หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 353 – แยกจาก
ตอนที่ 353 – แยกจาก
สีหน้าของเนี่ยอู๋ชางสงบนิ่งมาก คล้ายกับไม่กังวลใจสักนิดเลยว่าจะถูกสำนักเทียนเหยี่ยนจับกุม
โม่เทียนเกอมองอยู่พักใหญ่ จู่ ๆ ถามว่า “วันนั้นที่หออวี้หลิน ท่านพบเห็นข้าใช่หรือไม่”
รอยยิ้มบนใบหน้าเนี่ยอู๋ชางค้างไป ทอดมองนาง “ท่านคิดจะถามใช่หรือไม่ว่าข้าชักนำพวกเขาไปไล่ล่าท่านรึเปล่า”
“ถือว่าใช่เถอะ” โม่เทียนเกอยอมรับตามตรง นางนิสัยขี้ระแวงมาก ในเมื่อไม่ได้เตรียมที่จะเป็นศัตรูกับเนี่ยอู๋ชาง เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ถามให้ชัดเจนก็จะเป็นหนามแหลมอยู่ในใจเสมอ
“ไม่ใช่”
ได้ยินคำตอบของเนี่ยอู๋ชาง นางถอนหายใจโล่งอก ถามอีกว่า “เช่นนั้นท่านพบเห็นข้าเมื่อไหร่”
“ก็คือตอนนั้น” เนี่ยอู๋ชางเอ่ย “วันนั้นข้าออกจากหออวี้หลิน ซ่อนร่องรอย ใครจะรู้ว่าผู้ฝึกตนของสำนักเทียนเหยี่ยนพวกนั้นจะไปไล่ตามท่าน ข้าอยากรู้เลยตามไปดู ค้นพบว่าถึงกับเป็นท่าน อีกทั้งท่านยังอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนข้าเลย”
เรื่องนี้ เนี่ยอู๋ชางก็รู้สึกเหลือเชื่อ เดิมทีนางนึกว่าทางไปของตนเองกับโม่เทียนเกอเป็นคนละเส้นทางโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันนี้นางฝึกตนมีความสำเร็จอยู่ร่วมกับคู่เต๋า น่าจะรื่นรมย์อยู่ที่เทียนจี๋ถึงจะถูก กลับคาดไม่ถึงว่านางจะเป็นอย่างตนเองที่หนีออกมาอย่างอเนจอนาถ มาถึงอวิ๋นจงที่ห่างไกลเป็นหมื่นลี้
โม่เทียนเกอจ้องมองนางเนิ่นนาน มองจนเนี่ยอู๋ชางรู้สึกพิสดารแล้วจึงถามว่า “เพราะอะไรจึงมาคลุกคลีอยู่กับข้าเล่า ด้วยนิสัยของสหายเต๋าเนี่ยมิใช่ชอบอยู่โดดเดี่ยวยิ่งกว่าหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเนี่ยอู๋ชางหายไปทันใด นางมองโม่เทียนเกอเงียบ ๆ พักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ไม่ตอบได้ไหม”
“……” โม่เทียนเกอมองนางอย่างลึกซึ้ง พยักหน้า “แล้วแต่ท่าน”
พูดจบ นางจัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย นั่งลงบนฟูกของตนเอง “หากท่านจะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะไม่ไล่ท่าน ท่านตามสบายเถอะ”
เนี่ยอู๋ชางมองนางหลับตาเริ่มนั่งสมาธิ ไม่ได้ตั้งใจที่จะสนใจรูปลักษณ์ของตนเองอีก ก้มหน้ามองมือที่สวมถุงมือของตนเอง จู่ ๆ รู้สึกหลงทางมาก
หลายปีขนาดนี้ ในที่สุดนางหนีแล้ว แต่ว่าเส้นทางนี้สรุปแล้วจะต้องเดินไปอย่างไร นางอดไม่ได้ที่จะทิ้งสายตาลงบนร่างโม่เทียนเกอที่กำลังกลับตานั่งสมาธิคล้ายกับไม่มีการป้องกันนางเลย คนคนนี้สามารถให้คำตอบแก่ตนเองไหม
