หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 340 – ทำความตกลง
ตอนที่ 340 – ทำความตกลง
หนึ่งปีผ่านไป ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้ออกจากถ้ำพำนักตั้งแต่ต้นจนจบ ฟังที่เหล่าสาวใช้พูด ในปีนี้ซือจู่แม้แต่เสียงยังไม่เปล่งออกมา ห้องกักตนสงบเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ
ฉินซีกับโม่เทียนเกอฟังแล้วก็หันไปสบตากันอย่างตะลึงอยู่บ้าง ไม่ได้ตะลึงที่อาการบาดเจ็บของซือฟุสาหัสขนาดนี้ ทว่าเขถึงกับอดทนไม่พูดนานขนาดนี้ ไม่ง่ายดายเลย
ทั้งสองคนพากันมาถึงห้องกักตน ยังคงเป็นหลังจากฉินซีออกท่ามุทราหนึ่งชุด เสียงของประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงถ่ายทอดออกมาว่า “ซีเอ๋อร์ เทียนเกอ พวกเจ้ามีธุระหรือ”
ก่อนหน้าการกักตนครั้งนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอเคยพูดว่าภายในสิบปีจะไม่ออกจากการกักตน ปัจจุบันนี้เพิ่งหนึ่งปี่เท่านั้น
ฉินซีเอ่ยเสียงดังว่า “ซือฟุ พวกเรามีเรื่องที่อยากจะถามความเห็นท่าน”
ภายในห้องกักตนไม่มีเสียงถ่ายทอดออกมาอีก ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูศิลาเปิดออกช้า ๆ
หลังจากทั้งสองคนเข้าไป ประตูศิลาปิดลง โม่เทียนเกอมองประมุขเต๋าจิ้งเหอที่นั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจรักษาบาดเจ็บ สีหน้าดูดีขึ้นมากมาย อย่างน้อยไม่ได้รู้สึกแก่ชราแล้ว ในใจนางผ่อนคลายลง ดูท่าว่าอาการบาดเจ็บของซือฟุดีมากแล้ว
“ซือฟุ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไร”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอลืมตามองพวกเขา ยิ้มเอ่ยว่า “โชคดีที่พวกเจ้าหาโอสถพวกนั้นกลับมา อาการบาดเจ็บของซือฟุดีมากแล้ว อีกทั้งไม่แน่ว่ายังจะสามารถเป็นวาสนาในคราเคราะห์”
โม่เทียนเกอและฉินซีไม่เข้าใจ ทั้งสองสบตากัน คิดถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่งขึ้นมาพร้อมกัน ร้องอย่างประหลาดใจแกมยินดีว่า “ซือฟุ ท่านมีโอกาสเลื่อนขั้นแล้วหรือ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้า ถึงแม้รูปลักษณ์ยังไม่ได้ฟื้นฟู สีหน้ากลับมีความแจ่มใสอย่างแต่ก่อนแล้ว “มิผิด กักตนรักษาบาดเจ็บปีนี้ เหวยซือมีความตระหนักรู้แล้ว จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายไม่ได้เป็นอย่างแต่ก่อนที่มีหุบเหวอันไม่อาจข้ามผ่าน!”
นี่กลับเป็นความยินดีอันเหนือคาด ฉินซีและโม่เทียนเกอล้วนดีใจออกนอกหน้า เอ่ยแสดงความยินดีอย่างพร้อมเพรียงว่า “ขอแสดงความยินดีกับซือฟุ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับโบกมือ เก็บอาการกลับมาบ้าง “เพียงมีความเป็นไปได้เท่านั้น คิดจะรักษาบาดเจ็บจนหายดีอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเพียรพยายามยี่สิบสามสิบปี เลื่อนขั้นอันใดเล่า?” พูดจบก็ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้ามามีอะไรที่อยากถามหรือ”
“อืม” ฉินซีเอ่ยก่อน “ซือฟุ ตามความเห็นของท่าน หนึ่งปีก่อนข้าเข้าสู่การกักตนแล้ว ทว่าเทียนเกอได้ออกไปเดินเล่น……”
จากนั้น ทั้งสองเล่าประสบการณ์หนึ่งปีนี้ของโม่เทียนเกอโดยคร่าว ๆ หนึ่งรอบ
ประมุขเต๋าจิ้งเหอฟังจนจบ ตรวจสอบระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอก่อนแล้วชมเชยว่า “ไม่เลว ถึงจะเพิ่งเลื่อนเป็นขั้นกลาง พลังวิญญาณกลับเสถียรมาก พวกเจ้าสองคนฝึกตนร่วมสัมพันธ์เป็นคู่สวรรค์สร้างโดยแท้!”
