หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 359 – หลิงอวิ๋นเฮ่อ
ตอนที่ 359 – หลิงอวิ๋นเฮ่อ
เดิมที่ตั้งใจว่าหลังมาถึงเมืองเทียนเสวี่ยจะคบค้ากับผู้ฝึกตนของสำนักจิ่วเยี่ยนมาก ๆ ไม่คิดว่าเฟยเฟยเลื่อนขั้นครั้งนี้จะเนิ่นช้าไปอีกกว่าครึ่งปี
รอจนเรื่องของเฟยเฟยยุติลงในที่สุด โม่เทียนเกอออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน กลับค้นพบด้วยความประหลาดใจว่าปากประตูถ้ำพำนักของตนเองมีเครื่องรางถ่ายทอดเสียงหลายแผ่นลอยอยู่
นางเก็บเครื่องรางถ่ายทอดเสียงเหล่านี้มาทีละอัน สองแผ่นในนั้นเป็นการส่งให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ถ้ำพำนักสกุลหลิงเหมือน ๆ กัน ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคือได้ยินว่าผู้ที่อยู่ที่นี่เป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ขอทักทาย แผ่นสุดท้ายกลับประหลาดอยู่บ้าง คนที่ส่งเครื่องรางถ่ายทอดเสียงแผ่นนี้ถึงกับเป็นผู้ฝึกตนสกุลหลิงที่ตอนนางเช่าถ้ำพำนักเคยพบปะซึ่งหน้า
เนื้อหาของเครื่องรางถ่ายทอดเสียงนี้เรียบง่ายมาก เพียงพูดว่า หากนางออกจากการกักตน โปรดตอบข้อความกลับ
แต่โม่เทียนเกอรู้สึกประหลาดมาก นางถอนกำแพงอาคมสอดแนมของสกุลหลิงในถ้ำพำนักไปแล้ว คนผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่านางกำลังกักตน อีกอย่าง ดูท่าทางแล้วเครื่องรางถ่ายทอดเสียงนี้หยุดอยู่ที่นี่นานมากแล้ว เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนที่นางตอบกลับจะเป็นเวลาใด ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นจะไม่มีประโยชน์แล้ว
คิด ๆ ดูแล้ว นางยังคงทำตามข้อความที่ผู้ฝึกตนสกุลหลิงนี้ทิ้งไว้ ตอบเครื่องรางถ่ายทอดเสียงกลับไป
จากนั้น นางเตรียมจะไปเดินเล่นที่เมืองเทียนเสวี่ย ใครจะรู้ว่าเพิ่งปิดถ้ำพำนักก็เห็นว่าบนขอบฟ้ามีแสงเพลิงสายหนึ่งพุ่งผ่าน เครื่องรางถ่ายทอดเสียงอีกอันบินมาทางนางแล้ว
โม่เทียนเกอรับเครื่องรางถ่ายทอดเสียงนั้น เครื่องรางวิญญาณเผาไหม้ขึ้นโดยไร้ไฟ ถ่ายทอดเสียงออกมาว่า “สหายเต๋ารอก่อน จ้ายเซี่ยจะไปถึงทันที”
โม่เทียนเกอตะลึงไป นี่หมายความว่าอะไร หรือว่าคนผู้นี้รอนางตอบกลับพอดี อีกทั้งยังหานางอย่างรีบร้อนขนาดนี้ มีเรื่องด่วนอะไรหรือ
ไม่ว่าจะเรื่องอะไร รอสักครู่ย่อมจะรู้
อดใจรออยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจู่ ๆ เงยหน้าขึ้น กลับเห็นแสงหลบหนีสีน้ำเงินวาดผ่านขอบฟ้า พลังสภาวะแกร่งกล้า พุ่งมาทางนาง จากนั้น ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่สวมชุดเต๋าสีเบจผู้หนึ่งทิ้งตัวลงเบื้องหน้านาง
“จ้ายเซี่ยหลิงอวิ๋นเฮ่อ สหายเต๋าท่านนี้เรียกขานว่าอันใด” คนผู้นี้ยกมือขึ้นมาทางนาง ทักทายอย่างสุภาพ
โม่เทียนเกอกลับตะลึงไป คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ ใบหน้าสะอาดไร้หนวดเครา องคาพยพหล่อเหลา ผมยาวสีดำสนิทมวยขึ้นอย่างเรียบร้อย ใช้เกี้ยวรัดผมเอาไว้ บนชุดเต๋าสีเบจบนตัววาดลวดลายเมฆาอันหรูหรา เหมือนกับจะแสดงออกถึงศักดิ์ฐานะอันไม่สามัญของเจ้าของ คนทั้งคนดูสง่างามน่าเลื่อมใส ลักษณะเซียนกระดูกเต๋า
แต่ว่า ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางยังหาร่องรอยอันคุ้นเคยบนใบหน้านี้พบ ยังมีสำเนียงที่พูดจานั้นก็กระตุ้นความทรงจำของนาง
คนผู้นี้ถึงกับเป็นผู้ฝึกตนสกุลหลิงที่ดำเนินการให้นางตอนที่นางเช่าถ้ำพำนัก!
คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังที่ตอนนั้นไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ดูโสมมถึงสิบส่วนคนนั้น หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าจะเป็นรูปลักษณ์เช่นนี้! ไม่เพียงอ่อนเยาว์ลงมากมาย อีกทั้งพลังสภาวะไม่สามัญ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ คนผู้นี้ถึงกับปิดบังระดับการฝึกตนเช่นเดียวกันกับนาง ไม่ใช่ระดับสร้างฐานพลัง ทว่าเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง!
โม่เทียนเกอยกมือขึ้นคำนับ กลับไม่ได้ตอบคำถามของเขา ทว่าถามเขาทื่อ ๆ ว่า”สหายเต๋าหลิงมาหา ไม่ทราบว่ามีธุระอันใด”
ได้ยินคำถามนี้ ในแววตาคนผู้นี้เกิดประกายประหลาดใจวูบผ่าน จากนั้นยิ้มมุมปาก เอ่ยว่า “ท่านไม่ถามข้าก่อนหรือว่ารู้ระดับการฝึกตนของท่านได้อย่างไร แล็วก็ไม่ถามว่าข้าปิดบังระดับการฝึกตนด้วยเหตุใด”
โม่เทียนเกอมองเขา เอ่ยอย่างชืดชาว่า “หากสหายเต๋าเต็มใจจะบอก จ้ายเซี่ยนย่อมอยากรู้” ความหมายในคำพูดคือ หากไม่อยากบอก นางถามก็ไม่มีประโยชน์
คนผู้นี้ได้ฟังคำตอบของนางกลับยิ้มขึ้นมา “ข้าไม่ได้หาคนผิดจริง ๆ” เขามองด้านหลังของโม่เทียนเกอ ยิ้มถามว่า “สหายเต๋าไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งหน่อยหรือ”
โม่เทียนเกอใคร่ครวญดู คนผู้นี้จะต้องมีวาจาอยากพูดกับนาง ดูจากกริยาของเขาน่าจะไม่ใช่เรื่องร้าย จึงทำท่าเชื้อเชิญ “สหายเต๋าหลิงเชิญ”
ถ้ำพำนักนี้ ตอนที่สกุลหลิงปล่อยเช่าได้เตรียมเครื่องใช้ทั่วไปไว้แต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้โม่เทียนเกอเชิญคนผู้นี้เข้าโถงเล็กรับแขกตรง ๆ
คนทั้งสองแยกย้ายนั่งในตำแหน่งแขกเจ้าบ้าน ผู้ฝึกตนสกุลหลิงนี้สำรวจถ้ำพำนักหนึ่งรอบ ยิ้มเอ่ยอย่างมีความหมายแฝงว่า “ทักษะม่านพลังของสหายเต๋าล้ำลึกโดยแท้ ม่านพลังป้องกันนี้ค่อนข้างไม่สามัญเลย!”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ ไม่ได้ตอบกลับ นางลบกำแพงอาคมสอดแนมในม่านพลังสกุลหลิงไปแล้ว คิดว่าคนผู้นี้จะต้องมองออกในแวบเดียว นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ไม่มีเหตุผลให้คนสอดแนมตามใจชอบ ไม่ต้องใจฝ่อไป
ไม่มีน้ำชารับแขก ทัศนคติของโม่เทียนเกอก็ไม่ได้กระตือรือร้น คนผู้นี้คาดว่าจะดูออกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้อนรับ ใบหน้าอิหลักอิเหลื่ออยู่บ้าง กระแอมคำหนึ่ง ถามเป็นครั้งที่สองว่า “ไม่ทราบสหายเต๋าเรียกขานว่าอันใด”
โม่เทียนเกอนิ่งไป ตอบว่า “จ้ายเซี่ยแซ่ฉิน นามคำเดียวว่าเวย” ไม่รู้เจตนาของคนผู้นี้อย่างชัดแจ้ง โม่เทียนเกอปลอมชื่อขึ้นมา ฉินเวย คำเดียวกับชิงเวย
