หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 357 – เฟยเฟยที่พูดได้
ตอนที่ 357 – เฟยเฟยที่พูดได้
คำพูดของผู้ฝึกตนสกุลหลิงนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้ยินเลย หากนางทราบจะต้องตื่นตะลึงต่อความแหลมคมของสายตาคนผู้นี้ เกิดความระแวดระวังอย่างมาก
ถึงนางจะมีอาวุธเวทมาก แต่ล้วนเก็บไว้ในกระเป๋าเอกภพเป็นอย่างดี มีเพียงบนเท้าที่สวมรองเท้าย่ำเมฆาหนึ่งคู่เท่านั้น รองเท้าย่ำเมฆามิใช่อาวุธเวทที่เผยพลังวิญญาณสู่ภายนอก มีน้อยคนที่มองแวบเดียวก็จะสังเกตเห็นสมบัติชิ้นนี้ อีกทั้งสิ่งที่ผู้ฝึกตนสกุลหลิงนี้พูดคือ “สมบัติมากขนาดนี้” กลับไม่ทราบว่าดูออกจากที่ใด
ไม่เอ่ยถึงผู้ฝึกตนสกุลหลิงคนนี้ โม่เทียนเกอภายใต้การนำของผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณเสี่ยวชุ่นได้ไปถึงถ้ำพำนักอักษรสวนหมายเลขยี่สิบสามอย่างราบรื่น หลังจากยืนยันว่าไม่ผิด ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นก็ขอตัวจากไป
โม่เทียนเกอเข้าถ้ำพำนักปราณน้ำเงินนี้ มองดูหนึ่งรอบโดยละเอียด ในถ้ำพำนักมีการตั้งม่านพลัง ดูผิวเผินแล้วเป็นเพียงม่านพลังห้ามเข้า อันที่จริงภายในซ่อนกำแพงอาคมสอดแนมอย่างลับ ๆ หนึ่งอัน สกุลหลิงเป็นตระกูลฝึกเซียนที่เป็นส่วนหนึ่งของสำนักจิ่วเยี่ยน ที่เมืองเทียนเสวี่ยพูดคำไหนคำนั้น โดยทั่วไปตระกูลฝึกเซียนที่ครอบครองอำนาจสิทธิ์ขาดในสถานที่หนึ่งประเภทนี้จะเล่นเล่ห์สักหน่อยไม่ได้ประหลาดเลย กลับกัน คนที่เช่าถ้ำพำนักของพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ มักจะไม่ค้นพบกำแพงอาคมนี้ ถึงจะค้นพบก็ได้แต่กลืนความโกรธลงไป ไม่อาจถกเหตุผลด้วย
ดังนั้น โม่เทียนเกอก็เพียงลงไม้ลงมือนิดหน่อยลบล้างกำแพงอาคมสอดแนมนี้ ถัดจากนั้นตั้งม่านพลังของตนเองแทนที่ม่านพลังของสกุลหลิง
เข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ปล่อยเสี่ยวหั่วและเสี่ยวฝานออกมา ให้พวกมันต่างคนต่างไปฝึกตน กำลังอยากจะหยิบอาวุธเวทออกมาชำระต่อ เสี่ยวหั่วที่เพิ่งจะปล่อยออกจากกระเป๋าอสูรวิญญาณก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน กัดแขนเสื้อของโม่เทียนเกออย่างปุบปับ ดึงออกไปข้างนอก
“ทำไมหรือ” โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงอารมณ์ลนลานของเสี่ยวหั่วก็ไม่เข้าใจ
เสี่ยวหั่วย่อมตอบไม่ได้ เพียงกัดแขนเสื้อของนางวิ่งไปข้างนอก
โม่เทียนเกอตามมันออกจากห้องฝึกตน วิ่งไปที่ห้องอสูรวิญญาณ
เสี่ยวหั่วใช้กรงเล็บตบประตูเปิด ผลุบเข้าไปเป็นตัวแรก
โม่เทียนเกอพอเข้าไปก็ตกตะลึง เพียงเห็นเฟยเฟยนอนบนพื้น ขยับก็ไม่ขยับ เส้นขนที่เดิมทีสีทองหม่นประกายลงไปมากมาย