โม่เทียนเกอลืมตา มองเนี่ยอู๋ชางที่ฝึกตน “ตามสบาย” มาก ๆ จริง ๆ ที่มุมห้อง อดบิดมุมปากมิได้
วางใจให้เนี่ยอู๋ชางอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าเป็นเพราะนางมีความเชื่อมั่นต่อม่านพลังเฉพาะตัวของตนเอง ขอเพียงเนี่ยอู๋ชางมีความเปลี่ยนแปลงอันใด นางสามารถฆ่าล้างได้ในพริบตา แต่ว่าขณะนี้ดูท่าเนี่ยอู๋ชางไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายต่อนางจริง ๆ ถึงขนาดที่สามารถพูดว่าสนิทสนมเกินไปหน่อยแล้ว
คนทั่วไปไหนเลยจะฝึกตนในห้องเดียวกับผู้ฝึกตนคนอื่น? ถึงจะเป็นสหายก็น้อยคนจะมีความใกล้ชิดกันขนาดนี้! นอกเสียจากเป็นสหายกันมาทั้งชีวิต ตอนที่ผู้ฝึกตนฝึกตนจะไม่ยินยอมให้คนดูโดยเด็ดขาด ตัวนางเองเป็นเพราะว่ามีม่านพลังให้พึ่งพิง ความเป็นความตายของเนี่ยอู๋ชางเท่ากับว่าถูกบีบอยู่ในกำมือของนาง จึงได้กล้าฝึกตนต่อหน้านางอย่างไม่หวาดหวั่น แล้วเนี่ยอู๋ชางเป็นเพราะอะไรเล่า กล้าเข้าห้องฝึกตนที่นางตั้งกำแพงอาคมอย่างหนาแน่น กล้าดื่มชาของนาง ถึงขนาดที่กล้าฝึกตนต่อหน้านาง นางเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหริน น่าจะมีความตื่นตัวมากถึงจะถูก เหตุใดกลับเชื่อใจนางเช่นนี้
ความรู้สึกประเภทนี้ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกพิกลมาก นางมิใช่ไม่มีสหาย หลัวเฟิงเสวี่ยเยี่ยจิ่งเหวินกับพวกของโรงเรียนเสวียนชิงล้วนเรียกได้ว่าเป็นสหายที่คบค้ามาหลายปีของนาง แต่นางกับพวกเขามีมิตรภาพของผู้ร่วมสำนัก และยังนับว่านิสัยใจคอเข้ากัน แต่เนี่ยอู๋ชางเล่า นิสัยและประสบการณ์ชีวิตของเนี่ยอู๋ชางกับนางห่างกันเหมือนฟ้ากับดิน แทบจะไม่มีส่วนที่เป็นจุดร่วม
นางเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหริน คิดว่าตั้งแต่เล็กคงไม่ขาดศิลาวิญญาณโอสถ แต่กลับถูกซือฟุของตนเองทุบตีตามอำเภอใจจนแทบจะเป็นว่าแม้แต่ความภาคภูมิใจในตนเองก็ไม่มีแล้ว คนอย่างนางจะเชื่อคนง่าย ๆ หรือ
ส่วนตัวโม่เทียนเกอเอง ถึงตอนยังเล็กจะเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่ง ขาดแคลนโอสถ แต่ท่านอารองกลับดูแลนางอย่างเอาใจใส่ไปทุกด้าน หลังจากสูญเสียท่านอารอง นางก็มีซือฟุ มีฉินซี และยังมีสหายจำนวนหนึ่ง ก็เพราะว่าประสบการณ์เช่นนี้ ถึงนางจะบ่มเพาะนิสัยช่างระแวงรอบคอบออกมา แต่ก็จะเชื่อคนอื่นและเชื่อในความจริงใจด้วย นางกับเนี่ยอู๋ชางเป็นคนคนละประเภทกันเลย
จุดที่ยิ่งพิสดารก็คือ พูดตามหลักเหตุผล นางไม่ได้ปฏิเสธที่จะเชื่อคนอื่นเลย แล้วเนี่ยอู๋ชางยังเคยช่วยชีวิตนาง นางมีความปรารถนาดีประมาณหนึ่งให้เนี่ยอู๋ชางเป็นสิ่งที่ปกติ แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตของเนี่ยอู๋ชางน่าจะมีความระแวดระวังต่อนางจึงจะถูก เพราะอะไรกลับมีท่าทางวางใจยิ่งกว่าโม่เทียนเกออีกเล่า