“อ้อ ที่แท้เป็นสหายเต๋าฉิน” คนผู้นี้ไม่กังขาสักนิด ผงกศีรษะเอ่ยว่า “ถึงจะไม่ได้พบหน้ากันครั้งแรก แต่ครั้งที่แล้วท่านกับข้าทั้งสองคนล้วนปิดบังระดับการฝึกตน นับว่าไม่ได้รู้จัก ครั้งนี้ขอแนะนำตัวต่อสหายเต๋าฉินอย่างเป็นทางการ จ้ายเซี่ยหลิงอวิ๋นเฮ่อ เป็นผู้ฝึกตนของสกุลหลิงเมืองเทียนเสวี่ย แล้วก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักจิ่วเยี่ยน”
“สหายเต๋าหลิง นับถือมานาน” โม่เทียนเกอคำนับใหม่อีกครั้งอย่างสุภาพ ศักดิ์ฐานะของคนผู้นี้เมื่อครู่นางเดาได้โดยคร่าว ๆ แล้ว สกุลหลิงเป็นส่วนหนึ่งของสำนักจิ่วเยี่ยน ในเมื่อคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เช่นนั้นก็จะต้องเป็นผู้อาวุโสของสำนักจิ่วเยี่ยนแล้ว
หลิงอวิ๋นเฮ่อยังคำนับกลับ สายตาหยุดอยู่บนร่างนางครู่หนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “สหายเต๋าฉิน จ้ายเซี่ยมาเยือนกะทันหันบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ว่า สหายเต๋าโปรดวางใจ จ้ายเซี่ยนไม่ได้ประสงค์ร้ายเด็ดขาด”
ภายใต้สายตาอย่างนี้ของเขา โม่เทียนเกอตะลึงไป จู่ ๆ เข้าใจความหมายของเขา เขานึกว่านางเป็นสตรีตัวคนเดียว ดังนั้นมีความระแวงต่อบุรุษ?
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอยู่บ้าง ตอนอยู่ที่เทียนจี๋ แรกเริ่มเดิมทีนางเป็นสตรีที่ปลอมเป็นบุรุษ ภายหลังฟื้นฟูสู่เสื้อผ้าสตรี แต่กลับมีศักดิ์ฐานะศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหออีก ตลอดมาไม่มีคนจะจงใจอธิบายเพราะว่านางเป็นสตรี คิดไม่ถึงว่ามาถึงอวิ๋นจงกลับเจอกับสถานการณ์ประเภทนี้
นางขำอยู่ในใจ สำหรับหลิงอวิ๋นเฮ่อผู้นี้ก็มีความรู้สึกอันดีขึ้นมาโดยพลัน ไม่ว่าคนผู้นี้มาด้วยวัตถุประสงค์อันใด ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ศักดิ์ฐานะของนางยังรักษาความเคารพต่อนางอย่างเพียงพอ
คิดถึงตรงนี้ ใบหน้าโม่เทียนเกอเผยรอยยิ้ม กล่าวว่า “สหายเต๋าหลิงอย่าได้รู้สึกประหลาด ตอนที่พบหน้ากันครั้งแรก สหายเต๋าเป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังเล็ก ๆ ช่างไม่เหมือนกับวันนี้อย่างยิ่ง อีกอย่าง ท่านกับข้าไร้มิตรภาพ จู่ ๆ ถ่ายทอดเสียงมาพบปะ แล้วยังมองทะลุระดับการฝึกตนของจ้ายเซี่ย ดังนั้น……”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มพลางโบกมือ “เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้แซ่หลิงสามารถอธิบายต่อสหายเต๋าไปทีละอย่าง”
