หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 368 – กฎเกณฑ์โลกมนุษย์
ตอนที่ 368 – กฎเกณฑ์โลกมนุษย์
เป็นระยะเวลาหนึ่งที่คนทั้งสองล้วนไม่พูดไม่จา ตกลงไปในความเงียบสงบ
หลิงอวิ๋นเฮ่อถือถ้วยชา มองดูนางหลายที ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดยังอดถามมิได้ว่า “ขอบังอาจถามสหายเต๋าฉิน ท่านอยากได้วิชาเวทนี้มีประโยชน์อันใด” พูดจบรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เสริมไปอีกประโยคว่า “หากไม่สะดวกไม่ตอบก็ได้”
โม่เทียนเกอเหลือบมองเขาอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแวบหนึ่ง ส่ายหน้าเบา ๆ “ขออภัย คำถามข้อนี้ไม่สะดวกจะตอบจริง ๆ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อฟังแล้วพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร เขาก็แค่พลั้งปากถาม ไม่ได้คาดว่าจะได้รับคำตอบ คำถามข้อนี้ใครจะตอบเล่า ร่างอินบริสุทธิ์ บนโลกนี้หากมีผู้ฝึกตนสตรีร่างอินบริสุทธิ์สักคนจะสร้างคลื่นลมลูกใหญ่ขนาดไหนไปทั่วทั้งอวิ๋นจง ไม่เอ่ยถึงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่พวกนั้น พวกเขาที่ไปถึงจุดสูงสุดของผู้ฝึกตนบนโลกทุกวันนี้แล้วอาจจะไม่มีความคิดอ่านอะไร แต่อย่างพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานกลับจะไม่ปล่อยวางเป็นอันขาด แม้แต่ตัวเขาเอง คิดถึงจุดนี้ก็จิตใจเต้นกระหน่ำ นานพักใหญ่จึงจะสะกดลงไปได้
แต่ว่า เขากลับไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปคิดถึงบนศีรษะโม่เทียนเกอ ผู้ฝึกตนสตรีร่างอินบริสุทธิ์จะเดินท่องไปบนโลกตามใจชอบได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดออกมาตรง ๆ เยี่ยงนี้ หากเขารู้ว่าไม่ได้มีเพียงโม่เทียนเกอที่ทำอย่างนี้ หลายพันปีก่อนยังมีโม่เหยาชิงหนึ่งคนที่อาละวาดอยู่ในอวิ๋นจง เกรงแต่ว่าจะตะลึงจนกรามค้างแล้ว พูดในแง่มุมหนึ่ง โม่เทียนเกอไม่เพียงสืบทอดร่างอินบริสุทธิ์ของโม่เหยาชิง ยังมีความกล้าของนางด้วย
โยนความคิดนี้ไปในส่วนลึกของสมอง หลิงอวิ๋นเฮ่อคิดโดยละเอียด กล่าวว่า “หากสหายเต๋าฉินยืนยันแน่ว่าวิชาเวทนี้อยู่ที่สำนักตานเสีย ผู้แซ่หลิงสามารถคิดหนทางเอามาได้จริง ๆ”
ได้รับคำตอบที่แน่ชัด โม่เทียนเกอแววตาสว่างไสว เอ่ยทันทีว่า “ถ้าหากว่าสหายเต๋าหลิงเต็มใจจะช่วยธุระนี้ เรื่องของหุบเขาไร้กังวล จ้ายเซี่ยย่อมทำอย่างสุดกำลัง”
หลิงอวิ๋นเฮ่อตะลึงไป เผยความยินดีออกมา “ดี เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้!”
