หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 367 – ผลประโยชน์
ตอนที่ 367 – ผลประโยชน์
โม่เทียนเกอมองดูสีหน้าของหลิวอวิ๋นเฮ่อในขณะนี้ ไม่แน่ใจความสัมพันธ์ของเขากับหานซื่อจืออยู่บ้าง
พวกเขาสองคนพอพบกันก็จดจำกันได้ เห็นได้ว่าเป็นคนรู้จักเก่าก่อน และในคำพูดคำจาก็มีความรู้จักมักคุ้น คล้ายกับเข้าใจสถานการณ์ของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจนถึงสิบส่วน ดูแล้วรู้จักกันมานาน ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งไม่เหมือนศัตรู ยิ่งไม่เหมือนมิตรสหาย ล้วนมีความหวั่นเกรงอย่างลึกซึ้งต่อแต่ละฝ่าย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นศัตรูกันเลย
แต่ว่า ในเมื่อหลิงอวิ๋นเฮ่อช่วยนาง สำหรับตอนนี้ย่อมจะไม่ใช่ศัตรูของนาง
“ที่แท้เป็นสหายเต๋าหลิง” โม่เทียนเกอยิ้มขึ้นมาโดยเร็ว “ขอบคุณสหายเต๋าหลิงมากที่ช่วยข้า”
หลิงอวิ๋นเฮ่อเก็บสายตากลับมา โบกมือให้นาง “เมื่อครู่ถึงผู้แซ่หลิงไม่ได้ลงมือ สหายเต๋าฉินก็ไม่ได้จะแพ้ต่อคนแซ่หานนั่น สหายเต๋าฉินไยต้องเอ่ยขอบคุณเล่า”
ได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกอยิ้ม มีความรู้สึกดี ๆ ต่อหลิงอวิ๋นเฮ่อนี้เพิ่มอีกหนึ่งส่วน
ความแข็งแกร่งของหานซื่อจือผู้นั้นถึงจะไม่สามัญ แต่นางเชื่อมั่นในตนเองว่าจะไม่แพ้ แต่ว่า หลิงอวิ๋นเฮ่อลงมือขู่เขาไปกลับประหยัดเรี่ยวแรงของนางไม่น้อย ถึงอย่างไรหานซื่อจือผู้นี้ไม่ใช่มืออ่อนหัด สู้กันจริง ๆ ขึ้นมา ยากมากที่นางจะไร้รอยขีดข่วน
สิ่งที่หายากที่สุดคือ หลิงอวิ๋นเฮ่อช่วยนางแต่ไม่ได้อวดความดีความชอบเลย จากจุดนี้ เขาเป็นคนที่ชาญฉลาด ไม่ได้ช่วยโดยหวังผลตอบแทน กลับทำให้โม่เทียนเกอเกิดความรู้สึกที่ดีต่อเขา เช่นนี้แล้ว เรื่องของหุบเขาไร้กังวล นางเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องครุ่นคิดเพิ่มขึ้นหน่อย
“สหายเต๋าหลิงเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่หรือ” โม่เทียนเกอเอ่ย “หรือว่าดึกดื่นแล้วนอนไม่หลับ ออกมาเดินเล่น?”
