หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 363 – ก่อเกิดตานหนึ่งกลุ่ม
ตอนที่ 363 – ก่อเกิดตานหนึ่งกลุ่ม
มีชีวิตมาหนึ่งร้อยปีแล้ว ฝึกตนถึงระดับก่อเกิดตาน เคยพบเจอผู้ฝึกตนมามากมาย โม่เทียนเกอค้นพบจุดหนึ่ง : คนที่จิตแห่งเต๋ามั่นคง ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี พบกันแล้วจะเรียกขานว่า “สหายเต๋า” ส่วนคนที่พอพบหน้าก็เรียก “กูเหนียง” กว่าครึ่งสื่อความหมายถึงเรื่องระหว่างบุรุษสตรี อย่างเช่นจิ่งสิงจื่อ เขาเมื่อแรกพบผู้ฝึกตนสตรีกว่าครึ่งจะเรียกขานว่ากูเหนียง
ประมุขมารเสวียนเยว่คนนี้ ไม่เพียงปากเรียกกูเหนียง ทัศนคติยังเอาอกเอาใจ หากโม่เทียนเกอดูไม่ออกว่าเขามีเจตนาอื่นแอบแฝงก็คือแกล้งโง่แล้ว
แต่ว่า สถานการณ์ไม่แน่ชัด แกล้งโง่ไปก่อนก็ไม่เลว
“จ้ายเซี่ยฉินเวย ไม่ทราบสหายเต๋าเสวียนเยว่มีคำชี้แนะอันใด” เมื่อเผชิญกับคำถามของประมุขมารเสวียนเยว่ โม่เทียนเกอกล่าวอย่างเฉยเมย
“ที่แท้คือฉินกูเหนียง” ประมุขมารเสวียนเยว่แย้มยิ้มให้บาง ๆ “เมื่อพบปะแสดงว่ามีชะตาต้องกัน เมื่อครู่ล่วงเกินไป เปิ่นจวินอยากจะเชิญกูเหนียงเข้าไปนั่งข้างในถือเป็นการขอขมา ไม่ทราบกูเหนียงยินยอมจะให้เกียรติหรือไม่”
ในห้องข้างนั้นมีลมปราณของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่บ้างแข็งแกร่งบ้างอ่อนแอหลายคน เนื่องจากห้องข้างมีการตั้งม่านพลัง ประสาทสัมผัสจึงไม่ได้คมชัดมาก แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดมีห้าคนขึ้นไป เห็นได้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังชุมนุมกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้รู้จักกันมาก่อนหรือว่าเป็นอย่างพวกผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณสร้างฐานพลังในห้องโถงใหญ่ มาที่นี่พูดคุยแลกเปลี่ยนแล้วจึงได้รู้จักกัน หากเป็นอย่างหลัง นางเข้าไปก็ไม่มีอะไรให้เคร่งเครียด แต่หากเป็นอย่างแรกก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว
ระหว่างที่กำลังลังเล สายตาจู่ ๆ กวาดมองผู้รับใช้รอบด้าน ผู้ฝึกตนระดับต่ำที่มีเพียงระดับหลอมรวมพลังวิญญาณเหล่านี้กำลังมองดูพวกเขาเนื้อตัวสั่นเทา นางคิด ๆ ดู ยิ้มแล้วเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อสหายเต๋าเสวียนเยว่เชื้อเชิญอย่างจริงใจ เช่นนั้นจ้ายเซี่ยก็ไม่ปฏิเสธแล้ว”
ได้ยินวาจานี้ ใบหน้าเย้ายวนของประมุขมารเสวียนเยว่เผยรอยยิ้ม เบี่ยงกายหันข้าง “ฉินกูเหนียงเชิญ”
โม่เทียนเกอยิ้มแย้ม เก็บพัดแห่งสวรรค์และโลกาไว้ในแขนเสื้อ เดินอาด ๆ เข้าไปในห้องข้าง กลัวอะไร? ที่นี่คือโรงน้ำชาของสกุลหลิงเมืองเทียนเสวี่ย จะดีจะชั่วสกุลหลิงก็เป็นตระกูลใหญ่ที่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ หรือว่าคนอื่นยังจะกล้ามาก่อกวนที่นี่? อีกอย่าง นางคิดว่าตนเองไม่ได้ฝีมืออ่อนด้อย ก่อนหน้านี้ได้รับสมบัติวิญญาณมากขนาดนั้นจากโม่เหยาชิง ชำระเสร็จสิ้นหมดแล้ว เรื่องการป้องกันตัวยังมีความมั่นใจนิดหน่อย