จากนั้น หลิงอวิ๋นเฮ่อคุยเรื่องหุบเขาไร้กังวล เก็บรายละเอียดทั้งเล็กทั้งใหญ่โดยไม่ทิ้งขว้างสักนิด
ก่อนหน้านี้โม่เทียนเกอไม่เคยรับปาก การพูดของหลิงอวิ๋นเฮ่อย่อมต้องเก็บงำอยู่สามส่วน ครั้งนี้ในเมื่อกลายเป็นพันธมิตรแล้วจริง ๆ เช่นนั้นมีบางเรื่องที่ต้องเปิดอกซื่อสัตย์
หุบเขาไร้กังวลไม่ได้เรียบง่ายเลย ที่นั่นเป็นแดนสุขาวดีของสมัยอวิ๋นจงโบราณกาลไม่แปลกปลอม แต่ทุกวันนี้ก่อเกิดไอพิษชั่วร้ายตั้งนานแล้ว เข้าไปไม่ง่ายเลย ข้างในยิ่งมีอสูรมารโบราณอันพิสดารจำนวนหนึ่ง ถึงพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องห้าหกคนจึงจะสามารถฆ่าฟันเข้าไป นี่ก็คือสาเหตุที่หลิงอวิ๋นเฮ่อต้องการเชิญนาง
แต่ว่า ฟังหลิงอวิ๋นเฮ่อพูดอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอตระหนักแล้วว่าอันที่จริงตนเองไม่ได้ขาดทุนเลยสักนิด เพราะว่าหุบเขาไร้กังวลที่ตั้งซ่อนเร้น ผู้ฝึกตนของอวิ๋นจงก็มิใช่ว่าอยากไปก็สามารถไป ในนั้นถึงจะมีไอพิษชั่วร้ายก่อเกิด แต่ก็มีของดีที่ตกทอดมาจากยุคโบราณกาลจำนวนหนึ่ง ขอเพียงสามารถได้มาสักชิ้นก็ไม่ขาดทุนแล้ว
สำหรับผลไร้กังวลที่หลิงอวิ๋นเฮ่ออยากได้ สิ่งนี้โม่เทียนเกอไม่ได้ละโมบเลย นางมีมุกดึงวิญญาณ โอสถก็ไม่ขาดแคลน ถึงจะเทียบประสิทธิผลของผลไร้กังวลไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ห่างกันมากเกินไป
หากช่วยหลิงอวิ๋นเฮ่อเอาผลไร้กังวลมาได้ เช่นนั้นไม่เพียงเรื่องของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ไม่ต้องกังวลใจ แม้แต่หานซื่อจื่อผู้เป็นศัตรูที่ผูกความแค้นอย่างไม่ได้ตั้งใจก็มีหลิงอวิ๋นเฮ่อช่วยนางคลี่คลาย
พูดได้ว่า การแลกเปลี่ยนหนนี้ขอเพียงไม่โชคร้ายจนเกินไป นางจะกำไรอย่างมั่นคง
หลังจากตอบตกลงคร่าว ๆ แล้ว หลิงอวิ๋นเฮ่อนัดคุยกับนางทีหลังแล้วจากไป
โม่เทียนเกออยู่ข้างนอกพักหนึ่ง ฟื้นฟูม่านพลังป้องกันกลับขึ้นมา เข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
เพิ่งจะเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แสงสีทองสายหนึ่งโถมเข้ามา “เจ้านาย!”
เสียงอันอ่อนเยาว์ ไม่ต้องพูดโม่เทียนเกอก็รู้ นี่คือเฟยเฟย
แต่นางก็รู้ว่าเฟยเฟยในตอนนี้ไม่ใช่เฟยเฟยแต่ก่อน แต่ก่อนการโถมเข้ามานั้นเป็นการทำตัวเป็นเด็ก ตอนนี้……แปดส่วนคือมาป่วน
ดังนั้นนางกอดไปตามน้ำแล้วโยนมันไปฝั่งตรงข้าม – เฝยเฝยตัวนี้อ้างตนเป็นอสูรเทพ เทียบกับนางแล้วยังเสพสุขกว่า จะต้องนั่งบนเบาะ โยนลงพื้นส่ง ๆ อย่างแต่ก่อนจะต้องประท้วงแน่
“ข้าบอกเจ้าเลยนะ อยากได้ยาฟ้ากระจ่างน่ะไม่มี เจ้านึกว่าเป็นลูกอมหรือ กินส่งเดชแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร”
เฟยเฟยกลิ้งตัวตรงหน้านาง หมอบลงบนเบาะ ยกหัวขึ้น “ใครบอกว่าข้าต้องการยาฟ้ากระจ่าง? ข้าไม่ได้โง่นะ ครั้งที่แล้วยังกินไม่เสร็จเลย!”
