หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 344 – สกุลลวี่
ตอนที่ 344 – สกุลลวี่
พ่อบ้านของสกุลลวี่ผู้นี้นามว่าลวี่อาน ระหว่างทางสนทนากับโม่เทียนเกออย่างระมัดระวัง แนะนำสถานการณ์ของสกุลลวี่แห่งเกาะหนานจี๋นี้ต่อนาง
ที่แท้ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอวิ๋นจงมีเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง ในเกาะใหญ่นี้ตัดขาดจากกันด้วยช่องแคบตื้น ๆ แบ่งเกาะใหญ่นี้เป็นเหนือใต้สองส่วน เกาะเหนือใหญ่มาก อีกทั้งบนนั้นมีเส้นเลือดวิญญาณที่ไม่เลวจำนวนหนึ่ง มีสำนักขนาดกลางและเล็กหลายแห่งปักหลักอยู่ที่นี่
อีกอย่าง อวิ๋นจงกับเทียนจี๋ไม่เหมือนกัน แผ่ขยายออกไปทั้งสี่ทิศแปดทาง ไม่มีที่ไหนที่ไม่สามารถไป ชายฝั่งทะเลนี้มีคนล่าอสูรทะเลจำนวนมาก เกาะเหนือนี้เนื่องจากมีเส้นเลือดวิญญาณ บริเวณใกล้เคียงมีอสูรทะเลมารวมตัวกันไม่น้อย ด้วยเหตุนี้คึกคักถึงสิบส่วน
แต่เกาะใต้กลับมีขนาดเพียงหนึ่งในสิบของเกาะเหนือ อีกทั้งมีเพียงเส้นเลือดวิญญาณอ่อนด้อยเล็กน้อยแค่นี้ สำนักขนาดกลางเล็กและสกุลฝึกเซียนไม่เห็นอยู่ในสายตา ยามปกติไม่มีใครมา สกุลลวี่นี้ความแข็งแกร่งไม่มากไม่น้อย จึงตั้งรกรากอยู่ที่นี่
เกาะนี้ว่ากันว่าเป็นพื้นที่เหนือสุดของอวิ๋นจง ด้วยเหตุนี้เรียกว่าเกาะเป่ยจี๋ (สุดเหนือ) แต่มันกลับแบ่งเป็นเกาะเหนือเกาะใต้ ดังนั้นผู้คนของเกาะใต้จีงเรียกสถานที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ว่าเกาะหนานจี๋ (สุดใต้)
โม่เทียนเกอฟังคำอธิบายนี้แล้วจึงได้เข้าใจว่าหนานจี๋มิได้แปลว่าเกาะนี้อยู่ใต้สุดของอวิ๋นจง
และนามเกาะหนานจี๋นี้ก็มีเพียงสกุลลวี่และผู้อยู่อาศัยที่นี่ที่รู้ ผู้ฝึกตนที่มาจากภายนอกทั่วไปแล้วจะไปเพียงเกาะเหนือ ไม่ได้รู้เลยว่าที่นี่ยังมีเกาะใต้ด้วย
ลวี่อานพูดเรื่องของเกาะหนานจี๋นี้จบก็ถามที่มาของโม่เทียนเกอ โม่เทียนเกอบอกว่าตนเองเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง เพราะว่าไม่มีวาสนาจะเลื่อนระดับ ดังนั้นท่องเที่ยวไปทั่วหล้า เนื่องจากอวิ๋นจงใหญ่นัก แล้วนางยังรู้เรื่องราวของอวิ๋นจงโดยคร่าว ๆ ลวี่อานผู้นี้เป็นเพียงพ่อบ้านของสกุลฝึกเซียนเล็ก ๆ ในมุมอับ ก็เลยไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง
โม่เทียนเกอทราบจากปากของลวี่อานว่าผู้เฒ่าสกุลลวี่เป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังขั้นต้น มีอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีชนรุ่นหลังที่พรสวรรค์ไม่ธรรมดาหลายคน คนสกุลลวี่ฝึกวิชาเซียนกันโดยถ้วนหน้า มีผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณไม่น้อย แต่ว่าพวกเขาเหล่าพ่อบ้านผู้อารักขาอยู่ที่สกุลลวี่เป็นเพียงบุคคลตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ล้วนมีร่างกายปุถุชน ฝึกตนมาถึงตอนนี้ก็แค่มีพลังวิญญาณแทรกซึมทั่วร่างเท่านั้น
