หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 365 – กระบี่ฝูเซิง
ตอนที่ 365 – กระบี่ฝูเซิง
กระบี่ของเมื่อหลายหมื่นปีก่อน คงอยู่ที่แดนมารซึ่งผู้ฝึกตนสายอธรรมใช้ชีวิตมาหลายหมื่นปี เป็นไปไม่ได้ที่จะครบถ้วนสมบูรณ์ จุดนี้ยงหรูอวี้ชิงอวิ๋นจื่อก็เข้าใจ เพียงแต่ ได้ยินวาจานี้ของประมุขมารเสวียนเยว่ พวกเขายังคงผิดหวังอย่างปิดไม่มิด
นี่เป็นกระบี่ประจำกายของฝูเหยาจื่อเลยนะ ทุกวันนี้ยังคงมีพลังสภาวะเยี่ยงนี้ รู้ได้ว่าปีนั้นจะทรงพลังน่าทึ่งเช่นไร
แน่นอนว่า หากมิใช่ถูกปราณมารกัดกร่อนจนกลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่ถึงตาพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน จะถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เห็นเข้าตาไปตั้งเนิ่นนานแล้ว
คิดได้ถึงจุดนี้ สีหน้าบนใบหน้าของทั้งสองคนล้วนกลับมาเป็นปกติขึ้นมาบ้าง
ชิงอวิ๋นจื่อจ้องมองกระบี่เล่มนี้ ถามอย่างรอบคอบว่า “สหายเต๋าเสวียนเยว่ ไม่ทราบกระบี่นี้ท่านต้องการแลกกับสิ่งของอะไร หากเป็นศิลาวิญญาณ ต้องมากน้อยเท่าใด”
ประมุขมารเสวียนเยว่เล่นกับศิลาวิญญาณที่เพิ่งจะแลกมา เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “พวกข้าผู้ฝึกมารกับพวกท่านเหล่าผู้ฝึกตนสายธรรมะไม่เหมือนกัน สิ่งของอย่างศิลาวิญญาณนี้ พวกเราต้องใช้เวทแห่งจิตแบบพิเศษจึงสามารถดูดซับมาใช้งาน ยามปกติเพียงใช้เป็นเงินเท่านั้น ดังนั้น แลกกับศิลาวิญญาณก็ไม่ต้องแล้ว พวกท่านดูว่ามีสิ่งของอะไรเหมาะสมกับผู้ฝึกมารก็โยนออกมาเถอะ”
เขาพูดวาจาประดานี้จบ ชิงอวิ๋นจื่อยงหรูอวี้สองคนล้วนมีสีหน้าปั้นยาก สิ่งของของผู้ฝึกมารหาได้ไม่ง่าย ถึงอย่างไรพลังวิญญาณฟ้าดินเป็นเอก การฝึกตนของผู้ฝึกตนสายอธรรม แรกเริ่มเดิมทีก็ใช้พลังวิญญาณ ถึงตอนหลัง ผู้ฝึกตนรวมตัวฝึกตนในที่แห่งหนึ่ง ปราณมารเต็มเปี่ยม จึงได้กลายสภาพเป็นแดนมาร สิ่งของที่ผู้ฝึกมารสามารถใช้ได้ตรง ๆ มักจะงอกเงยขึ้นมาที่แดนมารทั้งสิ้น แดนมารของอวิ๋นจงไม่ได้มากเลย ก็คือสถานที่เฉพาะตัวบางแห่งของอาณาจักรเป่ยหลินเท่านั้น แดนมารเล็ก ๆ ทรัพยากรเดิมทีก็ไม่ได้อุดมสมบูรณ์มาก หากมีก็ถูกผู้ฝึกมารท้องถิ่นคว้าไปแต่แรกแล้ว พวกเขาสองคนล้วนเป็นผู้ฝึกเต๋าโดยบริสุทธิ์ จะไปหาสิ่งของเกี่ยวกับผู้ฝึกมารจากที่ไหน
ประมุขมารเสวียนเยว่เห็นได้ชัดว่ารู้ถึงความยากลำบากของพวกเขา แต่เขาไม่ได้ล่าถอยเลย หยิบกระบี่ฝูเซิงที่แม้แต่ด้ามยังขึ้นสนิมเล่มนั้นขึ้นมา เหล่มองทั้งสองคนหนึ่งแวบ แล้วมองไปทางโม่เทียนเกอ “ฉินกูเหนียงก็เป็นพรตผู้ฝึกเต๋า กับกระบี่ฝูเซิงเล่มนี้มีความสนใจหรือไม่”