วาจานี้นางพูดไปด้วยรอยยิ้ม ล้วนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ไหนเลยยังจะต้องนอนหลับ หลิงอวิ๋นเฮ่อพอฟังก็รู้ว่านางกำลังล้อเล่น
เขาก็ยิ้มแล้ว แต่กลับเอ่ยว่า “หากมิใช่ผู้ฝึกตนไม่ต้องนอน ข้าก็นอนไม่หลับจริง ๆ”
โม่เทียนเกอคิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบอย่างนี้ นางตะลึงไป เดาได้ว่าจุดมุ่งหมายเขาคืออะไรจึงลังเลอยู่บ้าง เมื่อครู่หลิงอวิ๋นเฮ่อช่วยเหลือนาง เดิมนางควรจะแสดงความห่วงใยหน่อย แต่หากนางพูดตามน้ำต่อไปย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกี่ยวพันกับเรื่องลับของสกุลหลิง นางมาที่อวิ๋นจง อยากจะรับทราบวิธีการของอวิ๋นจง ผูกมิตรกับผู้ฝึกตนของอวิ๋นจง แต่ไม่ได้อยากจะมีส่วนร่วมกับบุญคุณความแค้นเหล่านี้
ในเมื่อสามารถจะเป็นตัวเลือกเจ้าสำนัก หลิงอวิ๋นเฮ่อย่อมมีจิตใจละเอียดอ่อนเฉียบแหลมมาทั้งชีวิต พอเห็นสีหน้านางก็คิดได้ถึงสาเหตุ เขายิ้มอย่างไม่อินังขังขอบ หันเหหัวเรื่องไปว่า “สหายเต๋าฉินเหตุใดไปตอแยหานซื่อจือผู้นั้นได้เล่า คนผู้นี้เป็นศาสตราจารย์ของสำนักศึกษาเยว่ซานอาณาจักรหนานโจว มีชื่อว่าฝีมืออำมหิต ซ่อนดาบในรอยยิ้ม สหายเต๋าฉินถึงจะมีฝีมือไม่สามัญ แต่ไม่แน่ว่าจะป้องกันการลอบโจมตีในความมืดของคนผู้นี้อยู่”
“จริงหรือ” ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ โม่เทียนเกอเกิดความใคร่รู้นิดหน่อยต่อหานซื่อจือ “ตามที่จ้ายเซี่ยทราบมา ผู้ฝึกตนสายขงจื่อโดยมากจะฝึกปรือสภาวะจิตใจ เหตุใดหานซื่อจือนี้กลับมีนิสัยเช่นนี้เล่า”
หลิงอวิ๋นเฮ่อส่ายหน้า ถอนหายใจเบา ๆ กล่าวว่า “หานซื่อจือผู้นี้ ถึงจะบอกว่าจิตใจอำมหิต ด้านการฝึกตนกลับเป็นอัจฉริยะ เขาชอบเดินไปทางนอกรีต เผอิญว่าด้านการศึกษาคัมภีร์ขงจื่อเก่งกาจมาก สิ่งที่เขาฝึกเป็นวิชาฝึกจิตแนวขงจื่อ แต่เป็นวิชาฝึกจิตที่เขาวิจัยด้วยตนเองแล้วสร้างขึ้นมาเอง”
“อะไรนะ” โม่เทียนเกอได้ยินแล้วตะลึงงัน “เขาแค่ก่อเกิดตานก็สามารถสร้างวิชาเวทเองได้แล้วหรือ” ไม่แปลกที่นางจะตะลึงงันเช่นนี้ การสร้างวิชาเวทมิใช่เรื่องที่เรียบง่ายขนาดนั้น วิชาเวทที่หลงเหลือบนโลกฝึกเซียนทุกวันนี้ ไม่เป็นวิชาเวทที่หลงเหลือมาจากยุคโบราณกาลแล้วประยุกต์ได้สำเร็จ ก็เป็นการค้นคว้าต่อเติมของสำนักใหญ่สักแห่งมาหลายรุ่น ซ่อมเสริมทีละนิดจนสำเร็จ ยังมีส่วนหนึ่งที่ถึงจะเป็นวิชาเวทที่ผู้ฝึกตนคนเดียวสร้างขึ้นมา แต่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นไม่มีใครมิใช่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แต่ละคนล้วนเป็นอัจฉริยะอันโดดเด่นแห่งยุค ทุกวันนี้พลังวิญญาณฟ้าดินขาดแคลน วิชาเวทมากมายล้วนฝึกไปไม่ถึงระดับสุดยอด พลังวิญญาณที่เหล่าผู้ฝึกตนใช้เทียบไม่ได้กับผู้ฝึกตนโบราณโดยเด็ดขาด ความยากของการสร้างวิชาเวทเองไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะสามารถข้องเกี่ยวได้จริง ๆ
หลิงอวิ๋นเฮ่อเข้าใจความตกตะลึงของโม่เทียนเกอมาก เขายิ้มอย่างจนใจมาก เอ่ยว่า “ดังนั้น เขาเป็นอัจฉริยะ” เหมือนกับว่าพูดหัวข้อนี้กระตุ้นให้อยากคุย หลิงอวิ๋นเฮ่อกล่าวต่อว่า “สหายเต๋าฉินมิใช่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจง อาจจะไม่เข้าใจสถานการณ์ของอวิ๋นจงมากนัก อาณาจักรหนานโจวนั้นเป็นดินแดนของผู้ฝึกพุทธกับผู้ฝึกขงจื่อ สำนักศึกษาเยว่ซานยิ่งเป็นสำนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรหนานโจว สามารถกลายเป็นศาสตราจารย์ที่สำนักศึกษานี้ ไม่ใช่แค่เพียงระดับการฝึกตนสูงเท่านั้นหรอกนะ”