โม่เทียนเกอก็รู้ว่าปุถุชนฝึกเซียนล้วนไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาไม่มีรากวิญญาณ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะกักเก็บพลังวิญญาณเอาไว้ อาศัยความพากเพียรและโอสถ อย่างมากที่สุดเพียงสามารถฝึกไปถึงหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นหนึ่งเท่านั้น เช่นนี้จึงเพียงสามารถใช้วิชาเซียนง่าย ๆ บางอย่าง ไร้โรคไร้ภัย แต่ว่าสามารถฝึกถึงหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นหนึ่งก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยแล้ว คนส่วนใหญ่แม้แต่ระดับชั้นนี้ก็เอื้อมไม่ถึง ไม่อาจหลุดพ้นจากร่างปุถุชนตั้งแต่ต้นจนจบ
จากปากคำของลวี่อานผู้นี้ โม่เทียนเกอดูออกว่าอวิ๋นจงนี้การฝึกเซียนเป็นที่นิยมถึงสิบส่วนจริง ๆ ขอเพียงในบ้านมีเงินทองอยู่บ้าง ไม่มีผู้ที่ไม่ฝึกเซียน
เพราะดูระดับการฝึกตนของนางไม่ออก คนเหล่านี้สอบถามอย่างระมัดระวังว่านางเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังหรือไม่ โม่เทียนเกอไม่อยากโอ้อวดก็เลยยอมรับ คนเหล่านี้เห็นดังนั้นก็ดีใจถึงสิบส่วน ตลอดทางถามปัญหาด้านการฝึกตนมากมาย โม่เทียนเกอเห็นปุถุชนเหล่านี้ลุ่มหลงการฝึกเซียนถึงเพียงก็ก็ชี้แนะไปอย่างสองอย่าง นางอธิบายอย่างชัดเจนเข้าใจง่าย แต่กลับเป็นเข็มเดียวเห็นเลือด คนเหล่านี้เปิดโลกจากมืดมิดสู่แสงสว่าง ขอบคุณนางไม่รู้แล้ว
ไม่นานมาก พวกเขามาถึงเรือนหลักสกุลลวี่ ลวี่อานนำนางเข้าเรือนหลักด้วยตนเอง รายงานต่อผู้ดูแลใหญ่ให้รับทราบ ผู้ดูแลใหญ่นั้นกลับเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำที่มีรากวิญญาณ เดิมทีเย่อหยิ่งไม่สนใจลวี่อาน แต่พอเห็นโม่เทียนเกอก็เปลี่ยนท่าทีทันที เชื้อเชิญนางเข้าไปยังห้องโถงใหญ่อย่างนอบน้อม ต้อนรับเต็มพิธีการ รายงานต่อท่านผู้เฒ่าโดยเร็ว
โม่เทียนเกอขณะนี้เก็บงำลมหายใจ เพียงแกล้งเป็นสร้างฐานพลังขั้นปลาย – รู้จากปากของลวี่อานว่าระดับการฝึกเซียนของอวิ๋นจงถึงจะสูงกว่าเทียนจี๋ แต่ผู้ฝึกตนระดับสูงยังคงไม่มาก ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานและผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เดินอยู่ภายนอกน้อยยิ่ง สร้างฐานพลังขั้นปลายทั้งไม่ดึงดูดความสนใจเกินไปและนับว่ามีการฝึกตนสูงส่งลึกล้ำ หากเป็นเช่นนี้สามารถลดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นได้จำนวนหนึ่ง