โม่เทียนเกอมองดูยงหรูอวี้ชิงอวิ๋นจื่อสองคนแวบหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “ความสนใจย่อมต้องมี เพียงแต่ กระบี่นี้สหายเต๋ายงกับสหายเต๋าชิงอวิ๋นรู้สึกสนใจอย่างยิ่ง ข้าเพิ่งมาใหม่ จะแย่งของดีกับผู้คนได้อย่างไร” หยุดครู่หนึ่ง เอ่ยอีกว่า “อีกอย่าง วัตถุของผู้ฝึกมารหาได้ยากโดยแท้ เกรงแต่ว่าสิ่งของบนตัวจ้ายเซี่ย สหายเต๋าเสวียนเยว่ไม่เห็นในสายตา”
ประมุขมารเสวียนเยว่ยิ้ม เอ่ยว่า “อะไรกันเล่า เห็นหรือไม่เห็นในสายตา ข้าพูดจึงจะนับ ฉินกูเหนียงในเมื่อเข้าร่วมงานชุมนุมค้าขายของพวกเรา ย่อมจะมีคุณสมบัติแลกเปลี่ยนสิ่งของ สหายเต๋าทั้งสอง พวกท่านว่าใช่หรือไม่”
ประมุขมารเสวียนเยว่เป็นก่อเกิดตานขั้นปลาย ยงหรูอวี้และชิงอวิ๋นจื่อสองคนแค่ก่อเกิดตานขึ้นต้น อยู่เบื้องหน้าเขายังจะกล้าแสดงทัศนคติแข็งกร้าวได้อย่างไร แล้วอีกอย่าง ที่ประมุขมารเสวียนเยว่พูดเดิมทีก็มีเหตุผล งานชุมนุมค้าขายก็คือการแลกเปลี่ยนโดยอิสระ ขึ้นอยู่กับความชมชอบของเจ้าของวัตถุโดยสิ้นเชิง
เห็นทั้งสองคนพยักหน้า ประมุขมารเสวียนเยว่จึงยิ้ม “เอาล่ะ ฉินกูเหนียงมีสิ่งของอะไร สามารถหยิบออกมาให้ชมดู”
โม่เทียนเกอลังเลนิดหน่อย สุดท้ายยังคงล้วงสิ่งของออกมาจากอกเสื้อ นางเคยเข้าภูเขามาร ภูเขามารแห่งนั้นเคยเป็นสนามรบที่ธรรมะกับอธรรมสู้รบกัน หลงเหลือสมบัติของสายอธรรมสายอธรรมนับไม่ถ้วน ถึงส่วนใหญ่จะถูกคนรุ่นก่อนเก็บไปแล้ว แต่สถานที่ซึ่งปราณมารผสมผสานแห่งนั้นย่อมมีสิ่งของที่พิเศษจำนวนหนึ่งเสมอ นางเก็บกระเป๋าเอกภพของคนมากมายที่นั้น ฉินซีไม่ได้สนใจอะไรกับสิ่งของพวกนี้ แทบจะเข้ากระเป๋านางไปทั้งหมด ในนี้มีของเล่นอันพิสดารที่ก่อเกิดขึ้นเองจากภูเขามารจำนวนหนึ่ง เพียงแต่ นางมีความเข้าใจต่อผู้ฝึกมารไม่มาก ก็ไม่รู้ว่าของพวกนี้จะมีประโยชน์หรือไม่ ประมุขมารเสวียนเยว่จะเห็นในสายตาหรือไม่
เห็นนางล้วงกระเป๋าเอกภพหนึ่งใบจากในอกเสื้อ หยิบสิ่งของออกมาทีละชิ้น ๆ ประมุขมารเสวียนเยว่แรกเริ่มสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ คงจะไม่เห็นสิ่งของเหล่านี้ในสายตา แต่พร้อมกับที่สิ่งของซึ่งโม่เทียนเกอหยิบออกมายิ่งมายิ่งมาก สีหน้าของประมุขมารเสวียนเยว่ค่อย ๆ กลายเป็นประหลาดใจอยู่บ้าง จนกระทั่งนางหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งออกมา จู่ ๆ ลุกขึ้นพรวด
โม่เทียนเกอหยุดลง สิ่งที่นางหยิบออกมาขณะนี้เป็นกล่องหยกหนึ่งใบ ภายในบรรจุดอกไม้เล็ก ๆ สีดำหนึ่งดอก นางไม่รู้เลยว่าวัตถุนี้เป็นอะไร เพียงรู้สึกว่าปราณมารเข้มข้นยิ่ง นางดูสีหน้าของประมุขมารเสวียนเยว่ รู้สึกว่าวัตถุนี้น่จะเป็นสมบัติอะไร จึงสามารถทำให้ผู้ฝึกมารระดับก่อเกิดตานคนหนึ่งตกตะลึงเช่นนี้ ถึงขนาดที่ว่า หยางเฉินจีผู้ฝึกมารอีกคนหนึ่งที่เพียงนั่งอยู่ในมุมด้านข้างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงมาตลอดยังขยับร่างกาย สายตาจับจ้องบนมือของนางเขม็ง