“……” เอ่ยถึงเรื่องฝึกตนร่วมสัมพันธ์นี้ โม่เทียนเกอยังขัดเขินอยู่บ้าง เปิดประเด็นขึ้นมาทันทีว่า “ซือฟุ ท่านออกความเห็นมาหน่อยเจ้าค่ะ พวกเราตอนนี้ทำอย่างไร”
“ทำอย่างไร?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะลึง “ทำอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ถามข้าทำอะไร”
“ซือฟุ!” โม่เทียนเกอเบิกตากว้าง “พวกเรามาถามความเห็นท่านนะ!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอโบกมือพูดว่า “ความเห็นของข้าก็คือพวกเจ้าตัดสินใจกันเอง”
“……” โม่เทียนเกอและฉินซีใบ้กันไปพร้อมกัน
ฉินซีคิดแล้วเอ่ยว่า “ซือฟุ ข้ารู้สึกว่าให้เทียนเกอไปอวิ๋นจงคนเดียวอันตรายเกินไป ท่านว่าอย่างไรขอรับ”
“อันตราย?” สายตาของประมุขเต๋าจิ้งเหอวนบนตัวโม่เทียนเกอ มองไปทางฉินซี “ตอนที่เจ้าก่อเกิดตานขั้นกลาง อยากจะไปทำอะไร ซือฟุเคยห้ามเจ้าหรือไม่”
“……” ฉินซีหน้าแดงนิด ๆ เอ่ยตอบว่า “ไม่ขอรับ” อันที่จริง หลังจากเขาก่อเกิดตาน นอกเสียจากกักตนก็อยู่ที่โรงเรียนน้อยมาก มักจะออกจากโรงเรียนทีก็นานหลายปี……
แต่เขารู้สึกอีกว่าไม่เหมือนกัน เน้นย้ำว่า “แต่ว่า นางจะไปอวิ๋นจง……”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเบ้ปาก “อวิ๋นจงแล้วอย่างไร ที่นั่นกับเทียนจี๋มีอะไรไม่เหมือนกันหรือ ผู้ฝึกตนระดับสูงของพวกเขาวิ่งกันเต็มถนนหรือ หรือว่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสู้ได้เก่งเป็นพิเศษ”
ฉินซีหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง
โม่เทียนเกอถามอย่างดีใจอยู่บ้างว่า “ซือฟุท่านไม่คัดค้านหรือเจ้าคะ”
เพิ่งจะพูดกับฉินซีจบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันศีรษะมาจ้องนาง “เจ้าคิดจะไปสถานที่ห่างไกลขนาดนั้น สิ่งของล้วนตระเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือ เรื่องราวล้วนจัดแจงเรียบร้อยแล้วหรือ แผนการเล่า”
โม่เทียนเกอถูกคำถามสามข้อทำเอาจนแต้ม เอ่ยว่า “นี่มิใช่กำลังถามความเห็นของซือฟุท่านอยู่หรือ หากจะไปแน่ ๆ ย่อมจะจัดแจงเรื่องราวทุกอย่างให้เรียบร้อย……”
“หึ!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่เกรงใจสักนิด “คำพูดเป็นอย่างนี้ แต่พวกเจ้าสองคนล้วนคิดอ่านเหมือนกัน! ตัวเจ้าเองตัดสินใจแต่แรกแล้ว ยังจะถามอะไร มิใช่คิดจะให้ซือฟุช่วยเจ้ากล่อมอีกคนหรือ”