ผู้ฝึกตน “สร้างฐานพลัง” ผู้หนึ่งมาถึง จิตหยั่งรู้ของท่านผู้เฒ่าสกุลลวี่ผู้นั้นสัมผัสได้แต่แรกแล้ว ผู้ดูแลใหญ่สกุลลวี่เพิ่งจะส่งคนไปเชิญ ท่านผู้เฒ่าสกุลลวี่นั้นก็ได้ออกมาจากเรือนหลังแล้ว
ถึงคนผู้นั้นจะถูกเรียกว่าท่านผู้เฒ่า ดูแล้วกลับมีอายุเพียงประมาณสี่สิบปี เสื้อผ้าเนื้อดี สีหน้าเปล่งปลั่ง เห็นได้ชัดว่าบำรุงรักษาเป็นอย่างดี พอเขาเห็นโม่เทียนเกอกลับตะลึงงัน พอได้สติกลับมา ท่าทียิ่งสุภาพ เดินเข้ามาคารวะโม่เทียนเกอ “สหายเต๋าท่านนี้ จ้ายเซี่ยลวี่ชิ่งตง สหายเต๋ามาเยือนสกุลลวี่ของข้า โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ ขออภัยด้วย ๆ”
โม่เทียนเกอคารวะกลับอย่างทั้งไม่กระตือรือร้นเกินไปและไม่เย็นชาเกินไป ยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “ที่แท้เก๋อเซี่ยคือสหายเต๋าลวี่ จ้ายเซี่ยแซ่โม่ นามชิงเวย เป็นผู้ฝึกตนอิสระ ท่องเที่ยวมาถึงที่นี่โดยอุบัติเหตุ เผอิญได้พบพานชาวบ้านของหมู่บ้าน มารบกวนที่บ้านท่าน ยังขอให้อภัยด้วย”
“ที่ไหนกัน ๆ!” เห็นโม่เทียนเกอท่าทีเป็นมิตร ไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับสูงที่ไม่เห็นผู้ฝึกตนระดับต่ำในสายตา ท่านผู้เฒ่าสกุลลวี่ลวี่ชิ่งตงผู้นี้ยินดีอยู่ในใจ ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นไปอีก “เป็นผู้ฝึกเซียนสายธรรมะเช่นเดียวกัน ในเมื่อพบพานก็คือชะตา สหายเต๋าโม่เกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่งลงเร็ว”
ทั้งสองคารวะกันและกันแล้วนั่งลงตามตำแหน่งแขกเจ้าบ้าน ลวี่ชิ่งตงสั่งให้นำชาดีออกมา การต้อนรับอบอุ่นถึงสิบส่วน
ดื่มชาแล้ว ลวี่ชิ่งตงผู้นี้สำรวจมองโม่เทียนเกออย่างระมัดระวังรอบหนึ่ง ค่อนข้างประหลาดใจกับความอ่อนเยาว์ของนาง ต้องทราบว่า ผู้ฝึกตนอิสระฝึกตนได้ไม่ง่ายดาย ที่สามารถสร้างฐานพลังมีน้อย ฝึกตนไปถึงสร้างฐานพลังขั้นปลายยิ่งพบเห็นไม่มาก ส่วนนางดูไปยังไม่ถึงยี่สิบปี ท่วงท่าไม่สามัญ แล้วยังมีระดับการฝึกตนอย่างนี้ ดูไปแล้วเหมือนบุตรหลานสำนักใหญ่
เมื่อคิดดังนี้ ลวี่ชิ่งตงแปะรอยยิ้มบนใบหน้า ถามอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “สหายเต๋าโม่งามสง่าเหนือคน ระดับการฝึกตนก็สูงส่งลึกล้ำปานนี้ ถึงกับเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระ ช่างทำให้ผู้แซ่ลวี่ชื่นชมโดยแท้”
โม่เทียนเกอจะฟังความหมายหยั่งเชิงของเขาไม่ออกได้อย่างไร เพียงยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “สหายเต๋าลวี่เกรงใจเกินไปแล้ว จ้ายเซี่ยนสามารถฝึกตนมาถึงขอบเขตระดับนี้ก็เป็นความเมตตาของผู้อาวุโส ตอนแรกเริ่มที่ข้าเข้าเส้นทางเซียน มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งดูแลอยู่ข้างกาย หากมิเช่นนั้น เกรงว่าวันนี้จะยังวนเวียนอยู่ที่หลอมรวมพลังวิญญาณอยู่เลย!”