“วัตถุนี้……สหายเต๋าเสวียนเยว่ชมชอบหรือไม่”
ประมุขมารเสวียนเยว่ระบายลมหายใจออกมาคำหนึ่ง ฟื้นฟูสีหน้าเย้ายวนหลงตัวเองช้า ๆ เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ดอกไม้นี้ชื่อว่ารวมมาร มีเพียงสถานที่ซึ่งปราณมาณควบแน่นเต็มเปี่ยมถึงสิบส่วนจึงจะสามารถงอกเงย ดอกนี้ในมือฉินกูเหนียงอย่างน้อยที่สุดมีอายุสองพันปีขึ้นไป เพียงพอที่จะแลกกับกระบี่ฝูเซิงนี้แล้ว”
โม่เทียนเกอพยักหน้า เผยรอยยิ้มออกมา “โชคดี หากยังไม่สำเร็จ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ยอมแพ้แล้ว สหายเต๋าเสวียนเยว่พูดเช่นนี้ก็เต็มใจจะใช้กระบี่ฝูเซิงมาแลกกับดอกรวมมารดอกนี้แล้วกระมัง”
“แน่นอน” ประมุขมารเสวียนเยว่โยนกระบี่ฝูเซิงในมือให้นางง่าย ๆ “กระบี่นี้เป็นของกูเหนียงแล้ว”
โม่เทียนเกอปิดกล่องหยก ขว้างให้ประมุขมารเสวียนเยว่เช่นกัน สองคนต่างคนต่างยืนยันว่าไม่ผิดพลาด การแลกเปลี่ยนเสร็จสมบูรณ์
เห็นดังนี้แล้ว ยงหรูอวี้กับชิงอวิ๋นจื่อล้วนถอนหายใจคำหนึ่ง สหายเต๋าฉินท่านนี้ก็เป็นผู้ฝึกเต๋า ในเมื่อได้ยินที่มาของกระบี่ฝูเซิง ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไป พวกเขาสองคนนับว่าสูญเสียโอกาสกับกระบี่ฝูเซิงไปแล้ว
หลังจากประมุขมารเสวียนเยว่กับโม่เทียนเกอแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น หยางเฉิงจีที่ไม่พูดไม่จามาโดยตลอดจู่ ๆ อ้าปากขึ้นมา ขัดขวางการเก็บสิ่งของของโม่เทียนเกอ “สหายเต๋าฉิน สิ่งของเหล่านี้ของท่านล้วนเป็นวัตถุของผู้ฝึกมาร ล้วนเต็มใจจะแลกเปลี่ยนไหม”
โม่เทียนเกอยิ้มเอ่ยว่า “นี่ย่อมแน่นอน ข้าเป็นผู้ฝึกเต๋า สิ่งของนี้มีประโยชน์อะไรเล่า”
หยางเฉิงจีครุ่นคิดชั่วขณะ เปิดกระเป๋าเอกภพ โยนสิ่งของออกมาหลายอย่าง “เช่นนั้นสหายเต๋าฉินลองดู สิ่งของเหล่านี้จำเป็นหรือไม่”
โม่เทียนเกอดูอย่างจดจ่อ สิ่งของที่หยางเฉิงจีโยนลงบนโต๊ะล้วนเป็นแกนปีศาจ ในนี้ขั้นห้าขั้นหกเป็นส่วนใหญ่ มีขั้นหกมากเป็นสิบกว่าก้อน
นี่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกเหนือคาดอยู่บ้าง หยางเฉิงจีเพียงมีระดับก่อเกิดตานขั้นต้น ถึงกับมีแกนปีศาจขั้นห้าขั้นหกมากมายเช่นนี้ ดูท่าฝีมือค่อนข้างไม่สามัญ แต่ก่อนเคยได้ยินว่า ผู้ฝึกตนสายอธรรมถึงจะจิตมารเข้าแทรกได้ง่าย ความสามารถในการต่อสู้กลับกล้าแข็งกว่าผู้ฝึกตนสายธรรมะร่วมระดับ นางเดิมทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง วันนี้เห็นหยางเฉิงจีหยิบแกนปีศาจมากขนาดนี้ออกมาได้อย่างสบาย ๆ คงจะเป็นความจริงเสียเกินครึ่งแล้ว
