หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 369 – พวกพ้อง
ตอนที่ 369 – พวกพ้อง
ตั้งแต่ที่เฟยเฟยสามารถพูดได้ก็ครอบครองสติปัญญาอันไม่ต่ำทรามกว่ามนุษย์ ดังนั้นโม่เทียนเกอไม่มีอะไรให้ต้องกังวล โยนตำราโบราณมากมายให้มัน ให้มันไปศึกษาด้วยตัวเอง
สำหรับตัวนางนั้นกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อออกไปข้างนอก เรื่องของหลิงอวิ๋นเฮ่อในเมื่อรับปากแล้วก็ควรจะทุ่มสุดกำลัง นางไม่กลัวอันตราย แต่ว่าทะนุถนอมชีวิตของตนเองมาโดยตลอด
หลิงอวิ๋นเฮ่อเป็นคนที่ทำงานแข็งขัน ไม่กี่วันก็เอาสิ่งของที่จำเป็นต้องเตรียมในการท่องหุบเขาไร้กังวลครั้งนี้มาให้นาง รวมทั้งสถานการณ์ของหุบเขาไร้กังวลจำนวนหนึ่ง
หุบเขาไร้กังวลนี่เดิมเป็นที่ลับ อวิ๋นจงมีน้อยคนที่รู้ตำแหน่งแน่ชัด ส่วนเขากลับเอาแผนที่ของหุบเขาไร้กังวลรวมถึงสถานการณ์ข้างในมาบอกกันอย่างใจกว้าง การกระทำค่อนข้างรื่นตาโม่เทียนเกอ ดังนั้นสำหรับการเดินทางนี้นางมีความเต็มอกเต็มใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนแล้ว การทำงานร่วมกับคนที่รื่นตา ถึงแม้จะอันตรายสักหน่อยก็รู้สึกสบายใจ
ทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์เหล่านี้ไปทีละอย่าง เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน พวกพ้องที่หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดถึงในที่สุดก็มารวมตัวกัน ส่งจดหมายมาเชิญนางให้ไปพบ
ออกจากถ้ำพำนักชั่วคราว ทำตามที่หลิงอวิ๋นเฮ่อบอก ตรงดิ่งไปยังคฤหาสถ์สกุลหลิงที่อยู่ยอดเขาหินขาว
สกุลหลิงตั้งอยู่บนยอดของเขาหินเขา สิ่งที่ครอบครองคือเส้นแยกที่ดีที่สุดของเส้นเลือดวิญญาณเมืองเทียนเสวี่ย โม่เทียนเกอขึ้นไปจากเชิงเขา ราบรื่นตลอดทาง จนกระทั่งถึงยอด อดหยุดลงชมเชยหนึ่งคำไม่ได้
ถ้าจะบอกว่าเมืองเทียนเสวี่ยเป็นเมืองแห่งหิมะขาวเมืองหนึ่ง เช่นนั้นคฤหาสถ์สกุลหลิงก็คือวังน้ำแข็งหลังหนึ่ง เห็นเพียงมันครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยลี้ อาคารสลับซับซ้อนหอสูงตั้งตระหง่าน ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ทั้งหมดสร้างขึ้นจากหินขาวที่บริสุทธิ์เปล่งประกาย หินขาวนี้กับหินขาวของอาคารอื่น ๆ ที่เมืองเทียนเสวี่ยไม่เหมือนกัน เจือความใสเล็กน้อย เพียงแค่มองดูก็รู้สึกได้ถึงปราณเย็นจาง ๆ ที่ทะลุออกมา – บนนี้มีปราณจริง ๆ แต่เป็นพลังวิญญาณ
โม่เทียนเกอดูออกว่าคฤหาสถ์ของสกุลหลิงนี้น่าจะก่อสร้างขึ้นด้วยหินขาวคุณภาพเยี่ยมที่สุดของเขาหินขาว ประสิทธิภาพในการรวบรวมพลังวิญญาณไม่ได้ด้อยกว่าม่านพลังรวบรวมวิญญาณทั่วไป เทียบกับเรือนศิลาวิญญาณที่เรียกกันในเมืองเทียนเสวี่ยแล้วไม่รู้ว่าดีกว่ากันกี่เท่า
สกุลหลิงนี้เป็นตระกูลใหญ่เลื่องชื่อจริง ๆ ด้วย
นางยังไม่ได้เดินไปถึงหน้าประตูก็มีผู้ฝึกตนระดับต่ำขึ้นมาต้อนรับแล้ว “ผู้อาวุโส ท่านมาแล้ว เชิญทางนี้ขอรับ!”