“อ้อ?” ฟังนางพูดเช่นนี้ ในดวงตาลวี่ชิ่งตงปรากฏความเข้าใจวูบขึ้น ยิ้มแย้มเต็มหน้าอีกครั้ง “ที่แท้เป็นเช่นนี้ แต่ว่า สหายเต๋าโม่สามารถผึกตนถึงสร้างฐานพลังขั้นปลาย สามารถเห็นได้ว่าพรสวรรค์ไม่สามัญนะ เรียกว่าข้าผู้เป็นคนสามัญธรรมดาช่างอิจฉาชื่นชมโดยแท้!”
“ที่ไหนกันเล่า โชคดีเท่านั้น” โม่เทียนเกอยังคงยิ้ม บนใบหน้าไม่มีรอยหยิ่งผยองสักครึ่งส่วน
ลวี่ชิ่งตงเห็นแล้วยิ่งมองนางสูงขึ้นหนึ่งส่วน ถามอีกว่า “มิทราบว่าสหายเต๋าโม่ในอดีตฝึกตนที่ใดหรือ มาที่เกาะหนานจี๋มีธุระสำคัญหรือไม่ สกุลลวี่ของข้าถึงจะมิใช่สกุลฝึกเซียนใหญ่ แต่ก็อยู่ที่นี่มาได้หลายร้อยปีแล้ว ไม่แน่ว่าจะสามารถช่วยธุระของสหายเต๋า”
“สหายเต๋าลวี่เกรงใจแล้ว” โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “เอ่ยตามความสัตย์ ตัวข้าเหยียบย่างบนเส้นทางเซียน ติดตามผู้อาวุโสท่านนั้นท่องไปทั่วหล้า ภายหลัง ผู้อาวุโสท่านนั้นของข้าจากโลกไป ข้าตัวคนเดียวท่องไปทั่วหล้า ไร้ถิ่นพำนักเสมอมา ครานี้มาเกาะหนานจี๋เป็นเพียงตอนท่องเที่ยวรุกล้ำเข้ามาโดยไม่เจตนา สร้างความตระหนกให้ครอบครัวท่าน ต้องขออภัยโดยแท้”
“สหายเต๋าโม่เกรงใจเกินไปแล้ว นี่มีที่สลักสำคัญอันใดเล่า” ลวี่ชิ่งตงเว้นวรรค ยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋ากับสกุลลวี่ของข้ามีชะตาต่อกันนะ! เกาะหนานจี๋ของพวกข้ากับเกาะเป่ยจี๋ถึงจะเชื่อมต่อกัน กลับมีผู้ฝึกตนเดินทางไปมาหาสู่น้อย ยากนักที่จะมีสหายร่วมเส้นทางสักคนมา ผู้แซ่ลวี่ในฐานะเจ้าบ้านจะต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี!”