“อ้อ? จ้ายเซี่ยไม่ได้สัมผัสกับผู้ฝึกขงจื่อสักเท่าไหร่จริง ๆ ไม่ทราบสถานการณ์ของสำนักศึกษาอย่างแน่ชัดเลย หรือว่าศาสตราจารย์มิใช่ฉายานามของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานพวกเขา”
“ย่อมมิใช่” ในจุดนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อส่ายหน้า “ที่อาณาจักรหนานโจว สำนักศึกษาก็คือสำนักของผู้ฝึกขงจื่อ ศิษย์ผู้ฝึกขงจื่อหลอมรวมพลังวิญญาณทั่วไปก็คือนักเรียนที่ขั้นต่ำสุดของสำนักศึกษา สร้างฐานพลังแล้วก็สามารถกลายเป็นผู้รู้หนังสือ ก่อเกิดตานก็คือผู้ช่วยสอน หลังจิตวิญญาณใหม่จึงเป็นศาสตราจารย์”
โม่เทียนเกอได้ยินแล้วก็อึ้งไป “หานซื่อจื่อเป็นเพียงก่อเกิดตานกลับเป็นศาสตราจารย์แล้ว……”
“มิผิด” หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มบาง ๆ “มีเพียงอัจฉริยะที่ได้รับการยอมรับจำนวนหนึ่ง ทำคุณประโยชน์ให้สำนักศึกษา จึงจะได้รับการอวยยศขั้นสูง เหตุที่หานซื่อจื่อเพียงแค่ก่อเกิดตานก็เป็นศาสตราจารย์แล้วก็เพราะว่าเขาสร้างวิชาฝึกจิตหนึ่งชุดให้สำนักศึกษาเยว่ซาน”
ได้ฟังเหตุผลแล้ว โม่เทียนเกอถอนหายใจเอ่ยว่า “อวิ๋นจงผู้มีพรสวรรค์คลาคล่ำตามคาด” ไม่พูดถึงคนอื่น หลาย ๆ คนที่นางได้พบในวันนี้ล้วนค่อนข้างจะไม่สามัญ ประมุขมารเสวียนเยว่จิตหยั่งรู้น่าทึ่ง หานซื่อจือถึงกับเป็นอัจฉริยะเช่นนี้ หยางเฉิงจีที่นิ่งเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่ที่งานชุมนุมค้าขายสามารถหยิบแกนปีศาจมากขนาดนั้นออกมาอย่างสบาย ๆ ส่วนหลิงอวิ๋นเฮ่อที่อยู่เบื้องหน้า ดูที่เขาลงมือเมื่อครู่ก็รู้ว่าความแข็งแกร่งไม่สามัญ ก็ไม่รู้ว่าหยวนคง, ชิงอวิ๋นจื่อ, สองศิษย์พี่ศิษย์น้องยงหรูอวี้ก็มีฝีมืออันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือไม่
สายตาของหลิงอวิ๋นเฮ่อกลับตกอยู่บนร่างโม่เทียนเกอ ชี้ไปที่จุดอื่นว่า “สหายเต๋าฉินไยจะต้องทอดถอนชมเชยผู้อื่น เมื่อครู่ท่านปะทะกับหานซื่อจือไม่ได้ตกเป็นรองเลยสักนิด ความแข็งแกร่งระดับนี้ ที่อวิ๋นจงก็เป็นยอดฝีมือขึ้นทำเนียบแล้ว” พูดถึงตรงนี้ เขายิ้มบาง ๆ “ผู้แซ่หลิงไม่ได้ดูคนผิดจริง ๆ”
ได้รับคำชมเชยของหลิงอวิ๋นเฮ่อ โม่เทียนเกอเพียงยิ้ม ๆ
ใต้แสงจันทร์ ทั้งสองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจู่ ๆ ถามว่า “สหายเต๋าหลิง หุบเขาไร้กังวลนั้นที่ท่านพูดเมื่อตอนกลางเป็นเป็นเรื่องราวใด”
พอได้ยินคำถาม หลิงอวิ๋นเฮ่อสีหน้าตื่นตระหนกชั่วขณะแล้วจึงมีปฏิกิริยาขึ้นมา ใบหน้าเจือแววยินดี “สหายเต๋าฉินเต็มใจจะตอบรับคำเชิญของผู้แซ่หลิงไปที่นั่นแล้วหรือ”
โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “อันนี้ค่อยว่ากัน……”
ไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด หลิงอวิ๋นเฮ่อกลับไม่ได้ผิดหวัง ฟื้นคืนสู่ความสงบนิ่งโดยเร็ว สายตากวาดไปรอบด้าน ยิ้มเอ่ยว่า “พูดที่นี่หรือ”
โม่เทียนเกอตะลึงไป แล้วขออภัยว่า “กลับเป็นข้าที่ไม่ถูก หากไม่ถือสา สหายเต๋าหลิงไปนั่งที่ถ้ำพำนักเล็ก ๆ ของข้าเป็นอย่างไร”
หลิงอวิ๋นเฮ่อก็ไม่เกรงใจ พยักหน้าอย่างมีความสุข “มีความคิดนี้อยู่พอดี”
…………..