“……” โม่เทียนเกอก็เลยหมดคำพูดโดยสิ้นเชิงไปด้วย
“เรื่องประเภทนี้ยังวิ่งมารบกวนข้าซือฟุกักตนเป็นพิเศษ ว่างนักหรือ ออกไปให้ข้าให้หมดเลย! ไปไม่ไปตนเองคิดดีแล้วค่อยมาบอกสักคำก็พอ อายุตั้งเท่าไหร่กันแล้ว……”
ท่ามกลางเสียงดุด่าของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ทั้งสองคนถูกกวาดออกนอกประตูไปทั้งอย่างนี้
ออกจากห้องกักตน ประตูศิลาด้านหลังปิดใส่ทั้งสองคนไว้ข้างนอกอย่างไม่เกรงใจสักนิด ฉินซีและโม่เทียนเกอมองหน้ากัน ล้วนเห็นความจนใจในแววตาของแต่ละฝ่าย
ไม่มีหนทางแล้ว ได้แต่กลับไปก่อน
กลับสู่ถ้ำพำนักอย่างเงียบงันตลอดทาง ทั้งสองคนต่างมีเรื่องราวในใจของตน
ผลคือพอเปิดประตูศิลาของถ้ำพำนักก็มีเสียงอันลิงโลดของเยี่ยเจินจีดังออกมาทันทีว่า “ท่านป้า ซือฟุ พวกท่านกลับมาแล้ว!”
โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มฝืน ๆ เงยหน้ามอง แต่กลับตะลึงไป
ข้างกายของเยี่ยเจินจีขณะนี้ยืนไว้ด้วยศิษย์สตรีสร้างฐานพลังหนึ่งนาง สวมชุดของโรงเรียนเสวียนชิง เรียบร้อยสง่างาม ถึงจะไม่ใช่คนงามจนชวนตะลึง แต่ก็เรียกว่าคนอยู่ตรงหน้าพาให้กระจ่างตา
สตรีนางนี้เห็นพวกเขาแล้วก็โค้งกายคารวะ “โส่วจิ้งซือจู่ ชิงเวยซือซู”
พอได้ยินเสียงนี้โม่เทียนเกอก็จดจำได้ เป็นสุ่ยหลินโป ดูท่าอาการบาดเจ็บของนางหายดีมากแล้วกระมัง
“ไม่ต้องมากพิธี” ฉินซีเพียงตอบอย่างเฉยเมยหนึ่งคำแล้วมองไปทางเยี่ยเจินจี “เจ้าอยากจะย้ายกลับมาหรือไร”
เยี่ยเจินจีมองพวกเขา เกาศีรษะอย่างขัดเขินอยู่บ้าง “ซือฟุ……” นี่มิใช่หยอกล้อว่าเขาตามหลินโปไปอยู่บ้านหมิงซินตลอดมาหรอกหรือ
โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาหนังหน้าบาง เหลือบมองฉินซีแวบหนึ่ง ยิ้มเอ่ยกับพวกเขาว่า “อาการบาดเจ็บของหลินโปหายดีแล้วหรือ”
สุ่ยหลินโปได้ยินคำพูดแล้วขึ้นหน้ามาคารวะอย่างเต็มพิธีการอีกครั้ง “ขอบพระคุณความเมตตาของชิงเวยซือซูมากเจ้าค่ะ ด้วยคำอวยพรของซือซู อาการบาดเจ็บของศิษย์ดีขึ้นมากแล้ว”
โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สุ่ยหลินโปผู้นี้มีมารยาท ดูแล้วยังมั่นคงกว่าเยี่ยเจินจีมากนัก
“ท่านป้า!” เยี่ยเจินจียิ้มเอ่ยว่า “ท่านออกไปนานมากอีกแล้ว ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีที่ท่านเลื่อนขั้นเลย!”