โม่เทียนเกอรู้สึกว่าตนเองเดาความคิดของเนี่ยอู๋ชางได้ไม่ทะลุเลย นางไม่เคยพบเจอคนอย่างเนี่ยอู๋ชางเลย พอดีว่าเนี่ยอู๋ชางคนนี้ไม่อาจใช้สามัญสำนึกมาวิเคราะห์
“มองข้าเพื่ออะไร” เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ ลืมตาขึ้นมา
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เอ่ยโดยสงบว่า “ข้ากำลังคิดว่าสรุปว่าท่านคิดอะไรอยู่”
เนี่ยอู๋ชางตะลึง บิดปากยิ้มเล็ก ๆ เอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านถามมามิใช่ได้แล้วหรือ”
“แต่ก่อนหน้านี้ท่านมิได้ตอบข้า” โม่เทียนเกอมองนางแล้วพูด “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเพราะอะไรท่านจึงเชื่อข้าขนาดนี้”
“……” เนี่ยอู๋ชางก้มหน้า เงียบไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ บางจากซือฟุมาแล้วข้าอยากจะลองใช้ชีวิตประเภทอื่นเท่านั้นเอง”
“ถึงจะเป็นเช่นนี้ เพราะอะไรดันเป็นข้าเล่า ท่านฝึกตนอยู่ในสถานที่ของข้าอย่างไม่ระแวงสักนิดเช่นนี้ หรือไม่กล้วว่าข้าจะลงมือต่อท่านเลย”
เมื่อเผชิญกับคำถามข้อนี้ เนี่ยอู๋ชางส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ เงยหน้าขึ้นมองนาง “ท่านถือเสียว่าข้าใช้สัญชาตญาณเถอะ รู้สึกว่าท่านสามารถเชื่อถือได้”
“……” โม่เทียนเกอเงียบไป ไม่พูดมากอีก
เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจเบา ๆ หลับตาลงใหม่ ปิดบังความเหงาในดวงตา
อันที่จริง สาเหตุจริง ๆ นางยังไม่ได้พูด
ตั้งแต่เล็ก นางใฝ่ฝันที่จะหนีจากซือฟุผู้น่ากลัวคนนั้นและไปใช้ชีวิตแบบใหม่มาโดยตลอด แต่ตอนที่นางทำได้จริง ๆ กลับพบว่าตนเองงงงวยมาก ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ อย่างไรจึงนับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งหรือ นางอยากจะเดินอยู่ใต้แสงตะวัน สามารถหัวเราะพูดคุยกับคนอื่น ครอบครองจิตใจที่แข็งแกร่ง เต็มใจจะเชื่อถือคนอื่น แต่จนวันนี้ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มซ่อนลึกอยู่ในชีพจรปราณ นางยังคงไม่สามารถนับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
เวลาหนึ่งปีนี้ นางเก็บงำพลังวิญญาณ ซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้ เสาะหาวิธีการแปรเปลี่ยนปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพลาง ครุ่นคิดว่าตนเองอยากจะทำอย่างไรพลาง
หลายปีขนาดนี้ นางไม่รู้แล้วว่าจะสื่อสารกับคนอย่างไร ชีวิตที่ต้องการจะเริ่มต้นอย่างไร
