หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 343 – เกาะหนานจี๋
ตอนที่ 343 – เกาะหนานจี๋
น่าเสียดายที่ถัดจากนั้นก็หาศิลารวบรวมวิญญาณไม่พบอีก โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู ส่ายศีรษะแล้วยิ้ม ศิลารวบรวมวิญญาณถึงจะมิใช่สมบัติล้ำค่าอะไร แต่ก็ไม่ใช่สิ่งของที่จะพบเห็นได้ไปทั่ว สายแร่เหมืองศิลาวิญญาณขนาดเล็กเช่นนี้สามารถหาพบหนึ่งก้อนก็ไม่ง่ายดายแล้ว นางยังคิดจะหาสักเท่าไร?
โบกมือเรียกเสี่ยวฝาน เอ่ยว่า “พวกเราไปต่อเถอะ”
เสี่ยวฝานตอบรับคำหนึ่ง แบกนางว่ายไปข้างหน้าต่อ
สายแร่เหมืองศิลาวิญญาณแห่งนี้เล็กมากจริง ๆ แค่ครู่เดียวก็ว่ายออกไปจากอาณาเขตของมันแล้ว ถัดจากนั้นก็เป็นทางแม่น้ำใต้ดินที่มืดมิดไร้แสงตะวันอีกแล้ว
โม่เทียนเกอคุ้นชินกับความมืดอย่างนี้แล้ว สงบจิตใจลง ทำความเข้าใจกับสภาวะอารมณ์เงียบ ๆ
ตามคำกล่าวของเทียนจี๋ ความแตกต่างของผู้ฝึกเต๋ากับผู้ฝึกมารอยู่ที่ ผู้ฝึกเต๋านอกจากพัฒนาความแข็งแกร่งแล้วยังต้องจับสังเกตการฝึกสภาวะจิตใจ หากมิเช่นนั้นก็จะติดค้างอยู่ที่ปากด่านของการเลื่อนระดับ ยากจะทะลวงผ่าน ทว่าผู้ฝึกมารกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ พวกเขาเพียงต้องดูดกลืนพลังวิญญาณเปลี่ยนเป็นปราณมารก็พอแล้ว ดังนั้นวิถีการฝึกตนของสายมารถูกสายธรรมะเหยียดหยามว่าเป็นทางนอกรีต จุดนี้ไม่เกี่ยวกับว่าจะดีหรือชั่ว ทว่าอันที่จริงแล้วสายมารง่ายที่จะธาตุไฟเข้าแทรกตกสู่มารง่ายกว่าสายธรรมะจริง ๆ
เพราะว่าการฝึกสภาวะจิตใจต้องตามทันระดับชั้น ระดับการฝึกตนของผู้ฝึกเซียนยิ่งสูง ข้อจำกัดยิ่งมาก อย่างเช่นว่า ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณผู้ที่กระทำความชั่วมากยิ่งนัก ถึงสร้างฐานพลังกลับมักจะเริ่มฝึกสภาวะจิตใจ เพราะว่าก่อเกิดตานต้องผ่านจิตมาร ผู้ที่กระทำชั่วมาก จิตมารก็จะผ่านยาก ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน, จิตวิญญาณใหม่ก็ยิ่งเพิ่มความเข้มงวด หากไม่มีความแค้นหรือว่ามีผลประโยชน์ยิ่งใหญ่มักจะไม่ลงมือสังหาร
แต่ก่อนโม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกว่านี่มีอะไรไม่ถูกต้อง แต่รอจนตนเองก่อเกิดตานแล้วพินิจพิเคราะห์โดยละเอียดจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้พิกลอยู่บ้าง
ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่ง เห็นแก่ตัวเอง นี่เป็นกฎเกณฑ์ของโลกฝึกเซียน แต่เพราะอะไรในเรื่องการเลื่อนระดับกลับต้องมีจิตมารเล่า นี่กลับเป็นการให้ผู้ฝึกเซียนกดนิสัยฆ่าฟันไปอีก
แน่นอนว่ามิใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนล้วนทำตามกฎเกณฑ์นี้ ซงเฟิงซ่างเหรินผู้นั้นก็คือประเภทสังหารโหดในหมู่ผู้ฝึกตนระดับสูง แต่ว่าซือฟุได้บอกกับนางอีกว่า ตาเฒ่าซงเฟิงผู้นั้นเป็นบุคคลที่คนไม่ใช่คนผีไม่ใช่ผีปีศาจไม่ใช่ปีศาจมารไม่ใช่มาร ไม่สามารถนับว่าเป็นคนปกติเลย!