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?!” นางพุ่งไปข้างหน้า อุ้มเฟยเฟยขึ้นมา ค้นพบว่าพลังวิญญาณของมันอ่อนจางมาก ร่างกายเย็นเฉียบ
ถึงเฟยเฟยจะระดับการฝึกตนไม่สูง แต่ว่าแสนรู้มาก ตั้งแต่ที่ลงนามสัญญาอสูรวิญญาณกับนางก็ประดุจดั่งปลาได้น้ำอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นอกเสียจากกวนนางให้ไปเล่นด้วยเป็นครั้งคราวก็ไม่เคยให้นางคอยดูแล พอกระหายพอหิวก็จะไปหาของมากินด้วยตัวเอง ฝึกตนก็ไม่ต้องใส่ใจมาก พอเพียงโยนโอสถให้มันบ่อย ๆ ก็พอ แล้วขณะนี้มันเกิดอะไรขึ้น
เสี่ยวหั่วร้องอู ๆ สองคำ วนรอบตัวโม่เทียนเกอสองรอบ ดูท่าทางซึมมาก
โม่เทียนเกอไม่ว่างไปสนใจมัน อุ้มเฟยเฟยกลับห้องฝึกตนของตัวเอง ตรวจสอบพลังวิญญาณในร่างกายมันโดยละเอียด
คุณลักษณ์ของสายพันธุ์เฝยเฝยนี้ไม่มีความแข็งแกร่งที่กล้าแกร่ง เพียงมีความเป็นมิตรอันเป็นเอกลักษณ์ เฟยเฟยก็เช่นกัน ในร่างของมัน พลังวิญญาณค่อนข้างอ่อนโยน ไม่มีลักษณะแข็งกร้าวเลย พอเข้าใกล้ก็ทำให้คนมีความรู้สึกที่บริสุทธิ์ผุดผ่องชนิดหนึ่ง
ผ่านไปพักหนึ่ง โม่เทียนเกอดึงพลังวิญญาณออกจากในร่างเฟยเฟย ขมวดคิ้ว นางตรวจสอบชีพจรปราณและตานเถียนของเฟยเฟย ไม่ได้ค้นพบความผิดปกติอันใด แต่ที่พลังวิญญาณอ่อนจางมากกลับเป็นความจริง สรุปว่าเกิดปัญหาอะไร มันกินสิ่งของอะไรหรือว่าฝึกตนผิดพลาด?
ไม่ว่าจะแบบไหน พลังวิญญาณไร้ความผิดปกติสักนิด นางเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าแล้ว พูดกันโดยทั่วไป การฝึกตนของผู้ฝึกตนหรือว่าอสูรวิญญาณเกิดปัญหาก็จะสะท้อนไปที่พลังวิญญาณตรง ๆ ถึงเวลาขอเพียงคลี่คลายพลังวิญญาณที่สับสน อาการบาดเจ็บย่อมจะหายดี แต่สถานการณ์ของเฟยเฟยขณะนี้กลับไม่เป็นเช่นนี้ นี่ทำให้โม่เทียนเกอสับสนมึนงงไปหมด
นางร้อนรนอยู่พักใหญ่ เพียงคิดได้วิธีการหนึ่ง ในเมื่อพลังวิญญาณอ่อนจาง เช่นนั้นก็เสริมพลังวิญญาณดีกว่า เพียงแต่ว่าวิธีนี้มีความเสี่ยงอยู่บ้าง หากพลังวิญญาณที่เสริมมากเกินไป พอไม่อาจทนทานรับ ชีพจรปราณและตานเถียนก็จะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
คิดอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอกัดฟันตัดสินใจ ปล่อยเฟยเฟยไว้อย่างนี้ต่อไป พลังวิญญาณยิ่งมายิ่งอ่อน ถึงตอนท้ายสุดหลีกหนีชะตาที่ต้องตายไม่พ้น ไม่สู้ลองเสี่ยงดู
คิดอย่างนี้แล้ว นางล้วงขวดหยกหนึ่งใบออกจากในกระเป๋าเอกภพ เทเม็ดโอสถออกมาป้อนให้เฟยเฟย
เฟยเฟยยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ แต่อย่างรวดเร็วมาก ร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นมาช้า ๆ
