายม่านพลังสัตตสัมบูรณ์นี้ได้อย่างไร นางมีความคิดอยู่แต่แรกแล้ว หลายเดือนนี้ก็เตรียมตัวมาตลอด ขณะนี้ นางสั่งการให้หุ่นเชิดหินสลักสองตัวเข้าม่านพลัง ถ่ายทอดจิตหยั่งรู้ไปกระตุ้นม่านพลังขึ้นมาทีละอัน
หุ่นเชิดสองตัวนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต วัสดุก็พิเศษถึงสิบส่วน ไม่ได้รับผลกระทบในม่านพลังนี้เลย โม่เทียนเกอถ่ายทอดจิตหยั่งรู้ไปควบคุมพวกมัน สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของม่านพลังอย่างชัดเจน
นางควบคุมอย่างระมัดระวังมาก จุดต้องสงสัยทุกจุดที่ค้นพบจะต้องใช้หุ่นเชิดไปทดสอบซ้ำ ๆ จนกระทั่งคำนวณความเปลี่ยนแปลงของห้าธาตุอินหยางภายในออก
กระบวนการนี้เสียเวลาไปสองวันเต็ม ๆ ความจริงคือม่านพลังสัตตสัมบูรณ์นี้ใหญ่เกินไป ซับซ้อนเกินไป
สองวันให้หลัง โม่เทียนเกอให้หุ่นเชิดหินสลักทั้งสองตัวออกมาจากในม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ นางคำนวณความเปลี่ยนแปลงห้าธาตุอินหยางของม่านพลังสัตตสัมบูรณ์นี้ได้ประมาณหนึ่งแล้ว ในใจมีวิชาที่จะต่อกรแล้ว
นางยังคงไม่ได้เข้าม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ ทว่าตรงเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เริ่มก้มหน้าก้มตาหลอมสร้างอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง
สำหรับเต๋าแห่งการหลอมอุปกรณ์ นางยังคงงุ่มง่ามมาก แต่ว่า ครั้งนี้สิ่งที่อยากหลอมสร้างมิใช่อาวุธเวทสามัญ ทว่าเป็นอุปกรณ์เวทม่านพลัง วิชาม่านพลังและอาวุธเวทเดิมทีเป็นแวดวงที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง แต่ในสถานกาณ์อันพิเศษเฉพาะก็สามารถเชื่อมโยงกันได้ อุปกรณ์เวทก่อม่านพลัง โม่เทียนเกอชำนาญจนไม่อาจชำนาญไปกว่านี้ได้แล้ว ถึงจะไม่เก่งด้านการหลอมอุปกรณ์ โอกาสในการหลอมจนกลายเป็นอาวุธเวทก็ไม่ต่ำจนเกินไป
วิธีการทำลายม่านพลังอันนี้ นางได้รับแรงบันดาลใจจากฉินซี ในมือฉินซีมีอาวุธเวทหนึ่งชิ้น เรียกว่าตะเกียงกำหนดยอด ตะเกียงนี้มีประสิทธิภาพอันพิสดารต่อการทำลายอาคม และกำแพงอาคมกับวิชาม่านพลังก็เชื่อมโยงกัน การใช้อาวุธเวทมาทำลายม่านพลังถึงจะไม่ได้พบเห็นบ่อยมาก แต่ก็มิใช่ไม่มี
แน่นอนว่าอาวุธเวทที่ใช้ทำลายม่านพลังเป็นสิ่งที่พบเห็นน้อยมาก หนึ่งคือวิชาม่านพลังที่ไม่เหมือนกัน วิธีการทำลายม่านพลังก็ไม่เหมือนกัน สองคืออาวุธเวทอย่างนี้ ข้อเรียกร้องต่อความสำเร็จในวิชาม่านพลังของผู้สร้างสูงเกินไป ปรมาจารย์วิชาม่านพลังที่โลกฝึกเซียนทุกวันนี้มีน้อยยิ่ง ส่วนใหญ่ของผู้สูงส่งในวิชาม่านพลังเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่อายุขัยมากว่างจนเบื่อ แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขายอดเยี่ยม สามารถทำลายม่านพลังทั้งหมดได้ทันที มีน้อยคนจะว่างจนเบื่อแล้วไปหลอมสร้างอาวุธเวททำลายม่านพลังอะไรพวกนี้