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอสับสนอีกแล้ว นางรู้สึกตลอดว่าตนเองคล้ายจะพลาดอะไรไป แล้วก็รู้สึกอีกด้วยว่าตนเองเกาะกุมกุญแจสำคัญหนึ่งชิ้น นางหลับตาลง ให้ตนเองดำดิ่งลงไปในความมืด ค่อย ๆ หวนรำลึก……
ทุกวันล้วนเป็นการเดินทางอันน่าเบื่อหน่าย ถึงตอนท้ายแม้แต่เสี่ยวฝานยังหมดความอดทน เพื่อปลอบใจมัน โม่เทียนเกอให้มันกินโอสถหนึ่งเม็ดทุกวัน ทุกครั้งเมื่อกินโอสถแล้ว มันจะเดินทางต่ออย่างเชื่อฟัง ตะกละนัก แล้วยังขอกินไม่ยอมเดินทางโดยไม่ละอาย
เห็นท่าทางอย่างนี้ในตอนนี้ของชางหลงแล้วโม่เทียนเกอกลับดีใจ เสี่ยวฝานจะเชื่อฟังอีกสักแค่ไหน สำหรับชางหลงแล้วก็ยังเป็นเด็ก ไม่มีอารมณ์เด็ก ๆ สักหน่อยก็จะเก็บกดเกินไป ตอนนี้มันฟื้นฟูนิสัยดั้งเดิม นั่นก็หมายความว่ามันกับตนเองใกล้ชิดกันเข้าไปอีกแล้ว
หนึ่งคนหนึ่งอสูรหยุดบ้างเดินทางบ้าง เพราะมีการคงอยู่ของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจึงไม่ได้รู้สึกว่าการผ่านทางแม่น้ำใต้ดินนี้มีความยากเย็นอะไร อย่างช้า ๆ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า –
“เหมือนจะร้อนขึ้นมานะ” โม่เทียนเกอไม่ได้ร่ายศาสตร์กันน้ำ เอื้อมมือออกไปสำรวจในทางแม่น้ำ ขมวดคิ้วขึ้นมา
เสี่ยวฝานยังคงว่ายไปข้างหน้าช้า ๆ ตอบว่า “มีนิดหน่อยขอรับ แต่ไม่เป็นไร เจ้านาย ข้าไม่กลัวความร้อน”
ถึงจะพูดอย่างนี้ โม่เทียนเกอกลับไม่ได้วางใจ นางไม่ได้ลืมว่านี่เป็นทางที่อยู่ใต้ภูเขาไฟ ถึงจะพูดว่าภูเขาไฟนั้นไม่ได้ปะทุมานานแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดปะทุขึ้นมารึเปล่า?
ว่ายไปข้างหน้าอีกช่วงหนึ่ง เห็นน้ำยิ่งมายิ่งร้อนขึ้นตามคาด โม่เทียนเกอเอื้อมมือเข้าไปค้นพบว่าสูงกว่าอุณหภูมิร่างกายมาก นี่ไม่ปกติอยู่บ้างจริง ๆ ทางแม่น้ำใต้ดินนี้ พวกเขาหนึ่งคนหนึ่งอสูรว่ายมาเป็นเดือนแล้ว น้ำหนาวเย็นมาโดยตลอด จู่ ๆ กลายเป็นร้อน ย่อมจะต้องมีความพิสดาร
“เสี่ยวฝาน!” เห็นกับตาว่าในน้ำเกิดไอร้อนลอยขึ้น โม่เทียนเกอตัดสินใจตะโกนให้หยุดทันที “น้ำนี้ผิดปกติ รอก่อน”
เสี่ยวฝานเงยหัวขึ้น เอ่ยว่า “เจ้านาย ท่านรู้สึกว่าน้ำร้อนเกินไปหรือ”
“อืม” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “ที่พวกเราเดินทางอยู่คือทางน้ำใต้ภูเขาไฟ ถ้าเผื่อส่วนลึกของที่นี่มีลาวาก็จะไปไม่ง่ายแล้ว” ลาวาภูเขาไฟอยู่ในจำพวกเพลิงปฐพี หากระดับชั้นสูงมากแล้วขวางกั้นเส้นทางจะยุ่งยากอย่างยิ่ง ถึงเส้นทางสายนี้โม่เหยาชิงเคยเดินผ่าน แต่ถึงอย่างไรก็ห้าพันกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหรือไม่
เสี่ยวฝานกลับเอ่ยว่า “เจ้านาย ข้าไม่กลัวความร้อน ให้ข้าไปสำรวจทางเถิด”
“นี่……” โม่เทียนเกอลังเล “หากมีอันตรายจะทำอย่างไรเล่า”
“ข้าขั้นห้าแล้วนะขอรับ ไม่กลัว” เสี่ยวฝานพูด “เจ้านายอย่าเห็นข้าเป็นเด็กที่ทำอะไรไม่ได้เลยนะขอรับ ข้าอยู่ในฝูงก็เป็นรุ่นพ่อเลยนะ!”