โม่เทียนเกอเพ่งมอง ประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ามิใช่……เสี่ยวชุ่นคนนั้นหรือ” คนคนนี้ก็คือเสี่ยวชุ่นผู้ฝึกตนระดับต่ำคนนั้นที่นำทางให้นางตอนที่นางเช่าถ้ำพำนัก
“ผู้อาวุโสยังจำข้าได้หรือ” เสี่ยวชุ่นค่อนข้างประหลาดใจแกมยินดี จากนั้นเกาศีรษะ ยิ้มเอ่ยอย่างอาย ๆ ว่า “ผู้เยาว์รู้จักผู้อาวุโส ดังนั้นอารองใช้ให้ผู้เยาว์มารับคนเป็นพิเศษ”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” โม่เทียนเกอพยักหน้า ตามหลังเขาเข้าคฤหาสถ์สกุลหลิง
“คนอื่น ๆ ล้วนมาแล้วหรือ” นางถามเรื่อยเปื่อย
เสี่ยวชุ่นนำทางอยู่ข้างหน้าพลางตอบพลางว่า “ผู้ที่ผู้อาวุโสพูดถึงคือสหายเหล่านั้นของอารองหรือขอรับ ล้วนมาถึงแล้ว รอแค่ท่าน!”
“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอถามเรื่อยเปื่อย “ทั้งหมดเป็นใครกันบ้างเล่า”
เสี่ยวชุ่นหน้าปั้นยาก เอ่ยว่า “อันนี้……ผู้อาวุโสยังคงรอให้อารองข้าแนะนำเถอะขอรับ ผู้อาวุโสหลายคนนี้ ข้าล้วนไม่มีคุณสมบัติเข้าพบ……” เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณเล็ก ๆ แล้วก็มิใช่ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อะไร ยามปกติอยู่ในสกุลหลิงก็ล้วนเป็นการวิ่งทำธุระเท่านั้น ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเขาไหนเลยจะมีคุณสมบัติต้อนรับเล่า วันนี้ให้เขามารับโม่เทียนเกอถือเป็นกรณีพิเศษแล้ว
โม่เทียนเกอก็ไม่ใส่ใจ พยักหน้าง่าย ๆ ติดตามเสี่ยวชุ่นเดินทางทะลุศาลาอาคารอันสลับซับซ้อนนี้ช่วงสั้น ๆ ในที่สุดไปถึงหน้าตึกเล็ก ๆ ที่ตั้งโดดเดี่ยวหลังหนึ่ง
ทั้งสองคนยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีผู้ฝึกตนสตรีสร้างฐานพลังสี่นางขึ้นมาต้อนรับแล้ว ถามอย่างเคารพนอบน้อมว่า “เป็นฉินเวยผู้อาวุโสฉินหรือเจ้าคะ”
ถึงตรงนี้ เสี่ยวชุ่นปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
โม่เทียนเกอมองดูผู้ฝึกตนสตรีสร้างฐานพลังสี่นางนี้ที่ขึ้นหน้ามารับคน เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “จ้ายเซี่ยก็คือฉินเวย”
ได้ยินตอบตอบยืนยัน ผู้ฝึกตนสตรีสร้างฐานพลังสี่นางนี้เปิดทางให้ทันที โค้งกายก้มศีรษะ “น้อมพบผู้อาวุโสฉิน เจ้านายสกุลข้าสั่งให้บ่าวมารอต้อนรับผู้อาวุโส”
หากเป็นคนทั่วไป เกรงแต่จะถูกการแสดงออกอย่างโอ้อวดของหลิงอวิ๋นเฮ่อหลอกเอาแล้ว ผู้ฝึกตนสตรีสี่คนนี้รูปลักษณ์งดงาม กริยาสง่างาม ระดับการฝึกตนก็ไม่แย่ แต่ถูกอบรมจนเชื่อฟังเยี่ยงนี้ มาต้อนรับแขกเหรื่อเช่นนี้ทั้งไม่ละเลยแขกและทำให้คนรู้สึงถึงความไม่สามัญของเจ้านาย กระบวนท่านี้สูงส่งโดยแท้
น่าเสียดาย โม่เทียนเกอเห็นจนชินแล้ว สาวใช้สิบหกคนนั้นข้างกายประมุขเต๋าจิ้งเหอ ถึงข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะมีไม่น้อย แต่เอ่ยถึงความงดงามอากัปกริยา เทียบกับผู้ฝึกตนสตรีสองคนนี้แล้วยังแกร่งกว่ามาก อยู่ต่อหน้าคนนอกก็มารยาทครบถ้วน อ่อนโยนสง่างาม ไม่อาจไม่พูดว่า หลิงอวิ๋นเฮ่อถึงจะรู้จักเสพสุข ถึงที่สุดแล้วยังเป็นรุ่นเล็ก ไม่สู้ประมุขเต๋าจิ้งเหอที่เป็นปิศาจเฒ่า
ดังนั้นนางเพียงมองดูสี่คนนี้ด้วยสีหน้าเฉยเมยแวบหนึ่ง พยักหน้าให้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็นำทางเถิด”
แรงกดดันของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแผ่ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผู้ฝึกตนสตรีสร้างฐานพลังสี่คนไม่กล้าเพิกเฉย สองคนอยู่หน้า สองคนอยู่หลัง เชิญนางเข้าตึกไปอย่างนอบน้อม
ย่างเข้าตึกเล็ก มีคนหัวเราะฮี่ ๆ ขึ้นหน้ามาต้อนรับทันที “สหายเต๋าฉิน ท่านมาแล้ว!”
โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง ผู้ที่ต้อนรับนางก็คือหลิงอวิ๋นเฮ่อ หลิงอวิ๋นเฮ่อในขณะนี้เทียบกับหลายวันก่อนแล้วยิ่งดูท่วงท่าสง่างาม กริยามั่นใจ จำได้ว่าครั้งแรกตอนที่เห็นเขา เขายับยุ่งไปทั้งตัว คล้ายกับผู้ฝึกตนยาจก ครั้งที่สองที่พบเขา เขาแต่งกายอย่างเรียบร้อย ท่าทางน่าประทับใจ ส่วนครั้งนี้สดชื่นแจ่มใสสง่างามเหนือคน โม่เทียนเกออดจินตนาการไม่ได้ว่าครั้งหน้าที่พบเขาควรจะเป็นลักษณะอย่างไร
ในใจคิดเหลวไหลไปรอบหนึ่ง จากภายนอกนางยังคำนับตอบหลิงอวิ๋นเฮ่ออย่างสุภาพ “สหายเต๋าหลิง จ้ายเซี่ยมาตามนัด ไม่ทราบว่าถัดไป……”
“อ้อ” หลิงอวิ๋นเฮ่อรับช่วงต่อทันที “สหายเต๋าฉิน นี่เป็นสหายหลายคนของข้า แนะนำให้ท่านรู้จักก่อน……”
โม่เทียนเกอหันศีรษะตามแนวสายตาของเขา เห็นผู้ฝึกตนสี่คนนั่งอยู่ในห้องโถง อดตะลึงไปมิได้
ผู้ฝึกตนสี่คนนี้ล้วนเป็นระดับก่อเกิดตาน สองคนอยู่ขั้นกลาง สองคนขั้นต้น เป็นอย่างที่หลิงอวิ๋นเฮ่อบอกก่อนหน้านี้
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ ในที่นั่งถึงกับมีคนรู้จักคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนมารหยางเฉิงจีที่เคยพบที่โรงน้ำชาเมืองเทียนเสวี่ยในวันนั้น!
“…… นี่เป็นสหายที่ดีมาหลายปีของข้า แซ่เถียน นามจือเชียน แล้วยังเป็นผู้ฝึกตนหุบเขาห้าธาตุ ศึกษาเต๋าแห่งม่านพลัง ยามปกติเดินทางออกมาข้างนอกน้อยนัก” หลิงอวิ๋นเฮ่อชี้ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางผู้หนึ่งแล้วแนะนำ
เขาพูดจบ ผู้ฝึกตนนี้ก็ลุกขึ้นคำนับให้โม่เทียนเกอ “จ้ายเซี่ยเถียนจือเชียน คารวะสหายเต๋าฉิน”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ คำนับตอบ “สหายเต่าเถียน” ดูรูปลักษณ์ของเถียนจือเชียนผู้นี้อายุน่าจะประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี สุภาพหล่อเหลา ทั่วทั้งตัวสะอาดเป็นระเบียบ เสื้อผ้าเรียบง่ายยิ่ง หากมิได้เห็นพลังสภาวะทั่วร่าง เกรงแต่ว่าจะเดาไม่ออกว่าชายหนุ่มเยาว์วัยที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มไร้พิษภัยคนนี้เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลาง โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่านิ้วมือของเขาขาวสะอาดเป็นพิเศษ เล็บมือเล็มไว้พอดิบพอดี ดูท่าในยามปกติศึกษาม่านพลังไม่น้อย – การขยับอุปกรณ์ม่านพลังเป็นงานอันละเอียดอ่อน ปรมาจารย์ม่านพลังล้วนมีนิ้วมืออันแคล่วคล่องกันทั้งนั้น
“สหายเต๋าผู้นี้ฉายาเทียนฉาน เป็นผู้ฝึกตนอิสระ” หลิงอวิ๋นเฮ่อชี้ไปที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางอีกคนแล้วแนะนำ