เมื่อเห็นว่ามีผลลัพธ์ โม่เทียนเกอยินดีอยู่ในใจ จับจ้องต่อไป
ผ่านไปพักหนึ่ง ฤทธิ์ยาค่อย ๆ อ่อนลง นางป้อนอีกเม็ด
ถัดจากนั้นก็ทำซ้ำต่อไปอย่างนี้ พลังวิญญาณหายไปก็ป้อนยาให้เฟยเฟย ผ่านไปพักหนึ่งพลังวิญญาณหายไปอีกก็ป้อนยาต่อไป
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เฟยเฟยไม่ได้สติมาตลอด แต่ก็ไม่ได้ตายไป
โม่เทียนเกอเรียกเสี่ยวฝานมา หนึ่งคนหนึ่งอสูรผลัดกันป้อนยาให้เฟยเฟยกับเสี่ยวฝาน เพราะว่าก่อนจากมายาส่วนใหญ่ล้วนทิ้งไว้ให้ฉินซี ช่วงตรงกลางนางเปิดเตาหลอมหลอมยาอีกครั้ง
หนึ่งเดือนให้หลัง พลังวิญญาณในร่างเฟยเฟยในที่สุดก็เพิ่มขึ้น ไม่ได้อ่อนจางอย่างเดิม ความเร็วที่หายไปก็ไม่ได้เร็วขนาดนั้นแล้ว
โม่เทียนเกอใช้พลังวิญญาณเข้าไปในชีพจรปราณของมันอีกครั้ง สืบตามชีพจรปราณล่วงลึกเข้าตานเถียน ในที่สุดค้นพบแหล่งที่มาที่พลังวิญญาณหายไป
ที่แท้ ในตานเถียนของเฟยเฟยมีก้อนพลังวิญญาณอ่อนจางหนึ่งก้อน หากไม่ระมัดระวังก็จะไม่พบเห็นเลย ก้อนพลังวิญญาณนี้คล้ายกับโอบล้อมอะไรเอาไว้ นางหยั่งพลังวิญญาณเข้าไปอย่างระมัดระวัง กลับค้นพบว่าถึงกับเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่อ่อนแอดุจฝุ่นผงเม็ดหนึ่ง เป็นวัตถุนี้ที่ดูดกลืนพลังวิญญาณของมันช้า ๆ
ตอนนี้ เม็ดฝุ่นนี้คล้ายจะกินอิ่มไปบ้างแล้ว ขยายขนาดจากแต่เดิมไปมาก จึงได้ถูกโม่เทียนเกอค้นพบ
ทว่าถึงจะค้นพบแหล่งที่มาแล้ว แต่นี่เป็นวัตถุซึ่งไม่รู้จัก โม่เทียนเกอไม่กล้าจัดการตามอำเภอใจ ยังคงป้อนโอสถให้เฟยเฟยต่อไป สังเกตการณ์ฝุ่นผงเม็ดนี้
พร้อมกับที่ป้อนยามากขึ้นเรื่อย ๆ ฝุ่นผงนี้ในที่สุดหยุดการดูดกลืนพลังวิญญาณ ร่างกายของเฟยเฟยค่อย ๆ อุ่นขึ้น
โม่เทียนเกอถอนหายใจโล่งอก ขอเพียงเฟยเฟยไม่ตาย สาเหตุนี้สามารถไปตรวจสอบดูช้า ๆ
แต่เฟยเฟยไม่ได้สติมาโดยตลอด ฝุ่นเม็ดนั้นดูดกลืนพลังวิญญาณจนอิ่ม ค่อย ๆ ขยายขนาด คล้ายกับว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร
ผ่านไปอีกหลายเดือน ฝุ่นเม็ดนี้จู่ ๆ ระเบิดขึ้น ปล่อยพลังวิญญาณอันกล้าแข็งออกมา
โม่เทียนเกอตะลึงมาก เกิดความกลัวว่าจะทำร้ายตานเถียนของเฟยเฟย แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ พลังวิญญาณของเฟยเฟยกลับรักถนอมมันยิ่งนัก ถึงขนาดแบ่งพลังวิญญาณออกมาส่วนหนึ่งม้วนพันเอาไว้ คล้ายกับว่ากำลังปกป้องมัน
เห็นฉากนี้แล้ว โม่เทียนเกอเกิดความคิดอย่างหนึ่ง : หรือว่าวัตถุนี้จะเป็นสิ่งของของตัวแฟยเฟยเอง