“อ้อ?” โม่เทียนเกอฟังน้ำเสียงเคร่งขรึมของมัน คิดดูอีกที สิ่งที่มันพูดก็ถูก จึงยิ้มว่า “เอาเถิด เจ้าไปดู ๆ หน่อย หากมีอะไรไม่ถูกต้องให้กลับมาทันที หรือตะโกนเรียกข้า”
“อืม” เสี่ยวฝานตอบรับ รอจนนางลอยอยู่กลางอากาศจึงได้สะบัดหาง ดำลงไปใต้น้ำ
โม่เทียนเกอมองจุดที่มันหายไป เผยรอยยิ้มออกมา
เสี่ยวหั่วกับเฟยเฟยล้วนน่ารักมาก แต่ถึงอย่างไรไม่สามารถพูดจา หลังจากมีเสี่ยวฝานก็คล้ายกับมีคนอยู่เคียงข้างในทุกวัน เหงาน้อยลงมาก
นางอดคิดถึงฉินซีที่อยู่ห่างไปเป็นพันลี้แล้วไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ ฝึกตนราบรื่นไหม
ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงน้ำดังขึ้นมา เสี่ยวฝานกลับมาแล้วในที่สุด มันผุดจากน้ำเสียงดัง “ซ่า” เอ่ยเสียงร่าเริงว่า “เจ้านาย พวกเราถึงแล้ว!”
“เอ๊ะ? เหตุการณ์เป็นอย่างไร”
เสี่ยวฝานพูดอย่างยินดีปรีดาว่า “ข้าว่ายไปไกลมาก พบว่าด้านนั้นไม่มีทางแล้ว จากนั้นข้าดำลงไป แล้วก็ค้นพบว่ามีเส้นทางน้ำอีกสาย ทะลุไปเป็นน้ำพุร้อน!”
“น้ำพุร้อน!” โม่เทียนเกอลิงโลด เส้นทางนี้ต้องออกไปจากน้ำพุร้อน พูดอย่างนี้ พวกเขาถึงที่หมายแล้วหรือ
“เจ้านาย ขึ้นมาเร็ว พวกเราออกไปกันเถอะ!” เสี่ยวฝานเทียบกับนางแล้วยังทนรอไม่ได้ยิ่งกว่า
โม่เทียนเกอนั่งลงบนหลังของมันอย่างไม่รอช้า “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
หนึ่งคนหนึ่งอสูรล้วนไม่อาจทนรอ ครีบทั้งคู่ของเสี่ยวฝานพัดโบกดุจลูกศรหลุดจากแล่ง กระโจนเข้าไปในน้ำทันใด
ตามคาด ว่ายไปไม่ไกลมาก ทางน้ำที่พวกเขาเดินทางมาเป็นเดือนถึงปลายทางแล้ว เสี่ยวฝานสำรวจเส้นทางมาแล้ว ขณะนี้เพียงมุดลงใต้น้ำ ว่ายอยู่ในน้ำเนิ่นนาน เลี้ยวผ่านทางโค้งมากมาย เลี้ยวจนโม่เทียนเกอแยกแยะเส้นทางได้ไม่ชัดเจน ในที่สุดเริ่มลอยขึ้น
น้ำยิ่งมายิ่งร้อน เป็นไอร้อนที่ถึงจุดเดือดแล้ว โม่เทียนเกอเดาว่าที่นี่ก็จะต้องมีภูเขาไฟ เพียงแค่ไม่ได้ปะทุมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแถว ๆ น้ำพุร้อนนี้มีบ้านเรือนหรือไม่ เห็นที่นี่มีพลังวิญญาณอยู่บ้าง ข้างนอกน่าจะมีเส้นเลือดวิญญาณเล็ก ๆ ไม่แน่ว่าจะมีผู้ฝึกตนอิสระอันใดอาศัยอยู่ที่นี่