โม่เทียนเกอเหล่มองมันแวบหนึ่ง รินชาให้ตนเอง – อันที่จริงเฟยเฟยตื่นรู้ขึ้นมาก็มิใช่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่นตอนนี้ต้มชาอะไรล้วนไม่ต้องให้นางทำเอง หุ่นเชิดหินสลักสองตัวนั้นไม่มีความตระหนักรู้ ต้มชาดี ๆ อย่างนี้ไม่เป็น อีกอย่าง มีคนคุยเล่นเป็นเพื่อนนางแล้ว เฟยเฟยเฉลียวฉลาดพอ พูดอะไรล้วนเข้าใจ แล้วยังออกความเห็นให้นาง
อืมม์ ชาหอมอบอวลไปถึงในจิตใจ อสูรเทพก็คืออสูรเทพ รู้จักเสพสุขจริง ๆ
“เช่นนั้นเจ้าอยากจะทำอะไร”
“ทักทายไม่ได้หรือ” เฟยเฟยกะพริบดวงตากลมโต การกระทำอย่างนี้ของมันเมื่อก่อนน่ารักถึงสิบส่วน แต่ว่าตอนนี้ โม่เทียนเกอเพียงรู้สึกว่าหลอกลวง จู่ ๆ นางคิดถึงเฟยเฟยตัวก่อนขึ้นมาบ้าง ถึงจะกินอย่างเดียวไม่หุงหา แต่จะดีจะร้ายก็ยังรื่นตาน่ารัก
คิดอยู่พักหนึ่ง นางหันศีรษะไปมอง ถามว่า “เสี่ยวหั่วล่ะ ทำไมเจ้าไม่ไปเล่นกับมัน”
“มีอะไรน่าเล่นเล่า” หัวของเฟยเฟยวางลงบนโต๊ะชา “ตัวหนึ่งพูดไม่ได้ ตัวหนึ่งโง่แทบตาย ข้าว่านะเจ้านาย ท่านหาอสูรวิญญาณอะไรของท่านมากันเนี่ย”
“……” ปากร้ายเกินไปแล้ว โม่เทียนเกอถลึงตาใส่มัน “แต่ก่อนเจ้าทั้งพูดไม่ได้ทั้งโง่แทบตาย!”
“แต่ก่อนคือแต่ก่อน” เฟยเฟยเอ่ยอย่างวางท่า “ท่านตอนที่เป็นทารกยังต้องให้คนรับใช้เลย!”
“……” โม่เทียนเกอมองท้องฟ้า พูดอย่างจนใจอยู่บ้างว่า “เฟยเฟย เจ้ามิใช่อสูรเทพหรอกหรือ ทำไมคำพูดคำจาอย่างกับคนเสเพลของโลกปุถุชนเลย” อสูรเทพปฐมกาลมิใช่ว่าควรจะไม่รู้จักเขม่าควันของโลกมนุษย์และใช้ชีวิตในสถานที่อย่างแดนเซียนนอกโลกีย์หรือ ถึงนิสัยจะไม่ได้อ่อนโยนสักเท่าไหร่ก็ไม่ควรจะมีท่าทางเสแสร้งอย่างนี้กระมัง?
เฟยเฟยบุ้ยปาก พูดว่า “พวกข้าแต่ก่อนก็ใช้ชีวิตรวมกับมนุษย์นะ”
“เอ๊ะ?”