นี่ก็มหัศจรรย์แล้ว สิ่งของที่ก่อกำเนิดขึ้นในร่างกายของเฟยเฟยเอง เหตุใดกลับดูดกลืนพลังวิญญาณของตนเองอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะทำให้มันเสียชีวิต สมมติว่าไม่มีคนดูแลมัน ไม่ได้ป้อนโอสถเสริมพลังวิญญาณให้มัน เฟยเฟยจะไม่ถูกสิ่งของนี้ทรมานจนตายหรือ
คำถามข้อนี้ โม่เทียนเกอในขณะนี้ก็ไม่อาจตอบได้ ได้แต่นิ่งรอให้เฟยเฟยฟื้นขึ้นมา
ในวงล้อมพลังวิญญาณที่หนาแน่น แสงสีทองบนร่างเฟยเฟยยิ่งมายิ่งสว่าง อย่างช้า ๆ ร่ายกายทั้งร่างล้วนถูกแสงสีทองอันบาดตาก้อนหนึ่งห้อมล้อม จากนั้น พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนโถมไปยังร่างกายของมัน
โม่เทียนเกอมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้า ตกตะลึงอย่างไร้ที่เปรียบ
นางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว นี่กับสถานการณ์ตอนที่เสี่ยวหั่วเลื่อนเป็นขั้นห้าคล้ายคลึงกันมาก เฟยเฟยกำลังจะเลื่อนขั้น!
เรื่องที่เกิดขึ้นมาลำดับถัดไปยืนยันการคาดเดาของนาง
เฟยเฟยไม่ได้หยุดกระบวนการดูดกลืนพลังวิญญาณมาโดยตลอด แสงสีทองฉาบทั่วทั้งห้องฝึกตน ในแสงสีทอง ความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณของเฟยเฟยยิ่งมายิ่งกล้าแข็ง ไม่ได้อ่อนแออย่างแต่ก่อนอีกแล้ว ทว่าเริ่มขยับขึ้นลง พ่นออกดูดเข้า หมุนเวียน
เมื่อยืนยันว่ามันจะเลื่อนขั้น โม่เทียนเกอก็วางใจแล้ว ปล่อยห้องฝึกตนให้มัน ตนเองหาห้องอื่นมานั่งสมาธิฝึกตน, ชำระอาวุธเวท ส่วนเสี่ยวหั่วไปเฝ้านอกประตูด้วยตัวเอง คุ้มครองเฟยเฟย
โม่เทียนเกอเห็นแล้วก็ยิ้มอย่างเข้าใจ ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ เสี่ยวหั่วกับเฟยเฟยไม่มีเพื่อนเล่นอื่น อสูรวิญญาณสองตัวเป็นสหายกันมาหลายสิบปี ความรู้สึกต่อกันดียิ่ง ตอนแรกที่เสี่ยวหั่วเลื่อนขึ้น เฟยเฟยหมุนเป็นวงอย่างลนลาน ขณะนี้เฟยเฟยจะเลื่อนขั้นแล้ว เสี่ยวหั่วก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน อสูรวิญญาณอสูรวิญญาณ เป็นวัตถุวิญญาณฟ้าดินเช่นกัน อารมณ์ของมนุษย์ พวกมันก็จะมี
นอกจากนั้น นางยังคาดหวังมากต่อเฟยเฟยหลังเลื่อนขึ้นมาก จำได้ว่าตอนนางอยู่หลินไห่ คนของสภาปี้เซวียนเคยบอกนางว่าเฝยเฝยเป็นอสูรวิญญาณที่พิเศษเฉพาะชนิดหนึ่ง พวกมันไม่มีทักษะเวทที่แข็งแกร่ง แต่สามารถอยู่ร่วมกับอสูรปีศาจโดยสันติ สัมผัสต่อพลังวิญญาณก็เฉียบคมยิ่ง แต่พวกมันฝึกตนช้านัก โดยทั่วไปตัวโตเต็มวัยก็มีเพียงขั้นสองขั้นสาม
ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ เฟยเฟยสามารถฝึกตนถึงขั้นสี่เร็วขนาดนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกกว่าไม่เลวมากแล้ว หากจะเลื่อนขั้นอีกก็จะเป็นขั้นห้าแล้ว!