โม่เทียนเกอมองดู นี่เป็นบุรุษที่ผอมแห้งอย่างยิ่ง สวมชุดดำทั้งร่าง ผ้าดำปิดคลุมใบหน้า แม้แต่มือทั้งคู่ล้วนพันผ้าดำ แล้วยังสวมงอบ แต่งกายคล้ายคลึงหยางเฉิงจีถึงสิบส่วน เพียงไม่ได้มีปราณมารอยู่บนร่างเขา
“สหายเต๋าเทียนฉาน” นางยังคงยิ้มบาง ๆ คำนับให้คนผู้นี้
คนคนนี้กลับเพียงแค่ลืมตาทั้งคู่เล็กน้อยพยักหน้าให้นาง กุมมือนิด ๆ ถือเป็นการคำนับแล้วหลับตาก้มหน้าลงไปอีก ท่าทางไม่อยากข้องแวะกับผู้คน
หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นแล้วยิ้มให้โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “สหายเต๋าเทียนฉานผู้นี้ไม่ชอบพูดจามาก สหายเต๋าฉินอย่าได้ถือสา”
โม่เทียนเกอผงกศีรษะเป็นเชิงว่าเข้าใจ สายตามองไปทางคนถัดไป
“พี่หยางผู้นี้นามว่าเฉิงจี เป็นคนอาณาจักรเป่ยหลิน เขายังเป็นศิษย์สายตรงของประมุขมารกุ่ยฟาง ความสำเร็จทางมารยอดเยี่ยมถึงสิบส่วน ผู้ฝึกคนก่อเกิดตานขั้นกลางทั่วไปยังไม่ใช่คู่มือของเขา”
“ประมุขมารกุ่ยฟาง?” โม่เทียนเกอถามเสียงค่อย
หลิงอวิ๋นเฮ่อตบหน้าผาก สั่นศีรษะยิ้มเอ่ยว่า “ข้าลืมไป สหายเต๋าฉินมิใช่คนอวิ๋นจง ไม่รู้เรื่องพวกนี้ ประมุขมารกุ่ยฟางเป็นหนึ่งในสามประมุขมารใหญ่ของอวิ๋นจงเรา เลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายมาหลายร้อยปี เลื่องชื่อในอวิ๋นจง มีศัตรูน้อยนัก พี่หยางคนนี้เป็นศิษย์สายตรงเพียงหนึ่งเดียวของเขา”
ถึงสามประมุขมารใหญ่อะไรนี่โม่เทียนเกอจะไม่เคยได้ยินเลย แต่ว่า ในเมื่อหลิงอวิ๋นเฮ่อระบุว่าเลื่องชื่อในอวิ๋นจง มีศัตรูน้อยนัก แล้วยังมีระดับการฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย น่าจะเป็นบุคคลอย่างซงเฟิงซ่างเหรินกระมัง? หากเป็นเช่นนี้ ในฐานะศิษย์สายตรงเพียงหนึ่งเดียว ศักดิ์ฐานะของหยางเฉิงจีผู้นี้ไม่ค่อนข้างไม่สามัญ มิน่าเล่าที่โรงน้ำชาวันนั้นเขาไม่ได้แนะนำที่มาของตนเองเลย คิดว่าที่อวิ๋นจง คำว่าหยางเฉิงจีสามคำจะต้องอธิบายศักดิ์ฐานะของเขาแล้ว
“สหายเต๋าหยาง พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว” นางยกมุมปาก คำนับไปทางหยางเฉิงจี
ทั้งสองคนเคยพูดคุยกัน เคยแลกเปลี่ยนสินค้า หยางเฉิงจีสุภาพกว่าครั้งที่แล้วนิดหน่อย ลุกขึ้นคำนับกลับว่า “สหายเต่าฉิน”
หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นแล้วประหลาดใจเล็กน้อย “ทั้งสองท่านเคยพบกันแล้วหรือ”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “เคยมีชะตาได้พบหน้ากันในโรงน้ำชา ตอนนั้นกลับไม่ทราบว่าสหายเต๋าหยางศักดิ์ฐานะไม่สามัญ”
นางเพิ่งพูดจบ หยางเฉิงจีกลับเอ่ยด้วยสีหน้าว่างเปล่าว่า “ผู้แซ่หยางเป็นเพียงผู้ฝึกมารธรรมดา ไหนเลยจะไม่สามัญ สหายเต๋าฉินไม่ต้องยกยอข้า”