สาเหตุที่โม่เทียนเกออยากสร้างอาวุธเวทนี้กลับเป็นเพราะม่านพลังสัตตสัมบูรณ์อันนี้ร้ายกาจเกินไป โม่เหยาชิงซ่อนแผ่นหยกไว้ลึกปานนี้ เดิมทีก็คือวางแผนให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จึงสามารถมองเห็น ทว่าตอนนี้นางแค่ระดับก่อนเกิดตาน หลังจากใช้หุ่นเชิดหินสลักไปทดสอบเมื่อสักครู่ก็เข้าใจแล้ว หากตนเองเข้าข้างในไปทำลายม่านพลังด้วยตนเองเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ดังนั้นมิสู้ใช้วิธีการที่ปลอดภัยกว่าหน่อย
การหลอมสร้างนี้ เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว
เต๋าแห่งวิชาม่านพลัง พูดตรง ๆ ก็คือการทำความเข้าใจต่อห้าธาตุอินหยางบวกกับการคำนวณอย่างแม่นยำ ม่านพลังสัตตสัมบูรณ์อันนี้เป็นผลงานอันภาคภูมิใจของโม่เหยาชิง ข้อมูลตัวเลขที่รวมอยู่ข้างในมากมายมหาศาลเป็นที่สุด ดังนั้นการคำนวณมันขึ้นมายิ่งเป็นเรื่องที่น่าเหน็ดเหนื่อยเป็นพิเศษอย่างหนึ่ง
หากมิได้เคยผ่านตาบันทึกของโม่เหยาชิง โม่เทียนเกอยอมรับกับตัวเองว่าถึงนางจะเข้าใจหนังสือม่านพลังเสวียนจีทั้งหมดแล้ว คิดจะวิเคราะห์ม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ทั้งหมดอย่างน้อยก็ต้องหลายเดือน แต่ในบันทึกของโม่เหยาชิงมีการบันทึกถึงม่านพลังนี้ประปราย ดังนั้นนางเสียเวลาหนึ่งเดือนก็ทำความเข้าใจข้อมูลตัวเลขของม่านพลังนี้จนปรุโปร่งแล้ว
ขอเพียงเข้าใจข้อมูลตัวเลขของห้าธาตุอินหยาง การสร้างอุปกรณ์เวททำลายม่านพลังก็เป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก
ผ่านไปอีกหลายวัน อาวุธเวททำลายม่านพลังในที่สุดสำเร็จแล้ว
อาวุธเวทชิ้นนี้โม่เทียนเกอตั้งชื่อว่าจานกำหนดดารา คล้ายคลึงกับเข็มทิศ แต่ว่าสัมผัสไวต่ออินหยางห้าธาตุกว่า
จานกำหนดดาราตั้งค่าเสร็จสิ้น พักผ่อนในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนหนึ่งวัน โม่เทียนเกอออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนด้วยความสดชื่นแจ่มใสเต็มเปี่ยม เผชิญหน้ากับม่านพลังสัตตสัมบูรณ์อีกครั้ง
ครั้งนี้ ยังคงเป็นหุ่นเชิดหินสลักสองตัวนำไปก่อน
หลังจากหุ่นเชิดสองตัวเข้าไป ม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ระเบิดแสงเจิดจ้าออกมาทันที แสงสีทอง, เขียว, น้ำเงิน, แดง, เหลืองห้าสีปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วยังมีเงาดำแสงขาวไหววูบไม่หยุด
ในเวลาเดียวกัน พริบตาที่ม่านพลังสัตตสัมบูรณ์เริ่มเคลื่อนไหว พลังวิญญาณทั่วทั้งเกาะเล็กปั่นป่วนขึ้นมา
รอจนม่านพลังถูกกระตุ้นขึ้นมาทั้งหมด โม่เทียนเกอล้วงจานกำหนดดาราออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จานกำหนดดาราบินเข้าม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ เปล่งแสงสีขาวอันสดใสออกมา ภายใต้แสงสีขาวสายนี้ ห้าธาตุรอบ ๆ บริเวณค่อย ๆ เสถียรขึ้นมา