เขาหยุดชั่วครู่ กล่าวว่า “ขอบอกโดยไม่ปิดบัง วิชาเวทที่จ้ายเซี่ยฝึกมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อพลังวิญญาณอย่างฉับไวถึงสิบส่วน หากรอบบริเวณมีปราณแห่งสมบัติวิญญาณก็จะหนีไม่พ้นหูตาของจ้ายเซี่ยไปได้เลย วันนั้นพบสหายเต๋าฉิน จ้ายเซี่ยก็รู้สึกว่ารอบกายสหายเต๋ามีปราณแห่งสมบัติวิญญาณมากมาย คิดว่ามีสมบัติวิญญาณจำนวนมาก ปราณแห่งสมบัติวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้เป็นของผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ดังนั้นจ้ายเซี่ยคาดคะเนว่าสหายเต๋าจริง ๆ แล้วเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เพียงปกปิดระดับการฝึกตนเท่านั้น”
“อ้อ?” โม่เทียนเกอประหลาดใจ ในใจแอบครุ่นคิดว่าอวิ๋นจงถึงกับมีวิชาเวทอันแปลกประหลาดเยี่ยงนี้? ทักษะเก็บงำลมหายใจของนาง ภายใต้การช่วยเหลือของป้ายซ่อนวิญญาณ แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็มองทรัพย์สมบัติของนางไม่ทะลุ แต่วิชาเวทประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องมองทะลุทักษะเก็บงำลมหายใจของนางเลยก็สามารถคาดคะเนระดับการฝึกตนที่แท้จริงของนางออกแล้ว
“ดูท่าสหายเต๋าไม่เคยสัมผัสกับวิชาเวทประเภทนี้เลย” หลิวอวิ๋นเฮ่อยิ้มเอ่ย “นี่ก็ไม่ประหลาด วิชาเวทประเภทนี้เดิมทีเป็นสายรอง ทั่วทั้งอวิ๋นจงก็หาออกมาได้ไม่กี่ชุด”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” โม่เทียนเกอสงบสติลง “เช่นนั้นสหายเต๋าทำไมไม่แฉออกมาในวันนั้นเล่า”
หลิงอวิ๋นเฮ่อส่ายหน้าเอ่ยว่า “เหตุใดจะต้องแฉ ผู้ฝึกตนใต้หล้ามากขนาดนี้ พวกเราสกุลหลิงเพียงปล่อยเช่าถ้ำพำนักเท่านั้น ขอเพียงไม่ได้มีวัตถุประสงค์ต่อเมืองเทียนเสวี่ยต่อพวกเราสกุลหลิง มีความลับมากน้อยเท่าไหร่พวกเราล้วนไม่ใส่ใจ”
“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอยิ้มโดยไม่โต้แย้ง สถานการณ์แท้จริงย่อมไม่ได้เบาสบายอย่างที่หลิงอวิ๋นเฮ่อพูด ไม่อย่างนั้นสกุลหลิงเหตุใดจะต้องวางกำแพงอาคมสอดแนมในถ้ำพำนักเล่า ในผู้ฝึกตนเหล่านี้หากมีความลับอะไรที่สามารถมอบผลประโยชน์ให้สกุลหลิง พวกเขาจะต้องไม่กอดอกชมอยู่ด้านข้างเป็นพลเมืองดีอะไรแน่ แต่ว่าที่เขาพูดก็ไม่ผิด หากไม่เป็นภัยต่อเมืองเทียนเสวี่ยกับสกุลหลิง พวกเขาน่าจะไม่ไปบงการเรื่องของชาวบ้านชาวช่องอะไร
“ส่วนที่ว่าเหตุใจจ้ายเซี่ยถึงปกปิดระดับการฝึกตน……” หลิงอวิ๋นเฮ่อส่ายหน้า ใบหน้าเจือแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย “ไม่ปิดบังสหายเต๋าฉิน นี่กลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของสกุลหลิงข้ารวมถึงสำนักจิ่วเยี่ยน จ้ายเซี่ยถูกบังคับให้ปกปิดระดับการฝึกตน”
“อ้อ?” โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว
หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นนางใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทั้งไม่ได้แสดงออกทันทีว่าตนเองจะไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องของสำนักพวกเขา อีกทั้งไม่ได้ไล่ถาม ในใจมีความกระวนกระวายอยู่บ้าง