แกนปีศาจเหล่านี้ทำให้คนอื่น ๆ อิจฉายิ่ง แม้แต่หานซื่อจื่อยังถอนหายใจชมเชยหลายคำ แกนปีศาจเป็นสิ่งของที่ไม่ได้แบ่งแยกธรรมะอธรรม ไม่ว่าผู้ฝึกตนสายธรรมะหรือว่าผู้ฝึกตนสายอธรรมล้วนสามารถใช้ประโยชน์ สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ สายธรรมะโดยมากใช้หลอมโอสถ สายอธรรมโดยมากกลืนกินโดยตรง
โม่เทียนเกอกลับยุ่งยากใจอยู่บ้าง มิใช่ว่านางไม่อยากได้แกนปีศาจเหล่านี้ แกนปีศาจเทียบเท่ากับโอสถ นางยังได้เรียนรู้วิธีการใช้แกนปีศาจโดยตรงแล้ว มีมากอีกแค่ไหนก็ใช้หมด แต่ปัญหาคือ นางไม่ได้ทราบมูลค่าของวัตถุผู้ฝึกมารเหล่านี้ในมือตนเองอย่างแน่ชัด ไม่รู้ว่าควรจะแลกอย่างไร
นางคิดแล้วเอ่ยว่า “ไม่ทราบสหายเต๋าหยางอยากจะแลกอะไร”
ใบหน้าใต้หมวกคลุมของหยางเฉิงจีมองเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “มูลค่าของแกนปีศาจของข้าเหล่านี้ สหายเต๋าฉินน่าจะทราบ เพียงพอที่จะแลกกับสิ่งของส่วนใหญ่บนโต๊ะแล้ว หากสหายเต๋าฉินไว้ใจข้าก็หวังว่าจะให้ข้าเลือกเองเป็นอย่างไร”
โม่เทียนเกอเพียงครุ่นคิดพริบตาเดียว ยิ้มตอบไปว่า “ได้”
หยางเฉิงจีพยักหน้า “ขอบคุณมาก” ว่าแล้ว โบกมือหนึ่งที วัตถุบนโต๊ะคล้ายกับถูกดึงดูด บินไปทางเขาทีละชิ้น ๆ รอจนสิ่งของส่วนใหญ่ไปถึงฝั่งเขาแล้ว เขาผลักมือ ปัดแกนปีศาจบนโต๊ะไปทางโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอรับไปทั้งหมด เพียงมองดูความบริสุทธิ์ของแกนปีศาจเล็กน้อยแล้วโยนเข้ากระเป๋าเอกภพ จากนั้นเก็บของที่เหลือบนโต๊ะ
หลังจากแลกเปลี่ยนรอบนี้สิ้นสุด เหตุการณ์นิ่งเงียบกันไปสักพัก เป็นเพราะว่าสิ่งของที่ประมุขมารเสวียนเยว่หยิบออกมาช่างน่าทึ่งจริง ๆ ผู้คนด้านหลังไม่อาจปลุกสติขึ้นมาแลกเปลี่ยนไปดื้อ ๆ
สุดท้ายยังเป็นประมุขมารเสวียนเยว่ทำลายสถานการณ์ที่เงียบงัน เขามองไปทางโม่เทียนเกอคล้ายไม่ใส่ใจถามว่า “เปิ่นจวินเห็นว่าฉินกูเหนียงเป็นผู้ฝึกเต๋าโดยบริสุทธิ์ เหตุใดบนตัวมีวัตถุที่ผู้ฝึกมารใช้มาขนาดนี้เล่า หรือว่าบ้านเกิดของกูเหนียงก็เป็นแดนมาร”
โม่เทียนเกอยิ้มอย่างเฉยเมย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “สหายเต๋าเสวียนเยว่เมื่อรู้ว่าข้าเป็นผู้ฝึกเต๋าโดยบริสุทธิ์ แล้วยังจะมีชีวิตอยู่ที่แดนมารได้อย่างไรเล่า เพียงแต่เคยเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกมารไม่กี่คน ได้รับมาจากพวกเขาก็เท่านั้น”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” ความหมายในวาจานี้ของนางคือ สิ่งของเหล่านี้แล้วนเป็นนางฆ่าล้างผู้ฝึกมารได้รับมา สิ่งของในมือนางถึงจะมาก แต่ยุ่งเหยิงยิ่งนัก มูลค่าทั้งหมดไม่ได้สูงมาก หากพูดว่าเป็นมูลค่าของผู้ฝึกมารคนสองคนก็น่าเชื่อถือ