จากนั้น ลวี่ชิ่งตงผู้นี้สนทนากับนางอย่างกระตือรือร้นไร้ที่เปรียบ
ลวี่ชิ่งตงผู้นี้กระตือรือร้นต่อตนเองเช่นนี้ โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร สร้างฐานพลังขั้นต้นกับสร้างฐานพลังขั้นปลาย ความแตกต่างมิใช่เล็กน้อย สกุลลวี่นี้ในเมื่อเป็นเพียงสกุลฝึกเซียนเล็ก ๆ ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังขั้นปลายที่ลวี่ชิ่งตงสามารถพบก็คาดว่ามีไม่กี่คน ย่อมต้องการจะพูดคุยกับนางให้ดี ๆ ฉวยโอกาสสนทนาเรื่องการฝึกตน
วิชาเวทที่โม่เทียนเกอฝึกถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนกับคนทั่วไป แต่ล้วนเป็นผู้ฝึกเซียน มีส่วนที่คล้ายคลึงกันเสมอ การชี้แนะผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังขั้นต้นสักคนยังไม่เป็นปัญหา ก็เลยยอมรับการต้อนรับขับสู้ของลวี่ชิ่งตงผู้นี้โดยสงบ
คนทั้งสองคุยกันพักใหญ่ ถกเต๋าแห่งการฝึกตนไปหนึ่งรอบ จากนั้นลวี่ชิ่งตงสั่งให้บุตรหลานสกุลลวี่มากราบพบ
โม่เทียนเกอพบไปทีละคน ค้นพบว่าในนี้มีผู้ที่รากวิญญาณไม่เลวหลายคน จึงเอ่ยชมเชยไปหลายคำตามน้ำ ทำให้ลวี่ชิ่งตงรู้สึกมีหน้ามีตาถึงสิบส่วน
ในบุตรหลานสกุลลวี่มีกูเหนียงน้อยหนึ่งนาง เห็นว่าเพิ่งจะสิบแปดปี มีระดับหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นเจ็ดแล้ว เป็นหลานสาวที่ลวี่ชิ่งตงตั้งความหวังที่สุดคนหนึ่ง
ตอนที่โม่เทียนเกอได้ยินลวี่ชิ่งตงแนะนำหลานคนนี้ น้ำเสียงภาคภูมิใจ จึงรู้ว่ากูเหนียงน้อยนี้ได้รับความเอ็นดูถึงสิบส่วน เลยเอ่ยชมตามน้ำไปว่า “หลานสาวอายุเยาว์นักก็มีระดับการฝึกตนเท่านี้แล้ว อนาคตภายภาคหน้าจะต้องดีมาก”
คำพูดนี้ถึงจะมีส่วนที่พูดไปตามมารยาท แต่ก็มิใช่คำพูดเหลวไหล ปีนั้นนางสิบเจ็ดปีก็หลอมรวมพลังวิญญาณขั้นเจ็ด เป็นท่านอารองใช้ทรัพย์สมบัติที่สะสมเอาไว้ของสกุลเยี่ยกองสุมให้นาง สกุลลวี่นี้ผู้ที่ระดับการฝึกตนสูงสุดก็เพียงสร้างฐานพลังขั้นต้น เห็นได้ว่าเทียบไม่ได้กับสกุลเยี่ยในปีนั้น แล้วยังต้องดูแลรักษาสกุลที่ใหญ่อย่างนี้ แต่ระดับการฝึกตนของกูเหนียงน้อยนางนี้กลับไม่ด้อยกว่านางในปีนั้น เห็นได้ว่าคุณสมบัติค่อนข้างดีเลย
ลวี่ชิ่งตงได้ยินคำชมของนางก็ยิ้มมุมปาก เอ่ยซ้ำ ๆ ว่า “ที่ไหนกันเล่า ๆ สกายเต๋าโม่เกรงใจเกินไปแล้ว”
กูเหนียงน้อยสกุลลวี่ลวี่ชยงอิงกลับไม่เกรงกลัวสักนิด จับจ้องนางอยู่พักใหญ่ ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้เยาว์วัยนัก ดูแล้วเหมือนพี่สาว”
พอได้ยินคำพูดนี้ ลวี่ชิ่งตงรีบดุด่าว่า “อย่าพูดเหลวไหล ผู้อาวุโสระดับการฝึกตนสูงส่งลึกล้ำ เพียงแค่ดูเยาว์วัย…… ไร้มารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร”
โม่เทียนเกอฟังออกถึงความหมายในคำพูดของลวี่ชิ่งตง ถึงนางจะหน้าตาเยาว์วัย อายุแท้จริงกลับบอกไม่ได้ นางมิใช่สตรีที่ใส่ใจอายุรูปลักษณ์ ได้ยินคำพูดนี้เพียงยิ้มบาง ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลย
ลวี่ชยงอิงกลับหน้าบึ้งเอ่ยว่า “ท่านปู่ท่านไม่เข้าใจ ข้าพูดว่าผู้อาวุโสดูเหมือนพี่สาว นั่นเป็นเพราะผู้อาวุโสทั้งเยาว์วัยและงดงาม เรียกว่าผู้อาวุโสอย่างกับเรียกคนแก่ เรียกพี่สาวสิดี!”