แน่นอนว่าม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ไม่ได้ถูกทำลายอย่างง่ายดายปานนี้ หลังจากค้นพบพลังส่วนนี้ ห้าธาตุรอบจานกำหนดดาราบิดเบี้ยวขึ้นมา กลายรูปเป็นการผสานกันของห้าธาตุอีกอย่างทันที
จานกำหนดดาราเปล่งแสงสีขาวออกมาอย่างต่อเนื่อง แบ่งแยกห้าธาตุรอบบริเวณออกมาทีละขั้น ส่วนโม่เทียนเกอขณะนี้ตั้งม่านพลังรวบรวมพลังวิญญาณเล็ก ๆ อันหนึ่งอยู่นอกม่านพลัง นั่งลงขัดสมาธิ โคจรพลังตามบันทึกไท่หยวน
หลังจากมีพลังวิญญาณหยาง ในร่างของนางก่อเกิดต้นกำเนิดที่สมบูรณ์แล้ว การฝึกบันทึกไท่หยวนตรง ๆ มีปัญหาไม่มาก
จานกำหนดดาราสามารถแบ่งแยกห้าธาตุ การทำให้อินหยางมั่นคงมีหนทางที่เรียบง่ายยิ่งกว่า นั่นก็คือการใช้บันทึกไท่หยวนล้อมพลังวิญญาณอินหยางพวกนี้แล้วก่อเกิดเป็นต้นกำเนิด เช่นนี้แล้ว อินหยางถูกนางควบคุม จะไม่ปั่นป่วนอีก
เวลาผ่านไปทีละนิด ๆ ไม่ว่าม่านพลังสัตตสัมบูรณ์จะเปลี่ยนผันไปอย่างไร จานกำหนดดาราก็เปล่งแสงสีขาวอันสม่ำเสมอได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ย้อนทวนห้าธาตุรอบบริเวณ ส่วนอินหยางสองสุดขั้ว ภายใต้การขับเคลื่อนของโม่เทียนเกอได้ก่อเกิดเป็นวัฏจักรหนึ่งวัฏจักรแล้ว
หลังจากคุมเชิงกันประมาณหนึ่ง ม่านพลังสัตตสัมบูรณ์รวบรวมพลังอันมหาศาลโถมใส่จานกำหนดดาราในม่านพลัง
โม่เทียนเกอสีหน้าเคร่งขรึม ทำศาสตร์มุทรา พลังวิญญาณจำนวนหนึ่งก่อตัวในอุ้งมือ ตีไปทางจานกำหนดดารา
ในจานกำหนดดาราอันนี้ นางใช้ศิลาวิญญาณขั้นสูงหลายก้อนเป็นแหล่งพลังวิญญาณ แต่สำหรับม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ยังคงไม่เพียงพอ
ม่านพลังอันนี้คงอยู่มาหลายปีขนาดนี้ยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้ น่าจะเป็นอย่างนักเดินทางจื่อเวย ใช้เส้นเลือดวิญญาณกับตัวมันตรง ๆ เช่นนี้แล้ว นอกเสียงจากวันเวลาผันผ่านเนิ่นนาน เส้นเลือดวิญญาณเสื่อมสลาย ม่านพลังจึงจะล้มเหลว
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่ถึงเวลาล้มเหลว พลังอำนาจอาจจะอ่อนลงไปแล้ว แต่พลังยังคงมหาศาล โม่เทียนเกอได้แต่ถ่ายทอดพลังวิญญาณของตนเองให้จานกำหนดดาราอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ส่วนตัวนางอาศัยม่านพลังรวบรวมพลังวิญญาณ, ศิลาวิญญาณ, ยาฟื้นฟูวิญญาณ ฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมา
นี่เป็นการต่อสู้ของพลังวิญญาณ ขอเพียงพลังวิญญาณของนางเพียงพอ การทำลายม่านพลังเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
ภาวะคุมเชิงของพลังวิญญาณคงอยู่สามวันเต็ม ๆ สามวันให้หลัง ในม่านพลังสัตตสัมบูรณ์เกิดเสียงระเบิดดังมาก กลับเป็นจานกำหนดดาราจู่ ๆ ดูดซับพลังวิญญาณประมาณมาก ระเบิดขึ้นมาแล้ว!