เข้าไปในห้องข้าง โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคนที่ตกลงบนร่างตนเองทันที นางกวาดสายตาหนึ่งรอบ เห็นเพียงตรงกลางห้องข้างตั้งโต๊ะกลมขนาดใหญ่มากหนึ่งตัว รอบโต๊ะทั้งใกล้ไกลนั่งไว้ด้วยผู้ฝึกตนหกคน ล้วนมีระดับก่อเกิดตาน ในนั้นห้าคนก่อเกิดตานขั้นต้น หนึ่งคนก่อเกิดตานขั้นกลาง นับรวมประมุขมารเสวียนเยว่ ก่อเกิดตานขั้นปลายก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
พอเห็นนาง ใบหน้าของหลายคนเผยแววประหลาดใจ ไม่รู้ว่าตกตะลึงความอ่อนวัยของนางหรือว่าระดับการฝึกตนของนาง
“ท่านนี้ก็คือสหายเต๋าฉิน?” บทสนทนาของโม่เทียนเกอกับประมุขมารเสวียนเยว่เมื่อครู่นี้ คนเหล่านี้ล้วนได้ยินแล้ว ขณะนี้บัณฑิตขงจื้อวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ลุกขึ้นมา กุมมือถามอย่างสุภาพถึงสิบส่วน
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ คำนับให้ “ใช่แล้ว” นางกลอกตา กุมมือวนไปรอบ ๆ ถือเป็นการคำนับ
คนอื่น ๆ เห็นดังนี้แล้วก็ไม่กล้าเพิกเฉย พากันลุกขึ้นคำนับกลับ
โม่เทียนเกอในขณะนี้จิตใจสงบนิ่งลงแล้ว คนเหล่านี้ บัณฑิตชุดขงจื้อก็มี ภิกษุศีรษะล้านก็มี แม่ชีเต๋างดงามก็มี ที่ดูคล้ายสายอธรรมก็มี แต่งตัวแตกต่างไม่เหมือนกันเลย น่าจะไม่ใช่พวกเดียวกัน – ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมากขนาดนี้ หากจะบอกว่าพวกเขาล้วนเป็นพวกพ้องก็น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว
“สหายเต๋าฉิน เสี่ยวเซิน* หานซื่อจือ อาจารย์สอนหนังสือสำนักศึกษาเยว่ซานอาณาจักรหนานโจว ยินดีที่ได้พบ” นี่คือบัณฑิตชุดขงจื้อที่ทักทายนางแรกสุด เขาเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางเพียงหนึ่งเดียว
“ผินเซิง** ฉายาทางธรรมหยวนคง ผู้ควบคุมวัดเตาหลิน” ภิกษุผู้นี้ถึงจะดูดุดัน ท่าทีกลับสุภาพมีมารยาท
“ผินเต้า*** ชิงอวิ๋นจื่อ ผู้ฝึกตนอิสระ” นี่คือพรตเต๋าวัยกลางคน เครายาวสามชุ่น มีท่วงท่าเซียนกระดูกเต๋ายิ่งนัก
“ผู้น้อยแซ่หยาง หยางเฉิงจี” ผู้ที่เอ่ยวาจานี้เป็นผู้ฝึกมารที่ชุดคลุมสีดำปกปิดทั้งร่าง ปราณมารทั่วกายเปิดเผยยิ่ง
“จ้ายเซี่ย ยงหรูอวี้ นี่คือซือเม่ยข้าฉิวเฉิงรั่ว พวกเราล้วนเป็นผู้ฝึกตนสำนักตานเสีย ยินดีที่ได้พบสหายเต๋าฉิน”
พอได้ยินคำว่าสำนักตานเสียสามคำ โม่เทียนเกอแววตาสว่างสดใสขึ้นมา สายตาจับไปบนร่างศิษย์พี่ศิษย์น้อยคู่นี้ สองคนนั้นล้วนแต่งชุดเต๋าทั้งตัว บุรุษอายุสามสิบกว่าปี สตรีอ่อนวัยกว่าหน่อย ทั้งคู่อยู่ก่อเกิดตานขั้นต้น
“ที่แท้สองท่านเป็นผู้ฝึกตนสำนักตานเสีย” นางจิตใจพลิกไปมา คำนับให้ทั้งสองคนอีกครั้งทันที