ขณะที่กำลังใจลอย เสี่ยวฝานว่ายน้ำยิ่งมายิ่งเร็ว เริ่มลอยขึ้นด้านบน ทันใดนั้นเหนือศีรษะปรากฏแสงสว่างจาง ๆ จากนั้นแสงสว่างนี้ยิ่งมายิ่งสว่าง หนึ่งคนหนึ่งอสูรผุดขึ้นจากน้ำเสียงดัง “ซ่า”
เดินทางที่ทางแม่น้ำใต้ดินอยู่เป็นเดือน โม่เทียนเกอไม่ได้เห็นแสงตะวันมานานแล้ว ขณะนี้นี้อดหยีตาบังแสงไม่ได้
“อสูรร้าย อสูรร้าย!” ขณะนี้จู่ ๆ กลับได้ยินเสียงคน จากนั้นเป็นเสียงฝีเท้าชุลมุนกับเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก
จิตหยั่งรู้ของโม่เทียนเกอสัมผัสถึงการคงอยู่ของคนเหล่านี้ได้แต่แรกแล้ว แต่ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นปุถุชน นางก็เลยไม่ใส่ใจ คิดว่าพวกเขาคงจะต้องถูกลักษณะของเสี่ยวฝานขู่ขวัญ
นางปรับตัวกับแสงธรรมชาติแล้วลดมือลง สายตากวาดไปรอบบริเวณอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ
น้ำพุร้อนนี้ไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็ก ครอบคลุมพื้นที่หลายหมู่* บนผิวน้ำร้อนจนควันขึ้น รอบด้านล้อมด้วยร่มไม้ ทอดมองแวบเดียวก็รู้สึกได้ว่าทิวทัศน์ดียิ่ง งดงามดั่งแดนเซียน
“เสี่ยวฝาน พวกเราขึ้นไป” นางลูบหัวเสี่ยวฝาน สะบัดแขนเสื้อ ไม่แปดเปื้อนไอน้ำ ลอยขึ้นฝั่งอย่างนุ่มนวล
เสียงบนฝั่งยิ่งอลหม่าน โม่เทียนเกอเงยหน้าทอดมอง เห็นแค่ฟู่เหรินที่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบจำนวนหนึ่งวิ่งหนีไปอย่างรีบร้อน โยนเสื้อผ้ากับไม้ตีผ้าไว้เต็มพื้น
นางส่ายหน้า ไม่ได้ไปสนใจ ในใจครุ่นคิดว่าฟู่เหรินที่นี่กับเทียนจี๋ไม่ได้ต่างกันที่ใดเลย เสื้อผ้าที่สวมก็พอ ๆ กัน แต่ว่าสำเนียงภาษาไม่เหมือนกันอยู่บ้าง
คิดอย่างนี้แล้ว นางพาเสี่ยวฝานเดินออกจากน้ำพุร้อนอย่างเนิบช้า
สถานที่บริเวณน้ำพุร้อนนี้ที่ห่างไปหน่อยเผยให้เห็นกำแพงเรือนส่วนหนึ่ง ดูคล้ายจะเป็นครอบครัวร่ำรวยในโลกปุถุชน โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่าตำแหน่งของสวนดอกไม้นั้นเป็นสถานที่ซึ่งพลังวิญญาณของเส้นเลือดวิญญาณนี้เข้มข้นที่สุด และด้านในนางก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของผู้ฝึกเซียนระดับต่ำ – หรือว่านี่จะเป็นสกุลฝึกเซียนของโลกปุถุชนสกุลหนึ่ง?