โม่เทียนเกอไร้วาจาอยู่บ้าง คนคนนี้……ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจโดยแท้ เปลี่ยนเป็นคนอื่น ถึงจะตอบรับทันทีก็ควรจะเอ่ยเกรงอกเกรงใจสักคำสองคำรึเปล่า
แต่ว่า เห็นอย่างนี้แล้ว เขาเป็นคนที่จิตใจเปิดกว้าง ส่วนโม่เทียนเกอก็ชื่นชอบการสังสรรค์กับคนประเภทนี้พอดี การพูดจากับคนประเภทนี้ เนื่องจากเขาชาญฉลาดพอ ดังนั้นไม่เหนื่อยมาก เนื่องจากเขาจิตใจกว้างขวางพอ ไม่ต้องคาดเดาส่งเดช ความรู้สึกชนิดนี้ทำให้นางคิดถึงฉินซี ตอนที่เขายังเป็น “ฉินซือเกอ” ถึงจะมีความลับมากมาย แต่ก็ชาญฉลาดและจิตใจกว้างขวางเยี่ยงนี้
จู่ ๆ นางคิดถึงฉินซีขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าเขากักตนราบรื่นหรือไม่
“สหายเต๋าฉิน?” เพิ่งจะก้าวเดินก็เห็นโม่เทียนเกอยังคงยืนอยู่ที่เดิม หลิงอวิ๋นเฮ่อหันศีรษะมาเรียกอย่างกังขา
“อ๊ะ!” โม่เทียนเกอได้สติกลับมา ตบหน้าผากตนเอง เผยรอยยิ้มให้เขา “เชิญ”
ทั้งสองคนไร้สุ้มเสียงไปตลอดทาง เดินไปจนถึงถ้ำพำนักเล็ก ๆ ที่โม่เทียนเกอพำนักชั่วคราว
ถ้ำพำนักนี้ถึงจะพลังวิญญาณงั้น ๆ การตกแต่งกลับไม่เลว ศิลาแสงจันทร์ส่องแสง สว่างไสวดุจกลางวัน
ครั้งนี้ โม่เทียนเกอรินชาต้อนรับให้เขาอย่างสุภาพมาก
หลิงอวิ๋นเฮ่อพึงพอใจยิ่ง นี่แสดงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนใกล้ชิดกันไปอีกก้าวหนึ่งแล้วสินะ?