“เจ้าเด็กคนนี้……”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ เอ่ยว่า “สหายเต๋าลวี่ไม่ต้องต่อว่าหลานสาวแล้ว หลานสาวชมว่าข้าเยาว์วัยและงดงาม ข้าจะมีอะไรให้ไม่พอใจหรือ”
ได้ยินนางพูดอย่างไร ลวี่ชิ่งตงถลึงตาใส่ลวี่ชยงอิง เอ่ยขอโทษอีกครั้งแล้วจึงว่า “เด็กคนนี้ถูกตามใจแต่เล็ก ถึงวาจาจะไม่เคารพอย่างยิ่ง จิตใจกลับดี”
โม่เทียเกอมองสีหน้าภาคภูมิใจเบาบางบนใบหน้าเขา ในใจลอบหัวเราะ ท่านผู้เฒ่าสกุลลวี่ผู้นี้ถึงจะเอ่ยขออภัยแทนหลานสาว ในใจกลับรู้สึกว่าหลานสาวบ้านตนเองดีมาก
จากนั้น สกุลลวี่จัดงานเลี้ยง หลังจากดื่มกินกันแล้วก็สนทนาเรื่องของการฝึกตนมากมาย สุดท้ายเชิญโม่เทียนเกอให้รั้งอยู่ที่สกุลลวี่สักหลายวัน
โม่เทียนเกอมีเจตนาจะสอบถามข่าวสารของอวิ๋นจงจากสกุลลวี่ก็เลยรับปาก กูเหนียงน้อยสกุลลวี่ลวี่ชยงอิงผู้นั้นรับคำสั่งของลวี่ชิ่งตงให้อยู่เป็นเพื่อนโม่เทียนเกอ
ลูกคิดรางแก้วของลวี่ชิ่งตง โม่เทียนเกอทราบชัดอยู่ในใจ ที่โลกการฝึกเซียน ถึงแม้เพศของผู้ฝึกตนจะไม่ได้สำคัญมาก แต่ถึงที่สุดแล้วยังมีความแตกต่าง การพูดคุยกันระหว่างผู้ฝึกตนสตรีง่ายกว่าผู้ฝึกตนบุรุษอยู่บ้าง เขาให้หลานสาวตนเองมาอยู่เป็นเพื่อนโม่เทียนเกอ คือหวังว่าทั้งสองคนจะผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกันหน่อย ให้นางชี้แนะหลานสาวมาก ๆ
การชี้แนะกูเหนียงน้อยระดับหลอมรวมพลังวิญญาณสำหรับนางแล้วเป็นเพียงเรื่องลำบากเพียงยกมือ และลวี่ขยงอิงจะเฉลียวฉลาดอีกเท่าไรก็เป็นเพียงกูเหนียงน้อยคนหนึ่ง การสอบถามข่าวสารจากปากของนางก็ง่ายขึ้นหน่อย ดังนั้นตัวนางเองก็ดีใจอย่างยิ่ง
หลังงานเลี้ยง แขกเจ้าภาพล้วนปีติ โม่เทียนเกอตามลวี่ชยงอิงไปที่เรือนรับรอง
…………………………………