ทัศนคติที่นางมีต่อศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักตานเสียนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ยงหรูอวี้ไม่เข้าใจ อดถามมิได้ว่า “สหายเต๋าฉิน หรือว่าท่านรู้จักกับศิษย์ร่วมสำนักตานเสียของข้า”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “ไม่ได้รู้จัก แต่ว่า บรรพบุรุษของจ้ายเซี่ยกับสำนักตานเสียมีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง”
“อ้อ?” ฉินเฉิงรั่วนั้นสอดคำพูด ถามว่า “ไม่ทราบสหายเต๋าฉินกับสำนักตานเสียข้ามีความเกี่ยวข้องอันใด”
สายตาของโม่เทียนเกอกวาดมองฉิวเฉิงรั่วที่กุมมือของยงหรูอวี้อย่างจงใจทว่าเหมือนไร้เจตนาอย่างเฉยเมย ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ปิดบังทุกท่าน จ้ายเซี่ยมิใช่ชาวอวิ๋นจง เพียงแต่ว่าบรรพบุรุษเมื่อพันปีก่อนกลับเป็นคนอวิ๋นจง ในอดีตเคยได้ยินมาว่าตอนที่บรรพบุรุษอยู่อวิ๋นจงเคยได้รับพระคุณของสำนักตานเสีย”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” ยงหรูอวี้กับฉิวเฉิงรั่วสบตากัน ไม่ได้พูดอะไรมากความ ถึงจะบอกว่าสำนักตานเสียตอนนี้อยู่ขาลง แต่จะพูดอย่างไรก็เป็นสำนักใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายพันปีแล้ว เรื่องประเภทนี้ปกติสามัญเกินไปแล้ว
เพียงแต่ประมุขมารเสวียนเยว่นั่นกลับกล่าวอย่างสนอกสนใจมากว่า “ที่แท้ฉินกูเหนียงมิใช่ชาวอวิ๋นจง ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด ในอดีตเหตุใดบรรพบุรุษจึงไปจากอวิ๋นจงเล่า เท่าที่เปิ่นจวินรู้ ทรัพยากรในการฝึกเซียนของโพ้นทะเลเทียบกับดินแดนอวิ๋นจงไม่ได้เลย!”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “จ้ายเซี่ยเพียงมีชีวิตมาร้อยกว่าปี เรื่องเป็นพันปีก่อนจะรู้อย่างกระจ่างชัดขนาดนั้นได้ที่ไหนกันเล่า เพียงแค่ว่าบรรพบุรุษถ่ายทอดถ้อยคำมานิดหน่อย รู้ประวัติความเป็นมาโดยคร่าว ๆ เท่านั้น”
“สหายเต๋าฉินพูดอย่างนี้ก็มีเหตุผล” นักศึกษาขงจื้อวัยกลางคนหานซื่อจือลูบหนวดยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ในเมื่อบรรพบุรุษของสหายเต๋าก็เป็นชาวอวิ๋นจง เช่นนั้นสหายเต๋าฉินก็ถือว่าเป็นคนอวิ๋นจงแล้ว ไม่ทราบสหายเต๋าฉินกลับจากโพ้นทะเลมาอวิ๋นจงเพื่อเสาะหารากเหง้าหรือ”
“มิผิด” โม่เทียนเกอมองยงหรูอวี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนแวบหนึ่ง พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “จ้ายเซี่ยได้ยินเรื่องของอวิ๋นจงมาแต่เล็ก ตั้งหลายปีขนาดนี้ยังไม่เคยเห็น ตั้งตาคอยที่จะมาท่องเที่ยวอวิ๋นจงสักรอบมาโดยตลอด วันนี้ในที่สุดก็สมปรารถนาแล้ว”
“ฮา ๆ เช่นนี้นับว่ามีชะตาร่วมกับพวกเรา” หานซื่อจือหัวเราะใหญ่ เอ่ยว่า “สหายเต๋าฉิน เชิญนั่งเร็ว ให้สหายเต๋ายืนอยู่ตลอดช่างไร้มารยาทเกินไปแล้ว!”
