หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 373 – ปากหุบเขา
ตอนที่ 373 – ปากหุบเขา
รอจนสลัดหลุดจากฝูงแมวภูเขา ทั้งกลุ่มหกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยสิ้นแรง
ด้วยระดับการฝึกตนระดับก่อเกิดตานของพวกเขา เดิมไม่ควรเป็นเช่นนี้ แต่ในหุบเขาไร้กังวลนี้ ลมปราณนานาชนิดผสมปนเป ระดับการฝึกตนของพวกเขาถึงจะไม่ได้ลดทอนลง ความแข็งแกร่งกลับถูกสะกดลงไปมากมาย
โม่เทียนเกอมองเถียนจือเชียนที่เห็นเหงื่อบนหน้าผากแล้ว ถามหลิงอวิ๋นเฮ่อว่า “หลิงเต้าซยง ที่นี่ปลอดภัยหรือ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อมองไปรอบบริเวณ พยักหน้า “ไร้อันตราย พักผ่อนชั่วครู่เถอะ”
หลิงอวิ๋นเฟยและเถียนจือเชียนถอนหายใจโล่งอก พวกเขาสองคนล้วนทนทานไม่ไหวอยู่บ้าง หลิงอวิ๋นเฟยระดับการฝึกตนต่ำสุด ส่วนเถียนจือเชียนต้องรักษาม่านพลังหนึ่งอัน เผาผลาญพลังวิญญาณมากที่สุด พอฟังว่าสามารถพักผ่อน ทั้งสองคนแทบจะล้มหัวทิ่ม
เถียนจือเชียนฝืนทนสุดกำลัง ส่งต่อจานม่านพลังให้หลิงอวิ๋นเฮ่อ “ขอรบกวนพี่หลิงตั้งม่านพลังนี้หน่อย”
หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้า “พี่เถียนพักผ่อนอย่างเดียวก็พอ” รับจานม่านพลังมา เขาตั้งม่านพลังอย่างเชี่ยวชาญ ร้องเรียกอีกสามคน “สหายเต๋าทั้งสามก็พักผ่อนเถอะ ข้าเฝ้าก็พอ”
พวกโม่เทียนเกอสามคนก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกันหมด แต่ละคนเสาะหาพื้นที่พักผ่อนในม่านพลัง
พูดว่าพักผ่อน แต่ทุกผู้คนล้วนไม่ได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ อย่างน้อยโม่เทียนเกอพบว่าในดวงตาของหยางเฉิงจีและเทียนฉานล้วนมีแววตื่นตัว
นางหัวเราะในใจ พวกเขากลุ่มนี้เป็นผู้ที่ถูกหลิงอวิ๋นเฮ่อเชิญมาช่วยเหลือ ที่รับปากว่าจะลงมือสนับสนุน ทั้งหมดเป็นเพราะหลิงอวิ๋นเฮ่อรับปากเงื่อนไขบางอย่างกับพวกเขา แต่ว่าไม่จำเป็นว่าจะไม่มีความคิดฉวยโอกาสเข้าหุบเขาไร้กังวลมาเสาะหาสมบัติวิญญาณ เดิมทีนึกว่าผู้ช่วยสองคนนี้ของหลิงอวิ๋นเฮ่อความแข็งแกร่งอ่อนด้อยหน่อย ไม่ได้ระแวดระวังพวกเขาขนาดนั้น จนกระทั่งตอนนี้จึงได้ค้นพบว่าเถียนจือเชียนมีฝีมือเช่นนี้ ย่อมจะตื่นกลัวอย่างมาก
เถียนจือเชียนกับหลิงอวิ๋นเฟยสองคนเป็นพวกพ้องที่หลิงอวิ๋นเฮ่อพึ่งพาได้อย่างแท้จริง ถึงแม้หลิงอวิ๋นเฮ่อจงใจหาคนสามคนที่ระดับการฝึกตนใกล้เคียงกับพวกเขา สามารถคลายกังวล ไปสู่จุดสมดุล ทำให้ทุกคนวางใจ แต่ระหว่างพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้คุ้นเคยกัน เทียบกันแล้วเดิมทีก็ตกเป็นรอง ปัจจุบันนี้ยังค้นพบว่าเถียนจือเชียนไม่ได้อ่อนแออย่างที่จินตนาการ ย่อมจะยิ่งระวังตัว
แต่โม่เทียนเกอใคร่ครวญอยู่ในใจว่า เมื่อครู่นี้หลิงอวิ๋นเฮ่อให้เถียนจือเชียนแสดงความแข็งแกร่งไม่แน่ว่าจะเป็นการใช้สิ่งนี้ข่มขวัญพวกเขา