นางยิ้มบาง ๆ เกิดความคิดหนึ่งในใจ เอ่ยกับเสี่ยวฝานว่า “เสี่ยวฝาน ที่นี่คนมาก เจ้าเข้ากระเป๋าอสูรวิญญาณก่อนดีไหม”
เสี่ยวฝานเชื่อฟังมากมาตลอด ได้ยินนางพูดอย่างนี้ก็ตอบรับอย่างเชื่อฟัง กลับเข้ากระเป๋าอสูรวิญญาณ
เก็บเสี่ยวฝานเรียบร้อย กดพลังกดดันทั้งร่าง โม่เทียนเกอเพิ่งจะก้าวไปข้างหน้าระยะทางสั้น ๆ ก็เห็นบุรุษที่สวมเสื้อผ้าค่อนข้างดีหลายคนเดินมาทางนี้ พวกเขาก้าวเดินอย่างรีบเร่งคล้ายกับมีเรื่องร้อนอันใด ดูเสื้อผ้าคล้ายจะเป็นผู้คุ้มครองของสกุลร่ำรวย
คนเหล่านี้เดินมาใกล้ เห็นนางที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งก็ตะลึงงัน จากนั้นบุคคลที่เป็นดั่งพ่อบ้านที่นำหน้าผู้นั้นพาบุรุษกลุ่มนี้เดินมาทางนาง หยุดอยู่เบื้องหน้านาง โค้งกายลงอย่างเคารพเอ่ยว่า “น้อมพบท่านเซียน”
ขณะนี้นางเก็บงำพลังวิญญาณแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นปุถุชนที่บนร่างมีพลังวิญญาณอ่อนจาง เพียงสามารถสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณบนร่างนางเข้มข้น แต่แยกแยะระดับของนางไม่ออก
โม่เทียนเกอผงกศีรษะน้อย ๆ
เห็นนางทั้งร่างท่วงท่าสง่างาม ถึงท่าทีเป็นมิตรแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกสูงส่ง พ่อบ้านคนนี้ไม่กล้าละเลย รีบถามว่า “พวกเราเป็นครอบครัวสกุลลวี่ ขอบังอาจถามท่านเซียนท่านนี้ว่าเดินทางผ่านที่นี่หรือขอรับ”
โม่เทียนเกอเห็นคนผู้นี้เคารพนอบน้อม จึงได้ตอบอย่างสุภาพว่า “ข้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระต่างแดน มาที่นี่เป็นครั้งคราว แต่ไม่ทันระวังสร้างความตะหนกให้ปุถุชน เจ้าพูดว่าสกุลลวี่อะไรนะ เป็นสกุลฝึกเซียนที่นี่หรือ”
“ที่แท้ท่านเซียนเป็นผู้ฝึกตนอิสระจากภายนอก” คนผู้นี้ได้รับคำตอบแล้วก็เอ่ยอย่างยินดีว่า “พวกเราสกุลลวี่เป็นสกุลฝึกเซียนที่ใหญ่ที่สุดของเกาะหนานจี๋ ยากนักที่จะมีสหายร่วมเส้นทางมาถึงที่นี่ ท่านผู้เฒ่าสกุลข้ารู้แล้วจะต้องดีใจ มิทราบว่าท่านเซียนเต็มใจจะไปเยี่ยมเยือนสกุลลวี่ของพวกเราหรือไม่ขอรับ”
ได้ยินว่าที่นี่เรียกว่าเกาะหนานจี๋จริง ๆ โม่เทียนเกอสงบจิตใจลงได้บ้าง ตามที่เสี่ยวฝานพูด เกาะหนานจี๋เป็นอาณาเขตของอวิ๋นจงแล้ว พูดอย่างนี้คือนางนับว่ามาถึงอวิ๋นจงอย่างราบรื่นแล้ว
สายตาของนางตกลงบนตัวพ่อบ้านสกุลลวี่เบื้องหน้า คนผู้นี้เป็นปุถุชนชัด ๆ แต่บนร่างบรรจุพลังวิญญาณ ถึงจะไม่ถึงขั้นหลอมรวมพลังวิญญาณแปลงเทพ แต่พลังวิญญาณปกคลุมทั่วร่างแล้ว นางแอบคิดในใจว่าอวิ๋นจงนี้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของการฝึกเซียนโดยแท้ แม้แต่ปุถุชนหลายคนที่อยู่เบื้องหน้ายังเป็นผู้ฝึกเซียนอย่างเห็นได้ชัด นางมาถึงอวิ๋นจงเป็นครั้งแรก จำเป็นต้องสอบถามข่าวสารก่อน ไปดูสกุลลวี่นี้สักหน่อยก็ไม่เลว
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอยิ้มแย้มเอ่ยว่า “มีสหายร่วมเส้นทางเชื้อเชิญย่อมเป็นการดี เช่นนั้นก็เคารพมิสู้เชื่อฟังแล้ว”
……………………………………
* 1 หมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร
ในที่สุดตอนนี้เรามาถึงครึ่งทางแล้วจ้า เรื่องนี้มี 685 ตอน ก็เหลืออีก 342 ตอนแล้ว! ถ้าแปลสัปดาห์ละ 2 ตอนได้ก็จะอีก 3 ปี…… คิดอย่างนี้แล้วนานจัง TT