โม่เทียนเกอยังคงใบหน้าเปื้อนยิ้ม กุมมือโค้งน้อย ๆ ให้ทั้งเจ็ดคนโดยรอบ เลือกที่นั่งนั่งลงอย่างมั่นใจ
“สหายเต๋าฉิน” คนที่พูดครั้งนี้คือชิงอวิ๋นจื่อ เทียบกับหานซื่อจือแล้ว ทัศนคติของเขาเจือความแปลกแยกอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ฝึกตนอิสระมาโดยตลอด ขณะนี้เขาสำรวจมองโม่เทียนเกออย่างตั้งใจ เอ่ยปากถามว่า “ในเมื่อสหายเต๋าอยู่ระดับก่อเกิดตานขั้นกลาง เหตุใดกลับต้องการปลอมเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังเล่า หากมิใช่บนตัวสหายเต๋าเสวียนเยว่มีทักษะลับ พวกเราคงจะคลาดกับสหายเต๋าไปแล้ว”
ได้ยินประโยคคำถามนี้ สายตาของทั้งเจ็ดคนล้วนตกลงบนตัวนาง โม่เทียนเกอรู้ว่า ถึงพวกเขาจะเชิญนางเข้ามาอย่างเกรงอกเกรงใจ แล้วยังคำนับทักทายนาง แต่จิตใจระแวงยังมีอยู่
นางไม่ลนลาน ยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “ขอบอกอย่างไม่ปิดบัง ถึงบรรพบุรุษของจ้ายเซี่ยล้วนมาจากอวิ๋นจง แต่เป็นพันปีมาแล้วที่แทบจะไม่มีบรรพบุรุษคนอื่นเหยียบย่างมาที่นี่ ดังนั้นสำหรับอวิ๋นจง ข้าไม่รู้อะไรสักนิดเลย! ก่อนที่จะออกท่องเที่ยวครานี้ ท่านอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่านึกว่ามีระดับการฝึกตนนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วจะสามารถอาละวาดอย่างไร้ความเกรงกลัว อวิ๋นจงมีอัจฉริยะล้นหลาม ผู้ฝึกตนแต่ละคนความแข็งแกร่งไม่สามัญ อย่าได้อาศัยว่าตนเองมีอาวุธเวทนิดหน่อยแล้วจะไปกระทบกระทั่งกับผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ จ้ายเซียนมาถึงอวิ๋นจงแล้ว การใช้ชีวิตไม่ได้คุ้นเคย ก็เลยไม่กล้าเปิดเผยระดับการฝึกตนง่าย ๆ”
วาจาประดานี้ของนางครึ่งจริงครึ่งเท็จ ก่อนที่จะจากมา ประมุขเต๋าจิ้งเหอเคยย้ำเตือนนางจริง ๆ ว่าไปยังอวิ๋นจงอันไกลโพ้นแล้วจะต้องระมัดระวังรอบคอบ แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอเดิมก็เป็นคนที่ฉูดฉาด คำพูดที่ว่าห้ามกระทบกระทั่งอะไรนั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเอ่ยถึงเลย
แต่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานในที่นี่กลับไม่ทราบ เพียงรู้สึกว่าคำพูดของโม่เทียนเกอสมเหตุสมผล อีกทั้งในคำพูดของนางแฝงความหมายยกย่องอวิ๋นจง ทุกคนล้วนฟังออก แต่ละคนล้วนรู้สึกเบิกบานถึงสิบส่วน จิตใจระแวงเล็กน้อยที่มีต่อนางก็ปล่อยไปแล้ว
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ สหายเต๋าฉินช่างมีพฤติกรรมที่รอบคอบโดยแท้ แต่ว่า อันที่จริงไม่ได้จำเป็นเลย ผู้ฝึกตนของอวิ๋นจงเราไม่ว่าจะเป็นเต๋าเป็นขงจื้อเป็นพุทธเป็นมาร ไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำใหญ่หลวงเลย ตลอดมานี้เป็นคนไม่ตอแยข้า ข้าไม่ตอแยคน ขอเพียงสหายเต๋าฉินไม่ได้ละเมิดเรื่องต้องห้ามอะไร พวกเราจะไม่แสดงความเป็นศัตรูต่อคนอื่นส่งเดช”
โม่เทียนเกอยิ้มอย่างลุแก่โทษ “เมื่อครู่พูดคุยกับสหายน้อยคนหนึ่งในโถงใหญ่มาพักหนึ่ง จ้ายเซี่ยก็เข้าใจจุดนี้แล้ว เพียงคาดไม่ถึงว่าก่อนจะออกไปจะถึงกับถูกสหายเต๋าเสวียนเยว่มองทะลุการปกปิด พูดถึงเรื่องนี้ ข้าใคร่รู้ถึงสิบส่วน ไม่ใช่ว่าจะโอ้อวดตนเอง ทักษะเก็บงำลมหายใจของข้านี้เป็นสิ่งที่สืบทอดมา แม้แต่ผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่จำเป็นว่าจะสามารถมองทะลุ เหตุใดสหายเต๋าเสวียนเยว่มองทีเดียวก็รู้ระดับการฝึกตนอันแท้จริงของข้าเล่า”
จุดนี้เป็นเรื่องที่โม่เทียนเกอประหลาดใจจริง ๆ หลิงอวิ๋นเฮ่อก็ช่างเถอะ ที่จริงเขาเพียงคาดเดาจากปราณของสมบัติวิญญาณบนตัวนางว่านางมิใช่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามองทะลุจริง ๆ แต่ประมุขมารเสวียนเยว่กลับไม่เหมือนกัน จิตหยั่งรู้ของเขากล้าแข็งมาก เทียบกับนางที่ฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณแล้วยังกล้าแข็งกว่า คล้ายกับว่ามองระดับการฝึกตนของนางออกตรง ๆ นี่ไม่ธรรมดาเลย ต้องรู้ว่า ป้ายซ่อนวิญญาณแผ่นนั้นของนางผ่านการชำระของผู้อาวุโสแปลงเทพมาแล้ว จงมู่หลิงยิ่งระบุอย่างชัดเจนว่ามีป้ายซ่อนวิญญาณบนตัว ถึงนางอยากจะปลอมเป็นปุถุชนก็ไม่มีปัญหา ไม่มีเหตุผลที่ผู้ฝึกมารระดับก่อเกิดตานคนหนึ่งจะมองทะลุได้อย่างง่ายดาย!