เฟยเฟยเงยหัวมองนาง “ท่านไม่รู้หรือ”
อันนี้โม่เทียนเกอไม่ทราบชัดจริง ๆ ยุคปฐมการพวกมนุษย์มีชีวิตอย่างไร ถึงวันนี้เหลือเพียงถ้อยคำไม่ปะติดปะต่อ สิ่งที่บันทึกไว้บนตำราโบราณก็เป็นเพียงตำนาน
เฟยเฟยยกหัวขึ้น กล่าวช้า ๆ ว่า “เวลานั้น พวกข้าวิญญาณกับมนุษย์ล้วนมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ไม่ได้มีผู้ฝึกตนมากขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้มีการแก่งแย่งมากขนาดนั้น มีความสุขมาก” ในดวงตาของมันปรากฏแววหวนหาอย่างช้า ๆ นั่นเป็นยุคสมัยที่ห่างไกลจากมันมาก ๆ ถึงแม้ว่ามันจะครอบครองความทรงจำส่วนหนึ่ง แต่ถึงที่สุดแล้วมิได้เป็นอสูรวิญญาณของยุคสมัยนั้น
“เจ้านาย” เฟยเฟยหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หลายวันนี้ ข้าคิดอย่างละเอียดอยู่นานมาก พบว่าโลกนี้ไม่ถูกต้อง”
“หืม?” โม่เทียนเกอวางถ้วยชา ค้นพบว่าสายตาของเฟยเฟยตอนนี้จริงจังมาก
มันมองโม่เทียนเกอแล้วพูดว่า “จากโบราณถึงปัจจุบัน ปีศาจกับวิญญาณแบ่งแยก ถึงโลกมนุษย์คงอยู่มานานมากแล้ว จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่โต แต่ก็ไม่ควรจะกลายเป็นอย่างตอนนี้ สิ่งที่ข้าจดจำถึงจะไม่มาก แต่เรื่องราวมากมายทุกวันนี้ต่างจากยุคโบราณไปเป็นคนละเรื่อง ถึงขนาดที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง – นี่ไม่ปกติเลย”
โม่เทียนเกอไม่กังขาเลย เฟยเฟยครอบครองสติปัญญาณอย่างเพียงพอ มันตื่นรู้แล้ว ถึงจะไม่ได้มีความแข็งแกร่งของอสูรเทพ แต่ปัญญากลับไม่ได้เสื่อมถอย แต่ว่า ข้อสรุปอย่างนี้ นางกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร – นางยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ในการสำรวจต้นกำเนิดของโลก ความแข็งแกร่งยังห่างชั้นจนเกินไป
เมื่อเห็นว่าท่าทางของโม่เทียนเกอที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เฟยเฟยถอนหายใจ ก้มหัวลง “ข้ารู้ว่าท่านไม่เข้าใจ…… ช่างเถอะ รอตอนที่ท่านเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่แล้วค่อยว่ากันเถอะ เวลานั้นน่าจะสามารถเข้าใจความหมายของข้าแล้ว”
“……” ตั้งแต่ที่เลื่อนขั้น เฟยเฟยมีท่าทางเจ้าเล่ห์แสนกลมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ โม่เทียนเกอกลับรู้สึกว่าสีหน้าของมันเต็มไปด้วยความอ้างว้าง นางสามารถเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเฟยเฟย เพราะว่าสืบทอดความทรงจำของบรรพบุรุษแล้วแต่กลับมีชีวิตอยู่ที่โลกมนุษย์ซึ่งถูกทอดทิ้งมาโดยตลอด มันจะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวมาก แต่ความโดดเดี่ยวชนิดนี้กลับเป็นสิ่งที่นางในตอนนี้ไร้กำลังจะช่วยเหลือ
พลังอำนาจและระดับชั้น สิ่งของเหล่านี้ถึงขนาดตัดสินความสูงส่งของความคิดเห็นได้
นางพูดว่า “การเลื่อนเป็นจิตวิญญาณใหม่ไม่ใช่เรื่องในวันสองวัน หากแค่รู้สึกเบื่อหน่ายก็สามารถพูดกับข้า ถึงแม้ว่าข้าไม่แน่ว่าจะเข้าใจก็ตาม”
เฟยเฟยเอาหัววางบนโต๊ะ มองดูนาง ท่าทางของมันยังน่ารักเหมือนแต่ก่อน แต่ความรู้สึกกลับไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
ผ่านไปพักหนึ่ง มันเอ่ยว่า “ถึงท่านจะไม่ใช่เจ้านายที่ดี แต่ว่า อย่างน้อยที่สุดเป็นคนดี”
“……” โม่เทียนเกอถลึงมองมัน “ข้าไม่ใช่เจ้านายที่ดีตรงไหน มีอะไรก็ให้เจ้า เจ้าจะไปหาเจ้านายอย่างข้าได้ที่ไหน” ไม่คิดเสียบ้างเลยว่าตัวเองเลื่อนขั้นมาได้อย่างไร!
เฟยเฟยเหยียดขาทั้งสี่ทำท่าบิดขี้เกียจ เอียงหัวพูดว่า “ท่านพูดถึงโอสถเหล่านั้นหรือ ท่านคนเดียวไม่ได้ใช้มากมายปานนั้น แถมยังได้มาเปล่า ๆ ถ้ายังไม่ให้พวกข้ากินมันก็ขี้งกเกินไปแล้ว!”