ในเวลาเดียวกัน พลังของม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ในที่สุดก็สลายตัวไป
โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม่ขยับอยู่นานมาก ในเวลาสามวันถ่ายทอดพลังวิญญาณออกไปต่อเนื่องไม่หยุด ตอนนี้นางเหน็ดเหนื่อยยิ่งนักแล้ว
ปรับลมหายใจครึ่งวัน ในที่สุดสติสัมปชัญญะฟื้นคืน นางลุกขึ้นยืน เก็บหุ่นเชิดกลับ เดินเข้าม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ที่พังไปแล้ว หยิบจานกำหนดดาราบนพื้น ถอนหายใจออกมา
จานกำหนดดารานี้ใช้วัตถุดิบหายากไม่น้อย ถึงกลับยังคงพัง หากนางเข้าไปทำลายม่านพลังด้วยตนเอง ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะอันตรายถึงเพียงใด
ผ่านม่านพลังที่หักพังของม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ โม่เทียนเกอเห็นทางเข้าแคบเล็กหนึ่งช่อง
ทางเข้านี้คล้ายกับเป็นเพียงช่องแตกในหินภูเขา มองทะลุช่องแตกไปสุดขอบสายตาก็เป็นเพียงหุบเขาที่เล็กยิ่งหนึ่งหุบเขาเท่านั้น ไร้วัตถุอื่นใด
โม่เทียนเกอหยิบแผ่นหยกออกมาตรวจสอบดู ยืนยันว่าเป็นที่นี่แล้วจึงเดินเข้าไป
เข้าหุบเขา ตรงสู่ส่วนลึก นางชี้ศาสตร์เวทหนึ่งอันตีเข้าใส่ผนังผา ผนังผาส่งเสียงแล้วเปิดออก เผยปากถ้ำสูงหนึ่งช่วงคน นางสาวเท้าเดินเข้าไป
ในถ้ำมืดมาก แทบจะไม่สีแสงสว่าง คิดว่าถึงจะมีศิลาแสงจันทร์ ผ่านไปหลายพันปีก็คงสูญเสียแสงสว่างไปแล้ว
นางหยิบราชินีศิลาแสงจันทร์ออกมาจากในกระเป๋าเอกภพหนึ่งก้อนแขวนไว้บนเอว เดินไปข้างหน้าช้า ๆ
การเดินทางช่วงถัดไปราบรื่นมาก มีบททดสอบหลายแห่งเป็นครั้งคราว แล้วก็เป็นสิ่งที่โม่เหยาชิงบันทึกทิ้งเอาไว้ โม่เทียนเกอมีการเตรียมตัวล่วงหน้าแต่แรก ผ่านไปทีละอัน ๆ
สุดท้ายเดินผ่านทางศิลาหนึ่งแห่ง ข้างหน้าสว่างจ้าขึ้นมา โม่เทียนเกอเงยหน้ามองไปรอบ ๆ นี่เป็นหุบเขาทรงกลมแห่งหนึ่ง หญ้าเขียวขจี แสงแดดสว่างไสว
นางรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง ตอนที่มองจากบนฟ้าลงมาไม่เคยเห็นหุบเขานี้เลย ดูท่าถูกกำแพงอาคมปิดซ่อนเอาไว้ แต่นางกลับไม่ได้ค้นพบร่องรอยของกำแพงอาคมแม้แต่เศษเสี้ยว เรียกได้ว่าที่นางเดินทางช่วงนี้อย่างราบรื่นเป็นเพราะโม่เหยาชิงไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความลำบากให้ชนรุ่นหลังโดยแท้ ถ้ามิเช่นนั้นอาศัยเพียงกำแพงอาคมนี้อย่างเดียว นางก็ไม่รู้ว่าต้องเสียเวลานานเท่าใดจึงจะสามารถหาทางเข้าพบ
ในหุบเขา ถึงผืนหญ้าจะเขียวขจี พลังชีวิตเต็มเปี่ยม แต่มีวัชพืขอยู่ทุกที่ ทิ้งร้างไปนานแล้ว มีหญ้าวิญญาณไม่กี่ต้นประปราย โม่เทียนเกอก็ไม่ได้สนใจ ถึงอย่างไรพลังวิญญาณที่นี่ไม่ดีเลย หญ้าวิญญาณก็โตอย่างแคระแกร็น ไม่ว่าจะมีอายุมากแค่ไหนก็เทียบกับโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่ได้โดยสิ้นเชิง
บนผนังผาที่โอบล้อมหุบเขามีถ้ำภูเขาหลายถ้ำ โม่เทียนเกอระมัดระวังรอบคอบ หยิบแผ่นหยกของโม่เหยาชิงออกมาเปรียบเทียบโดยละเอียด หลังจากเข้าใจวัตถุประสงค์ของถ้ำภูเขาหลายถ้ำนี้จึงเข้าไปทีละถ้ำ