วาจานี้ทื่อด้านโดยแท้ หากทำให้คนที่ไม่เข้าใจฟังเข้า เกรงจะรู้สึกว่าคนผู้นี้หัวสูงยโส คบหาไม่ง่าย แต่โม่เทียนเกอกลับฟังออกว่า เขาไม่ปรารถนาให้ตนเองอาศัยชื่อเสียงของอาจารย์ได้รับการมองด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป นี่ทำให้นางเกิดความรู้สึกที่ดีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน ขณะนี้เลยไม่ได้เกิดความโมโห เอ่ยขออภัยหยางเฉิงจีว่า “กลับเป็นจ้ายเซี่ยที่พูดผิดไป สหายเต๋าหยางอย่าได้ถือสา”
ถึงนางจะเอ่ยขออภัย น้ำเสียงกลับเฉยเมยยิ่ง ไม่ได้มีเจตนาจะประจบ หยางเฉิงจีฟังแล้วกลับคำนับนางอย่างสุภาพใหม่ “สหายเต๋าฉินไม่ต้องเกรงใจ”
บทสนทนาของทั้งสองคน คนอื่น ๆ ล้วนเห็นอยู่กับตา ในดวงตาหลิงอวิ๋นเฮ่อเกิดความประหลาดใจวูบผ่าน แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก แนะนำคนสุดท้ายให้โม่เทียนเกออีกว่า “สหายเต๋าฉิน ผู้นี้เป็นน้องชายร่วมตระกูลของข้าหลิงอวิ๋นเฟย”
คนผู้นี้อายุเหมือนจะต่างจากหลิงอวิ๋นเฮ่อ ใบหน้าคลับคล้ายอยู่ส่วนสองส่วนจริง ๆ เพียงแต่บนหน้าเจือความหยิ่งทะนงอยู่หลายส่วน ยังหัวรั้นเหมือนเด็กหนุ่ม ขาดวุฒิภาวะอยู่หลายส่วน
โม่เทียนเกอพอเห็นก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นรุ่นเยาว์ในตระกูลที่หัวสูงยโส โชคดีที่เมื่อเผชิญหน้ากับนาง หลิงอวิ๋นเฟยผู้นี้ยังนับว่าสุภาพ ลุกขึ้นคำนับ “สหายเต๋าฉิน ได้ยินนามยิ่งใหญ่มานาน”
“สหายเต๋าอวิ๋นเฟยเกรงใจไปแล้ว จ้ายเซี่ยจะมีนามยิ่งใหญ่มาจากที่ใด” โม่เทียนเกอกล่าวอย่างถ่อมตน คำนับกลับ
หลิงอวิ๋นเฟยจ้องมองนางตาไม่กะพริบ “หลายวันนี้ได้ยินพี่รองพูดตลอดว่าสหายเต๋าฉินระดับการฝึกตนสูงส่งลึกล้ำ นิสัยใจคอหนักแน่น สิ่งที่หายากคือยังอ่อนเยาว์งดงามมาก ข้าไม่เชื่อมาตลอด วันนี้พบแล้วจึงรู้ว่าพี่รองพูดได้ไม่แปลกปลอม”
………………………
วาจาเหล่านี้เป็นการชมนางจริง ๆ แต่สายตาของหลิงอวิ๋นเฟยนี้ก็ร้อนแรงเกินไปหน่อย โม่เทียนเกออดยิ้มขมในใจไม่ได้ ในวันวานตอนที่นางยังเป็นผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณสร้างฐานพลัง ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ไหนเลยจะชมนางเยี่ยงนี้ ปัจจุบันนี้นางก่อเกิดตานแล้ว ในหมู่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ผู้ฝึกตนสตรีมีน้อยจริง ๆ จนนางดูโดดเด่นขึ้นมา
“เอาล่ะ” หลิงอวิ๋นเฮ่อส่งเสียงทันเวลา “ท่านทั้งหลายทำความรู้จักกันแล้ว การท่องหุบเขาไร้กังวลหลังจากนี้ พวกเราก็เป็นพวกพ้องกันแล้ว”
………………………………
กรี๊ดดดด ทำไมก่อนหน้านี้เรานึกว่าหยางเฉิงจีเป็นผู้หญิงเนี่ย แปลผิดไปหมดเลย กลับไปแก้แพรบ