โม่เทียนเกอไร้คำพูด แต่คิดดูแล้วที่เฟยเฟยพูดก็ไม่ผิด สาเหตุที่นางใจกว้างขนาดนี้ก็เพราะว่าตนเองครอบครองมากเกินไป อีกทั้งได้รับมาง่ายดายเกินไป หากเป็นอย่างผู้ฝึกตนพวกนั้นจริง ๆ ลำบากลำบนจึงจะได้รับโอสถมาจำนวนหนึ่ง นางยังจะยินยอมให้พวกมันกินอย่างนี้ไหม พูดแค่ก่อนสร้างฐานพลัง นางแม้แต่เลี้ยงอสูรวิญญาณสักตัวยังไม่สนใจ เพราะรู้ว่าเลี้ยงไม่รอด……
“แต่ว่า ถ้าท่านไม่ได้มีวาสนาอย่างนี้ ก็จะไม่มีพวกข้าในวันนี้” สายตาของเฟยเฟยมองทะลุเรือนไม้ไผ่ทอดไปที่แปลงสมุนไพรที่อยู่ไกล ๆ “พวกท่านมนุษย์ชาญฉลาด ถ้าจะเปิดพื้นที่ว่างอันเป็นเอกเทศอย่างนี้จำเป็นต้องป่นทักษะแห่งมหาเทพของสูญญากาศ รวมทั้งกลวิชาเล็ก ๆ อันมหัศจรรย์จำนวนหนึ่ง ถึงจะเป็นผู้โด่งดังในหมู่พวกข้าอสูรเทพ จตุรเทพห้าวิญญาณ์ก็ไม่อาจทำได้ มิน่าเล่าทวยเทพจึงทิ้งโลกมนุษย์ให้พวกท่าน”
โม่เทียนเกอใจเต้น “เจ้าพูดว่าโลกมนุษย์ตอนนี้ไม่เหมือนกับยุคโบราณอย่างมาก แล้วยังพูดว่าทวยเทพทิ้งโลกมนุษย์ให้พวกข้าเหล่ามนุษย์…… เจ้ารู้เจตจำนงของทวยเทพหรือไม่”
เฟยเฟยกะพริบตา เมินหน้า “ทวยเทพไยจะเป็นสิ่งที่พวกเราสามารถเอื้อมถึงเล่า ถามโง่ ๆ!”
…………………………….
ถูกอสูรวิญญาณของตัวเองหัวเราะเยาะ โม่เทียนเกอลูบจมูก “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงพูดว่าไม่ปกติ”
“เพราะว่า…… โลกมนุษย์จะเปลี่ยนอีกแค่ไหน กฏเกณฑ์บางอย่างก็ไม่ควรจะเปลี่ยน” เฟยเฟยพูด “ทวยเทพไปจากโลกใบนี้ แล้วยังแบ่งแยกปีศาจวิญญาณเซียนมารสี่แดน คือต้องการจะทิ้งโลกมนุษย์ให้มนุษย์ แต่ว่า ปัจจุบันมีเพียงโลกมนุษย์ของมนุษย์ กฎเกณฑ์มากมายกลับไม่เหมือนกับตอนนั้นโดยสิ้นเชิง”
“กฏเกณฑ์……ที่เจ้าเอ่ยถึงคือ?”
“คือความชอบธรรมของเทพ” เฟยเฟยไซ้ขนสีทองบนตัวเอง “อย่าถามข้า ตอนนี้ข้าก็พูดได้ไม่ชัดเจน ท่านสอนให้ข้ารู้ตัวหนังสือก่อน ข้าต้องการตำราโบราณของพวกท่านชาวมนุษย์มาทำความเข้าใจโลกในตอนนี้”
“……ได้” โม่เทียนเกอก็รู้ว่าถึงเฟยเฟยจะพูด นางในตอนนี้ก็ไม่ได้จะเข้าใจมาก ปัญหาคือ – มีอสูรวิญญาณที่จองหองขนาดนี้ไหม ตั้งแต่หัวจรดหางล้วนชี้นิ้วสั่งสอนเจ้านายอย่างนาง!
……………………………………
ครึ่งหลังเหมือนอ่านตำราอะไรสักอย่าง แถมเป็นตำราปรัญชาที่อ่านไม่ค่อยเข้าใจซะด้วยสิ TT