ถ้ำภูเขาหลายถ้ำนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าห้องฝึกตน, ห้องหลอมโอสถ, ห้องสัตว์วิญญาณ ฯลฯ ในห้องสัตว์วิญญาณไม่ได้มีสิ่งของเลย ตอนที่โม่เหยาชิงนั่งละสังขารได้ปลดปล่อยสัตว์วิญญาณของตนเองไปแล้ว ห้องหลอมโอสถ, หลอมอุปกรณ์ ฯลฯ นางเข้าไปดู ค้นพบว่ามีเครื่องมือเต๋าแปลกประหลาดหลายชนิด เลือกอย่างสองอย่างที่ตนเองต้องการเก็บเข้ากระเป๋าเอกภพ แผ่นหยกที่โม่เหยาชิงทิ้งเอาไว้ หนึ่งคือให้ลูกหลานสกุลโม่ สองคือให้ศิษย์ผู้สืบทอดสภาปี้เซวียน หากนางเก็บสิ่งของไปหมด อนาคตศิษย์สภาปี้เซวียนมีผู้ที่ไปถึงจิตวิญญาณใหม่เสาะหามาถึงก็จะไม่มีสิ่งของแล้ว นางไม่ได้ละโมบโลภมาก ไม่ได้ตั้งใจจะตัดทางถอยของผู้อื่น
สุดท้าย นางเข้าห้องฝึกตน
ห้องฝึกตนนี้คดเคี้ยวแคบเล็ก สิ่งของวางระเกะระกะเป็นกอง ๆ ทุกแห่งหน มีวัตถุดิบหลายชนิด, มีหนังสือ, มีแผ่นหยก, ยังมีสิ่งที่แปลกประหลาดที่ไม่รู้ประโยชน์
โม่เทียนเกอมองไปทีละอย่าง รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะความหายากของวัตถุดิบพวกนี้ ทว่าเป็นเพราะการจัดวางอย่างเละเทะ มีกระเป๋าเอกภพ สิ่งของพวกนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องวางกองในถ้ำพำนัก การวางกองสุ่มอย่างส่งเดชเช่นนี้สามารถอธิบายได้เพียงประการเดียว นั่นก็คือโม่เหยาชิงขี้เกียจมาก ใช้แล้วก็โยนทิ้ง ขี้เกียจเกินกว่าจะจัดระเบียบ
นางถอนหายใจพลางเดินเข้าไปพลาง เหยาชิงกูเหนียงผู้มีเสน่ห์ไร้ที่เปรียบซึ่งหยวนเป่าเรียกขานและมีน้ำเสียงอ่อนโยนผู้นั้น ถ้ำพำนักที่เหลือทิ้งเอาไว้ถึงกับเป็นลักษณะนี้หรือ นี่มันช่าง –
เพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ นางหันเข้าไปในส่วนลึกของห้องฝึกตน มองเห็นแท่นหยกที่อยู่ในสุด กลับสูญเสียคำพูดไปในพริบตา พูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
บนแท่นหยกนั่งไว้ด้วยสตรีนางหนึ่ง นางนั่งขัดสมาธิ ท่วงท่าเหยียดตรง หลับตาทั้งคู่ ใบหน้าสงบนิ่ง คิ้วนางดุจขุนเขาไกลตา ดวงหน้าดั่งจันทราสารท ผิวพรรณคล้ายหิมะ เส้นผมดั่งเมฆา นางเพียงนั่งเฉย ๆ เช่นนี้กลับทำให้คนรู้สึกไม่มีที่ใดไม่งดงาม
ตั้งแต่เหยียบย่างบนเส้นทางเซียน โม่เทียนเกอเคยเห็นสตรีงดงามไม่น้อย แม้แต่ตัวนางเอง ถึงจะเรียกว่าจมมัจฉาตกปักษีไม่ได้ แต่ก็งามปราณีต แต่ไม่เคยมีคนไหนที่ทำให้นางผุดคำว่า “ล้มแคว้นล่มเมือง” สี่คำนี้ขึ้นมาในสมองอย่างอดไม่ได้
ความงามของสตรีนางนี้เป็นสิ่งที่นางเพิ่งจะพบเห็นตั้งแต่เกิดมาจริง ๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ โม่เทียนเกอจึงได้สติกลับมา ระบายลมออกจากปากคำหนึ่ง
ถึงแม้สตรีนี้จะเหมือนจริงดุจดั่งมีชีวิต แต่นางทราบว่านี่เป็นเพียงศพเท่านั้น
ในถ้ำพำนักแห่งนี้ ศพที่นั่งขัดสมาธิ นอกจากโม่เหยาชิงแล้วย่อมไม่มีผู้อื่น
คิดอย่างนี้แล้ว โม่เทียนเกอรู้สึกเหลือเชื่อ บรรพบุรุษของนาง ผู้ฝึกตนสตรีที่มีชีวิตเมื่อห้าพันปีก่อน มีร่างอินบริสุทธิ์ ครอบครองพรสวรรค์ล้ำโลก ถึงกับยังเป็นสตรีที่งดงามชวนตะลึงเช่นนี้ด้วยหรือ
……………………………
เพิ่งกลับไปดู ลำนำสตรียอดเซียนแปลศิลาแสงจันทร์เป็นหินจันทราอะ แล้วราชินีศิลาแสงจันทร์ก็คือราชินีหินจันทรา พอดีลืมกลับไปเช็กคำนี้