โม่เทียนเกอยิ้ม “เจ้าก็ด้วย ช่วงเวลานี้ระดับการฝึกตนมีความก้าวหน้าอีกแล้ว แต่ว่ายังต้องแข็งขันต่อไป หยุดที่สร้างฐานพลังขั้นกลางนานขนาดนี้ ควรจะคิดหาวิธีเลื่อนไปขั้นปลายได้แล้ว”
“อืม ข้าทราบ ข้าฝึกตนอย่างหนัก ท่านป้าโปรดวางใจ”
โม่เทียนเกอให้กำลังใจพวกเขาอีกหลายคำแล้วเอ่ยว่า “เจินจี ข้ากับซือฟุเจ้ายังมีธุระ พวกเจ้าตามสบายเถอะ”
“……เอ่อ ขอรับ” เยี่ยเจินจีตอบ มองพวกเขาสองคนกลับห้องฝึกตน ปิดประตูศิลา
เมื่อเห็นพวกเขาสองคน โม่เทียนเกอจึงนึกขึ้นได้แล้วถามว่า “อาการบาดเจ็บของสุ่ยหลินโปหายดีแล้วหรือ”
“ประมาณนั้น” ฉินซีไม่ใส่ใจนัก “ได้ยินเจินจีพูดว่า หานรั่วซือจื๋อคนนั้นของยอดเขาหลิงอิ่นทักษะเยียวยายอดเยี่ยมถึงสิบส่วน ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอะไร ฟื้นฟูตานเถียนของนางจนได้ หลายวันนี้เพิ่งจะดีขึ้นมาหน่อย สามารถออกมาเดินเคลื่อนไหวได้แล้ว”
หานรั่วก็คือนามเต๋าของค่วงจู๋ แต่โม่เทียนเกอรู้สึกว่ายังเป็นนามเดิมค่วงจู๋นี้ที่เหมาะสมกับซือเกอผู้นั้นที่สุด
พูดถึงเรื่องนี้ ฉินซีถามอีกว่า “เกี่ยวกับสุ่ยหลินโปคนนี้ สรุปว่าเจ้ามีความเห็นอะไร”
โม่เทียนเกอตะลึงไป ถามกลับว่า “ความเห็นอะไร? เจินจีชมชอบนาง ต้องให้ข้ามีความเห็นอะไร?”
“เจ้ามิใช่เห็นนางสบายตา คิดจะรับศิษย์หรือ”
“อ้อ เรื่องนี้เอง” โม่เทียนเกอนึกขึ้นมาได้ ตัวนางเองเคยพูดประโยคนี้ นางใคร่ครวญชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ถึงข้าคิดจะรับ ตอนนี้กำลังจะไปแล้ว มิใช่จังหวะเหมาะ อีกอย่าง หากข้ารับนางเป็นศิษย์ สำหรับนางแล้วเท่ากับเดินก้าวเดียวถึงสวรรค์ ไม่แน่ว่ายังจะส่งผลกระทบต่อการฝึกตนของนาง มิสู้ปล่อยให้นางเติบโตอย่างอิสระก่อนจะดีกว่า”
“เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” ฉินซีคิดแล้วเห็นด้วยกับความเห็นของนาง “พูดตามตรง นางก็เป็นคนมีพรสวรรค์ ตั้งแต่ที่นางดีขึ้นมาหน่อยก็มาช่วยเจินจีดูแลถ้ำพำนักบ่อยครั้ง ข้าเห็นนางจัดการเรื่องราวเทียบกับเจินจีแล้วยังมั่นคงกว่า เพียงแค่ว่าข้าไม่กล้าเชื่อถือนางสิบส่วน มีเรื่องบางอย่างที่ไม่สะดวกจะบอกนาง”
เอ่ยถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอยิ้มเอ่ยว่า “เดินทางครานี้ข้าไปหลินไห่ ฉวยโอกาสสืบมานิดหน่อย สิ่งที่นางพูดทั้งหมดล้วนเป็นความจริง ประสบการชีวิตไร้คำหลอกลวง แน่นอนว่าถึงจะบ่มเพาะนาง ข้าก็รู้สึกว่าควรจะค่อยเป็นค่อยไป นางเดิมทีก็มิใช่ศิษย์ที่รับเข้าโรงเรียนตามช่องทางปกติ หากก้าวเดียวถึงสวรรค์กลับไม่สะดวกที่จะคบหากับศิษย์คนอื่น”