อสูรวิญญาณขั้นห้า สำหรับผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เกรงว่าผู้ฝึกตนของหลินไห่ไม่เคยเห็นเฝยเฝยขั้นห้าเลยกระมัง แต่ไม่รู้ว่าจะมีทักษะเวทพิเศษเฉพาะหรือไม่
อสูรวิญญาณสามตัวของนาง เสี่ยวฝานและเสี่ยวหั่วล้วนขั้นห้าแล้ว หากเฟยเฟยก็เลื่อนเป็นขั้นห้าก็จะเป็นที่อิจฉาของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนอื่นแล้ว อสูรวิญญาณขั้นห้า พวกเขาสามารถมีได้หนึ่งตัวก็ไม่ง่ายแล้ว จะหามาจากที่ไหนสามตัว? หากมิใช่ว่ามีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอยู่ โม่เทียนเกอก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอสูรวิญญาณขั้นห้าสามตัว การเลี้ยงอสูรวิญญาณต้องเสียโอสถมากมาย ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่แม้แต่โอสถของตนเองยังไม่อาจรับประกัน ไหนเลยจะสามารถให้อสูรวิญญาณกินตามใจชอบ?
ช่วงเวลาถัดจากนั้น โม่เทียนเกอชำระอาวุธเวทพลาง รอเฟยเฟยเลื่อนขั้นพลาง เพราะสถานการณ์พิเศษที่เฟยเฟยเลื่อนขั้น นางก็ไม่กล้าจากไปอย่างง่ายดาย ได้แต่ทิ้งเรื่องราวอื่นไว้เบื้องหลัง รอให้เฟยเฟยเลื่อนขั้นแน่นอนแล้วค่อยว่ากัน
หลายเดือนให้หลัง ห้องฝึกตนที่เฟยเฟยอยู่ในที่สุดหยุดดูดกลืนพลังวิญญาณ แสงสีทองบาดตาระเบิดขึ้น แสงสีทองนี้แพร่กระจายออกมา แทบจะย้อมโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนทั้งหมดเป็นสีทอง กลางอากาศแสงวิญญาณโบยบิน
โม่เทียนเกอยื่นมือออกไป ค้นพบว่าแสงวิญญาณนิด ๆ กระจายไปทั่วโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ตกตะลึงไร้ที่เปรียบ พลังสภาวะในการเลื่อนขั้นนี้ของเฟยเฟยเทียบกับเสี่ยวหั่วแล้วแกร่งกว่ามากมาย มีลักษณะคล้ายกับผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน หรือว่านี้ก็เป็นคุณลักษณะของสายพันธุ์ของมัน?
แสงวิญญาณคงอยู่ประมาณครึ่งวัน ในที่สุดค่อย ๆ จางหาย พลังวิญญาณก็ฟื้นฟูสู่ความสงบทีละนิด
โม่เทียนเกอยิ่งอยู่นอกห้องฝึกตน กำลังอยากจะผลักประตูห้องฝึกตนเปิด กลับได้ยินเสียง “เอี๊ยด” ประตูถูกผลักเปิดแล้ว จากนั้น แสงสีทองก้อนหนึ่งโถมเข้าอ้อมอกนาง ข้างหูได้ยินเสียงอ่อนเยาว์ว่า “เจ้านาย!”
โม่เทียนเกอกอดเฟยเฟยที่ร่างที่ยังคงเล็กบอบบางแต่พลังสภาวะกลับไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ตกตะลึงไร้ที่เปรียบ “เฟยเฟย เจ้า……เจ้าพูดได้แล้ว?”
เฟยเฟยถูไถในอ้อมอกนาง หาวออกมา พูดอย่างพึงพอใจมากว่า “ในที่สุดก็พูดได้แล้ว ข้าอัดใจแทบตาย”
โม่เทียนเกอแข็งเป็นหิน นี่…… นางรู้ว่าเฟยเฟยไม่ใช่อสูรวิญญาณสามัญ แต่ว่า เสียงที่อ่อนเยาว์เหมือนเด็กอย่างนี้ เพราะอะไรกลับมีน้ำเสียงที่ชราภาพอย่างนี้ หรือว่าเฟยเฟยไม่ใช่อสูรวิญญาณน้อยที่น่ารักมากชอบเล่นสนุกมากหรอกหรือ
………………………………………………..