จิบชาแล้ว หลิงอวิ๋นเฮ่ออ้าปากอีกรอบว่า “สหายเต๋าฉิน สาเหตุที่ท่านตอแยหานซื่อจือ ข้าไม่คิดที่จะสอดรู้ แต่ว่า ฟังคำแนะนำของผู้แซ่หลิงสักประโยค จากนี้จะต้องระมัดระวังทุกเรื่องราว คนคนนี้จิตใจคับแคบ รักหน้าตาถึงสิบส่วน มาสะดุดหัวทิ่มที่ตัวท่านก็จะต้องเอาคืน ครั้งนี้เขาดูเบาท่าน ครั้งหน้าอาจจะไม่ได้โชคดีขนาดนี้แล้ว”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ พยักหน้า “ขอบคุณสหายเต๋าหลิงมากที่เตือน ข้าจะระวังตัว”
หลิงอวิ๋นเฮ่อกลอกตา ยิ้มเอ่ยต่อไปอีกว่า “แต่ว่า หากสหายเต๋าฉินเต็มใจจะช่วยผู้แซ่หลิงในธุระนี้ เรื่องของหานซื่อจือในวันหน้า ผู้แซ่หลิงจะต้องแก้ไขแทนสหายเต๋าฉินแน่นอน”
โม่เทียนเกออึ้งไป คิดถึงศักดิ์ฐานะของหลิงอวิ๋นเฮ่อ จู่ ๆ เข้าใจขึ้นมา ถึงศักดิ์ฐานะที่อาณาจักรหนานโจวของหานซื่อจือจะไม่สามัญ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเยี่ยนสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของอวิ๋นจง มีโอกาสเยอะมากที่จะกลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเยี่ยน มีเขาช่วยเหลือ เรื่องของหานซื่อจือย่อมไม่ต้องกังวลใจ
นางจิตใจสั่นคลอน เลิกคิ้วยิ้มถามว่า “สหายเต๋าหลิง สมมติว่าข้าตอบรับเรื่องนี้ เต็มใจจะไปหุบเขาไร้กังวลกับท่าน ท่านเต็มใจจะมอบผลประโยชน์อะไรให้ข้า”
นางถามมาตรง ๆ หลิงอวิ๋นเฮ่อกลับดีใจถึงสิบส่วน “สมมติว่าสหายเต๋าฉินเต็มใจจะช่วยเหลือ มีอะไรที่ต้องการ ขอเพียงผู้แซ่หลิงสามารถกระทำก็จะช่วยเหลือ”
โม่เทียนเกอเพ่งมองเขา ถามต่อว่า “หากข้าต้องการเล่มเต็มของวิชาเวทหนึ่งอย่างจากสำนักตานเสียเล่า”
หลิงอวิ๋นเฮ่อพอฟังก็ตะลึง “วิชาเวท?”
ในเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว โม่เทียนเกอก็เลยเล่าออกไปว่า “มิผิด ข้าก็จะไม่ปิดบังสหายเต๋าหลิง จ้ายเซี่ยมาอวิ๋นจงครั้งนี้เป็นคำสั่งของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ให้เอาวิชาเวทหนึ่งอย่างจากสำนักตานเสีย แต่ว่า สหายเต๋าหลิงก็รู้ วิชาเวทขั้นสูง ใครเขาจะเต็มใจมอบให้คนอื่นส่งเดชเล่า จ้ายเซี่ยมาที่อวิ๋นจง ไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิต ไร้มิตรภาพต่อสำนักตานเสียสักนิดเดียว ปวดหัวยิ่งนัก”
“จริงหรือ” หลิงอวิ๋นเฮ่องึมงำเบา ๆ เหลือบมองโม่เทียนเกออย่างครุ่นคิดหลายแวบ “คิดว่าวิชาเวทที่สหายเต๋าฉินพูดถึงจะต้องมิใช่วิชาเวททั่วไปอะไรกระมัง?”
“……ใช่เลย” โม่เทียนเกอยิ้มขม “พูดตามตรง สำหรับเรื่องนี้ในใจจ้ายเซี่ยไม่มีเงื่อนงำสักนิด รู้สึกว่าไม่สำเร็จเสียเกินครึ่ง แต่ว่า นี่เป็นคำสั่งของผู้อาวุโส ไม่อาจไม่กระทำ”
“บอกมาก่อนเถอะว่าสิ่งที่สหายเต๋าต้องการเป็นวิชาเวทอะไร” หลิงอวิ๋นเฮ่อครุ่นติดชั่วขณะ จ้องมองนางเอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าผู้แซ่หลิงจะมีหนทางจริง ๆ”
“คือ……ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์” โม่เทียนเกอพูดคำสามคำออกมาช้า ๆ เงยหน้ามองหลิงอวิ๋นเฮ่อ “ไม่ทราบสหายเต๋าหลิงเคยได้ยินหรือไม่”
“ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์……” หลิงอวิ๋นเฮ่อท่องพึมพำ คล้ายกับคิดทบทวน จู่ ๆ สายตาจ้องมองโม่เทียนเกอย่างแหลมคม “ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ที่ผู้ฝึกตนสตรีอินบริสุทธิ์ฝึกน่ะหรือ?!”
“มิผิด” สีหน้าโม่เทียนเกอยังคงสงบนิ่ง “หลายพันปีก่อน บรรพบุรุษข้าเป็นผู้ฝึกตนอวิ๋นจง เคยได้ยินมาว่า สำนักตานเสียมีศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ที่ผู้ฝึกตนสตรีร่างอินบริสุทธิ์ฝึกกันหนึ่งเล่ม”
……………………………….