“ก็ถูก” ฉินซีเห็นด้วย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รอจนอาการบาดเจ็บนางหายดีก็ให้นางเลือกถ้ำพำนักอื่น เข้าสู่ทำเนียบเหมือนศิษย์ทั่วไป เพียงแต่สามารถบันทึกที่โถงผู้ดูแลว่าให้นางทำธุระที่พวกเรา หากนางจัดการเรื่องราวอย่างพึ่งพาได้จริง ๆ ควรค่าให้บ่มเพาะ ค่อยรับนางเป็นศิษย์ได้อย่างมีเหตุมีผล เช่นนี้แล้ว มีนางย้ำเตือนเรื่อย ๆ เจินจีก็จะไม่ต้องให้พวกเราเป็นห่วง อีกอย่าง ภายหลังมีศิษย์จัดการเรื่องราวแทน พวกเราก็สามารถตั้งสมาธิที่การฝึกตน”
โม่เทียนเกอคิด ๆ ดูแล้วรู้สึกว่าความคิดนี้ของเขาไม่เลว ก็เลยไม่ได้ออกความเห็นแล้ว “อืม เช่นนั้นก็อย่างนี้เถอะ”
ที่โรงเรียนเสวียนชิงหลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานก็แทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนกันแล้ว การทำธุระก็ล้วนมอบให้ศิษย์ออกหน้า ประเภทอย่างโม่เทียนเกอกับฉินซีมีน้อยมาก ฉินซีมีเพียงเยี่ยเจินจีเป็นศิษย์คนเดียว โม่เทียนเกอยังไม่ทันได้รับศิษย์เลยด้วยซ้ำ ปัจจุบันนี้พวกเขาสองคนก็ควรจะครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว มิเช่นนั้นภายในโรงเรียนไม่มีศิษย์ที่เชื่อใจบางเวลาไม่สะดวกอย่างมาก
พูดเรื่องนี้จบ ทั้งสองคนเงียบกันไปอีกพักหนึ่ง
ผ่านไปช่วงหนึ่ง เปิดปากขึ้นมาพร้อมกันอีกว่า “ข้า……” พอเห็นว่าอีกฝ่ายก็คิดจะพูดก็ปิดปากกันไปอีก
ทั้งสองคนมองหน้ากันสักพัก โม่เทียนเกอกระแอมคำหนึ่ง เอ่ยว่า “เรื่องนั้น ท่านตกลงไหม”
วนไปหนึ่งรอบ สุดท้ายมาถึงจุดสำคัญ ฉินซีเงียบไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ อันที่จริงซือฟุยังพูดให้เจ้า……”
“แต่ซือฟุก็ดุข้า” โม่เทียนเกองึมงำ
“คำพูดเป็นเช่นนี้ แต่ว่า……” ฉินซียิ้มขม “เอาเถิด ไปอวิ๋นจงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว เรื่องราวมากมายสามารถจัดการเองได้ทั้งหมด” ย้อนนึกถึงตัวเขาเองหลังก่อเกิดตาน สถานที่อันตรายอะไรล้วนกล้าไป ก็เพราะประสบการณ์เหล่านี้เองที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คิดอย่างนี้แล้ว เทียนเกอออกไปท่องเที่ยวมาก ๆ ก็เป็นเรื่องดี
เขาไม่มีคำคัดค้าน โม่เทียนเกอกลับรู้สึกขัดเขิน นางคิดแล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้เถิด ข้ายังจะทิ้งเส้นทางที่แน่ชัดให้ท่าน หากข้าไม่กลับมาตลอด ถ้าท่านกังวลใจก็มาเสาะหาข้า……”
“ข้าจำได้”
……………………………….