บนทวีปอวิ๋นจงทุกวันนี้ไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่ธรรมะอธรรมไม่อาจอยู่ร่วมกันตั้งนานแล้ว ดังนั้นได้ยินวาจานี้ของนาง ประมุขมารเสวียนเยว่และหยางเฉิงจีล้วนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร
ได้รับสมบัติที่ตนเองพึงพอใจแล้ว ประมุขมารเสวียนเยว่มีความสุขยิ่ง หยีตาจ้องมองคนอื่น ๆ เอ่ยว่า “เอาล่ะ ฉินกูเหนียงกับพวกเราแลกเปลี่ยนกันเสร็จแล้ว ถัดไปสหายเต๋าท่านไหนจะแลกเปลี่ยน”
เงียบงันไปชั่วขณะ เพียงได้ยินภิกษุหยวนคงร้องเรียกพระพุทธองค์คำหนึ่ง “อมิตาพุทธ ผินเซิงมีสิ่งของอยากแลกเปลี่ยน”
ประมุขมารเสวียนเยว่แม้แต่วาจายังขี้เกียจจะพูด เพียงโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาหยิบสิ่งของออกมา
ภิกษุหยวนคงก็ไม่ได้พูดไร้สาระ หยิบกล่องหยกหนึ่งใบออกมาตรง ๆ แล้วเปิดออก ทันใดนั้น ทั่วทั้งห้องเกิดประกายแสงเจ็ดสีบาดนัยน์ตาพุ่งออกมาจากกล่อง
“บัวจิตหยกเจ็ดสี!” มีเสียงอุทาน กลับเป็นเสียงอุทานของหานซื่อจือ
โม่เทียนเกอยังคงไม่รู้จักวัตถุนี้แม้แต่น้อยนิด แต่ว่า เห็นท่าทางของวัตถุนี้ที่พลังวิญญาณเปี่ยมล้น นางก็รู้ว่าวัตถุนี้เป็นวัตถุวิญญาณที่หายากถึงสิบส่วน อย่าว่าแต่สีหน้าของหานซื่อจือที่ตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้
“ประสกหานตาดีนัก ก็คือบัวจิตหยกเจ็ดสี” ภิกษุหยวนคงยิ้มบาง ๆ ถึงเขาจะหน้าตาอัปลักษณ์ ดูแล้วค่อนข้างโหดเหี้ยม เวลายิ้มขึ้นมากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อันมีเมตตาชนิดหนึ่ง นี่ก็คือลักษณะพุทธที่เรียกกันหรือ โม่เทียนเกอแอบคิดกับตัวเอง
“หยวนคงต้าซืออยากแลกอะไร” ผู้พูดกลับเป็นฉิวเฉิงรั่ว นางจ้องบัวจิตหยกเจ็ดสี แววตาวิบวับ ตั้งแต่ที่โม่เทียนเกอเข้าห้องมา แม่ชีเต๋าผู้งดงามนางนี้เพิ่งจะแสดงท่าทีของผู้ฝึกเต๋าเป็นครั้งแรก มิใช่ภรรยาที่ตรวจตราสามีอย่างเข้มงวด
ภิกษุหยวนคงยังคงยิ้มบาง ๆ พูดอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ประสกฉิว ผินเซิงเพิ่งจะพูดไป ปีแรก ๆ ผินเซิงปาณาติบาต* หนักหนา ทุกวันนี้มารกิเลสรังควาน การฝึกตนยากจะคืบหน้าสักชุ่น ด้วยเหตุนี้ อยากจะเอาวัตถุนี้แลกกับวัตถุที่ลบล้างปาณาติบาตไปขจัดมารกิเลส ไม่ทราบประสกมีหรือไม่”
…………………………………….
*ปาณาติบาตหมายถึงบาปของการเข่นฆ่าค่ะ เห็นเป็นพระเลยอยากแปลเป็นศัพท์ทางพุทธสักหน่อย แต่ก็กลัวคนอ่านไม่รู้เลยขอโน้ตไว้นิดหนึ่ง ปล. เราเองก็ไม่รู้ศัพท์ เพิ่งจะกูเกิ้ลหาเอา
ต้าซือ = ไต้ซือ