ในเวลานี้เอง นางเห็นโม่เทียนเกออีกครั้ง คนที่ทำให้คนอิจฉาริษยาอีกทั้งละอายแก่ใจผู้นี้ นางคิดขึ้นมากะทันหันว่านี่อาจจะเป็นการเริ่มต้นของนาง
นี่เป็น “สหายเก่า” ที่หาได้ยากของนาง ทราบที่มาของนางอย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ นางเคยช่วยชีวิตนาง ดังนั้นนางสามารถพนันดูได้ว่าระหว่างพวกนางมีความปรารถนาดี หรือถึงขนาดที่ว่าจะสามารถสร้างมิตรภาพขึ้นหรือไม่
สมมติว่าโม่เทียนเกอไม่เชื่อนางจะทำอย่างไร นางเคยคิดถึงคำถามข้อนี้ เวลานั้น ส่วนลึกในจิตใจผุดความรู้สึกเหนื่อยล้าอันลึกล้ำ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ก็……หายตัวไปอย่างนี้เถิด
นางหัวเราะเยาะตนเองที่ถึงกับมีความคิดหน่ายโลกอย่างนี้ หนีจากเทียนจี๋อย่างเหนื่อยยากแสนสาหัส ตายเก้ารอดหนึ่ง สุดท้ายกลับเอาความเป็นความตายส่งถึงมือคนอื่น
แต่ว่า นางกลับไม่คิดจะเปลี่ยนการตัดสินใจนี้ หลายปีขนาดนี้ นางไม่เคยได้กำชะตาชีวิตของตนเองเลย ดังนั้นสลัดหลุดจากพันธนาการแล้วกลับยังงงงวย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยกให้คนอื่นตัดสินใจสักรอบจะเป็นไรไปเล่า
ตอนนี้ดูท่านางน่าจะชนะพนันแล้ว โม่เทียนเกอไม่ได้ตั้งใจจะเป็นศัตรูกับนางเลย
นี่ทำให้นางรู้สึกถึงความหมายของชีวิตนิดหน่อย ชีวิตของนางไม่ได้ล้มเหลวขนาดนั้นเลย อย่างน้อยยังมีคนเต็มใจจะยอมรับความไว้ใจของนาง
คิดถึงตรงนี้ จู่ ๆ รู้สึกว่าในความเหงาเกิดความหวังนิดหน่อย การเริ่มต้นใหม่อย่างนี้ยังไม่เลว
สามวันผ่านไป เนี่ยอู๋ชางหยุดฝึกตน มองหน้าต่างที่ใสสว่าง
“จะไปแล้ว?” โม่เทียนเกอลืมตา ทอดมองนาง
“อืม” เนี่ยอู๋ชางไม่ได้หันหน้ามา เพียงส่งเสียงตอบรับหนึ่งคำ “ถึงเวลาแล้ว”
โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู สุดท้ายยังถามหนึ่งประโยคว่า “ท่านมีวิธีการปลอดภัยที่จะจากไปหรือ”
เนี่ยอู๋ชางหันหน้ามามองนางแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านจะไปไม่ไป”
โม่เทียนเกอหลังจะตะลึงไปก็ยิ้มเอ่ยว่า “หากข้าไปกับท่านจะนับว่ากลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับท่านจริง ๆ หรือไม่”
เนี่ยอู๋ชางยักไหล่ พูดอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ท่านยังกังวลว่าจะถูกข้าเกี่ยวติดร่างแหหรือ”
“ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สองคน ข้ายังตอแยไม่ได้” โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างชืดชา “แต่ว่า เรื่องนี้ข้าก็หนีความเกี่ยวข้องไปไม่พ้นแล้ว ยังคงไปจากเกาะเป่ยจี๋ให้เร็วที่สุดเป็นดี”
เนี่ยอู๋ชางฟังจนยิ้ม “พูดอย่างนี้ ท่านก็วางแผนจะจากไปวันนี้หรือ”
โม่เทียนเกอยิ้มโดยไม่ตอบ
เนี่ยอู๋ชางจึงไม่พูดมากแล้ว เริ่มปลอมตนเองต่อหน้าโม่เทียนเกอ