ประมุขมารเสวียนเยว่ที่หลังกลับห้องข้างก็นั่งอยู่มุมโต๊ะจิบชามาโดยตลอดยิ้มอย่างอ่อนโยน สายตาวนบนตัวโม่เทียนเกอหนึ่งรอบ เอื้อมมือไปลูบผมของตนเองให้เรียบอย่างหลงตัวเอง เสร็จแล้วจึงกล่าวว่า “นี่มีอะไรที่น่าประหลาดใจเล่า ฉินกูเหนียงเป็นผู้ฝึกเต๋า ไม่เข้าใจเรื่องของพวกเราผู้ฝึกมาร พวกเราผู้ฝึกตนสายอธรรมแต่ละคนจะมีทักษะลับจำนวนหนึ่ง ต่างจากพวกท่านผู้ฝึกเต๋าอย่างใหญ่หลวง ท่านอยู่ในโถงใหญ่นานขนาดนั้น เปิ่นจวินสัมผัสไม่ได้มาโดยตลอด แต่ว่า ก่อนจะไป ท่านปล่อยจิตหยั่งรู้ของท่านอย่างไม่ระงับยับยั้งโดยไม่ตั้งใจ และจิตหยั่งรู้ก็เผอิญเป็นหัวข้อที่เปิ่นจวินเชี่ยวชาญที่สุด…… ฮา ๆ ดังนั้น เปิ่นจวินก็เลยสัมผัสได้”
วาจาเหล่านี้ พูดไปเหมือนไม่ได้พูด แต่โม่เทียนเกอก็รู้ว่ามีทักษะลับบางอย่างที่เป็นสิ่งที่ไม่ได้ร่ำลือสู่ภายนอกเลย แม้แต่ผู้ฝึกตนสายอธรรมก็เหมือนกัน แต่ว่า อย่างน้อยนางรู้แล้วว่าตนเองละเลยอะไร ประมุขมารเสวียนเยว่เอ่ยถึงจิตหยั่งรู้ นี่ทำให้นางตระหนักว่าตนเองมีความทะนงตนอย่างผิด ๆ ว่าจิตหยั่งรู้เหนือคน ดังนั้นปล่อยไปอย่างไม่ระงับยับยั้งโดยไร้เจตนา
เมื่อครู่ก่อนที่จะจากไป นางเพียงกวาดจิตหยั่งรู้ไปทั้งโรงน้ำชาด้วยความเคยชินเท่านั้น หากเป็นคนอื่นจะสัมผัสไม่ได้เลย เผอิญว่าจิตหยั่งรู้ของประมุขมารเสวียนเยว่น่าทึ่งนัก จับนางได้ ดูท่า นางยังต้องระมัดระวังรอบคอบมากกว่านี้หน่อย ถึงจะมีป้ายซ่อนวิญญาณ เรื่องอื่น ๆ ก็ต้องทำอย่างไร้ข้อผิดพลาดถึงจะได้
…………………………….
*เสี่ยวเซิน (小生) นักศึกษาน้อย คำเรียกตัวอย่างถ่อมตนของบัณฑิต
** ผินเซิง (贫僧) ภิกษุยากไร้ คำเรียกตัวอย่างถ่อมตนของพระ
*** ผินเต้า (贫道) พรตเต๋ายากไร้ คำเรียกตัวอย่างถ่อมตนของนักพรตเต๋า