คิดถึงจุดประสงค์ที่ตนเองมา เขากัดฟัน เอ่ยตรง ๆ ว่า “คิดว่าสหายเต๋าจะต้องรู้ว่า สำนักจิ่วเยี่ยนข้าปัจจุบันนี้กำลังเผชิญกับการเลือกเจ้าสำนักที่ร้อยปีมีครั้ง และจ้ายเซี่ยก็พอดีเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเจ้าสำนักครั้งนี้”
“อ้อ” โม่เทียนเกอพยักหน้าเบา ๆ ที่แท้สหายเต๋าหลิงท่านนี้ไม่เพียงแต่ภูมิหลังไม่สามัญ อีกทั้งสถานภาพของเขาก็สำคัญยิ่งยวด
ถึงแม้ว่าในสำนักใหญ่ หัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดจึงจะเป็นศักดิ์ฐานะที่สำคัญที่สุด แต่ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ยังคงมิใช่คนทั่วไปจะสามารถนั่งได้ หัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดพูดโดยทั่วไปแล้วเป็นผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนสูงที่สุดในสำนัก แต่ว่า ก็เพราะอย่างนี้ พวกเขามักจะทุ่มเทจิตใจอยู่ที่การฝึกตน ไม่ออกจากถ้ำพำนักอย่างไร้สาเหตุ ดังนั้น พวกเขาก็จะตัดสินใจเวลาเผชิญกับเรื่องใหญ่ เรื่องในสำนักยามปกติล้วนเป็นเจ้าสำนักที่จัดการ
และตัวเลือกเจ้าสำนัก พรสวรรค์, ภูมิหลัง, สายสัมพันธ์, ความสามารถ ขาดไม่ได้สักสิ่ง เจ้าสำนักถึงอย่างไรเป็นใบหน้าที่เป็นตัวแทนของสำนักแห่งหนึ่ง ดังนั้นพรสวรรค์ไม่สามารถจะแย่จนเกินไป อย่างน้อยที่สุดต้องลงไม้ลงมือได้ และตำแหน่งนี้ยังมักจะเป็นผลของการถ่วงดุลอำนาจฝ่ายต่าง ๆ ในสำนัก ดังนั้นคนที่ไม่มีภูมิหลังจะต้องนั่งไม่ลง นอกจากนั้น เจ้าสำนักในยามปกติต้องจัดการธุระ หากไม่มีสายสัมพันธ์กับความสามารถ เช่นนั้นเจ้าสำนักคนนี้ก็เท่ากับเศษสวะแล้ว
สหายเต๋าหลิงผู้นี้ในเมื่อสามารถลงชื่อเป็นหนึ่งในตัวเลือกเจ้าสำนัก ดูท่าจะค่อนข้างไม่ธรรมดาเลย ไม่ได้เป็นพวกขี้เหล้าเหลวไหลอย่างตอนที่นางพบหน้าครั้งแรกโดยเด็ดขาด
เห็นโม่เทียนเกอใบหน้าสงบนิ่ง หลิงอวิ๋นเฮ่ออดไม่ได้ที่จะหดหู่ขึ้นมาบ้าง ระแวงอยู่บ้างว่าตนเองมาผิดที่แล้ว หากสหายเต๋าฉินท่านนี้ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจเรื่องของสำนักอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นก็เฉียบแหลมเกินไปแล้ว นางยิ่งสงบนิ่ง เขาก็ยิ่งตกเป็นฝ่ายรับ สรุปว่าจะพูดดีรึเปล่า เขาเริ่มลังเล
เขายังลังเลอยู่ กลับเป็นโม่เทียนเกอที่เอ่ยถามอย่างใจเย็นก่อนว่า “จุดประสงค์ที่สหายเต๋าหลิงมาหากับเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันหรือ”
………………………………
เจ้าสำนักกับอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเสวียนชิงเป็นตำแหน่งเดียวกันค่ะ