เห็นเพียงนางล้วงเอาสิ่งของแปกประหลาดกองหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ เริ่มเช็ดหน้า เอาผงแป้งต่าง ๆ นานาโปะบนหน้าอย่างแล้วอย่างเล่า แดง ๆ เหลือง ๆ รอจนนางโปะเสร็จ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดอย่างพิสดารชนิดหนึ่ง จากนั้นเติมไฝ กันคิ้ว คิดหนวดเครา รอจนนางเสร็จเรียบร้อยแล้วเกล้าผมใหม่ เปลี่ยนเสื้อผ้า ก็กลายเป็นบุรุษร่างแคระแกร็นคนหนึ่งทันที
โม่เทียนเกอมองนางแปลงโฉมกับตา อยากรู้เป็นอย่างยิ่ง “นี่ท่าน……”
“ทักษะปลอมตัวของโลกปุถุชน” เนี่ยอู่ชางเก็บสิ่งของบนโต๊ะ หยิบกล่องแป้งหนึ่งใบมาเขย่าใส่นาง “ต้องการไหม”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า สังเกตนางโดยละเอียด รู้สุกว่ามองข้อบกพร่องไม่ออกสักนิด อดเอ่ยอย่างทอดถอนไม่ได้ว่า “วิธีการนี้ดี ทักษะมายาสำหรับผู้ฝึกตนระดับสูงถูกมองออกง่าย ทว่าทักษะปลอมตัวของโลกปุถุชนกลับสามารถเพียงอาศัยสายตาแยกแยะ ไม่ว่าจะระดับการฝึกตนสูงเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์”
ปีนั้นก็ด้วยเหตุผลนี้ ตอนที่นางเข้าสำนักอวิ๋นอู้จึงเป็นสตรีแต่งกายเป็นบุรุษ ผู้ฝึกตนรอบครองพลังวัตร มักจะพึ่งพาจิตหยั่งรู้ กลับละเลยปัญหาเสื้อผ้าอันพื้นฐานที่สุด แต่ทว่าฝีมือของเนี่ยอู๋ชางสูงส่งกว่านางในปีนั้นมาก แทบจะกลายเป็นคนอีกคน
“ข้าไปล่ะ” เก็บสิ่งของเสร็จแล้ว เนี่ยอู๋ชางเงยหน้ามองนาง “ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากที่รับตัวข้าไว้”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ ไม่ได้พูดเกรงใจกับนาง ถามว่า “ท่านไปจากเกาะเป่ยจี๋ มีแผนการอะไร”
“ย่อมจะไปแผ่นดินใหญ่อวิ๋นจง” เนี่ยอู่ชางพูด “ม่านพลังเคลื่อนย้ายของเกาะเป่ยจี๋ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับสำนักเทียนเหยี่ยนอยู่บ้าง ข้าไม่สะดวกจะใช้ ได้แต่ปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนออกทะเล บินไปตรง ๆ เที่ยวนี้ข้าน่าจะไปอาณาจักรตงถังก่อน ถึงเวลานั้น หวังว่าพวกเรายังมีชะตาได้พบกับใหม่”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ในเมื่อนางข้ามทะเลใต้มาถึงอวิ๋นจง ย่อมสามารถบินข้ามช่องแคบจากเกาะเป่ยจี๋ไปที่แผ่นดินใหญ่อวิ๋นจง จุดนี้ไม่ต้องกังวลโดยสิ้นเชิง
“เอาล่ะ พบกันวันหลัง”
เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจแล้วยิ้ม ล้วงหมวกงอบหนึ่งใบจากในอกเสื้อสวมไว้บนศีรษะ รอจนนางเปิดกำแพงอาคมจึงผยักประตูเดินออกไป หายลับไปอย่างรวดเร็วไร้สุ้มเสียง
โม่เทียนเกอทอดมองสถานที่ที่นางจากไป ไม่พูดจาเนิ่นนาน
………………………….