ปรับลมหายใจชั่วครู่ พลังวิญญาณฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้ว สติสัมปชัญญะก็ดีขึ้นมากมาย โม่เทียนเกอหยุดนั่งสมาธิ ลืมตาทั้งคู่ สิ่งที่นางฝึกคือศาสตร์แห่งต้นกำเนิด แล้วยังได้รับปราณหยางบริสุทธิ์ของฉินซี ปัจจุบันนี้ในกายมีต้นกำเนิดเล็ก สามารถเติมเต็มพลังวิญญาณไม่หยุด ดังนั้นเวลาที่ฟื้นฟูเทียบกับพวกเขาแล้วสั้นกว่าทุกคน
“สหายเต๋าฉิน” ข้างหูได้ยินเสียงของหลิงอวิ๋นเฮ่อ
โม่เทียนเกอหยุดแล้วหันหน้าไป เห็นหลิงอวิ๋นเฮ่อเดินมาทางนาง นั่งลงข้างกายนาง จึงยิ้มว่า “สหายเต๋าหลิงมีธุระหรือ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อก็ยิ้มตอบ มองนาง สายตาประเมิน “พลังวิญญาณของหายเต๋าฉินฟื้นฟูหมดแล้วหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า
“เร็วขนาดนี้……” หลิงอวิ๋นเฮ่อจ้องมองนาง มองอยู่ครู่ใหญ่ “สหายเต๋าเป็นอาจารย์เต๋าที่ไม่เผยไต๋โดยแท้”
“สหายเต๋าหลิงอย่าเข้าใจผิด” โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างเฉยเมย “จ้ายเซี่ยเพียงมีวิชาเวทที่พิเศษตรงฟื้นฟูพลังวิญญาณค่อนข้างเร็วเท่านั้น หากเอ่ยถึงระดับการฝึกตนไม่ได้แกร่งกว่าสหายเต๋าเลย”
“จริงหรือ” หลิงอวิ๋นเฮ่อไม่ได้ถามมากความอีก แต่ดูสีหน้าของเขาคล้ายกับไม่ได้เชื่อมากมายเลย
โม่เทียนเกอก็ขี้เกียจจะพูดมาก หยิบแผนที่ของหุบเขาไร้กังวล ก้มศีรษะมองโดยละเอียด
ผ่านไปพักหนึ่ง โม่เทียนเกอถามว่า “สหายเต๋าหลิง ท่านบอกว่าต้นไร้กังวลไม่ได้งอกเงยอยู่ในสถานที่ที่แน่นอน หุบเขาไร้กังวลนี้ใหญ่ขนาดนี้ พวกเราต้องเสาะหากันอย่างไร”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าฉินลืมคุณลักษณะของวิชาเวทของผู้แซ่หลิงไปแล้วหรือ”
โม่เทียนเกออึ้งไป “สหายเต๋าจะบอกว่า……วิชาเวทของท่านมีประสาทสัมผัสไวต่อปราณแห่งสมบัติวิญญาณถึงสิบส่วน อาศัยสิ่งนี้สืบหา?”
“อืม” หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้า “ผลไร้กังวลในเมื่อเป็นสมบัติวิญญาณระดับนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับพลังวิญญาณรอบบริเวณ ขอเพียงข้าเข้าไปใกล้ในระยะประมาณหนึ่งก็จะสามารถสัมผัสได้”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” มิน่าเล่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดว่าจะหาสมบัติอย่างไรเลย
ในช่วงเวลานี้ เทียนฉานปรับลมหายใจเสร็จสิ้นแล้ว ลืมตาทั้งคู่
หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้าให้ทั้งสองคน “ข้าก็จะไปพักผ่อนล่ะ รบกวนสหายเต๋าทั้งสองรักษาความตื่นตัวด้วย”
เมื่อเห็นทั้งสองคนพยักหน้าตกลง หลิงอวิ๋นเฮ่อจึงได้หันกายไปเสาะหามุมนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ
โม่เทียนเกอไร้วาจาจะพูดกับเทียนฉาน เพียงพยักหน้าให้กันและกันถือเป็การทักทายแล้วเฝ้ายามตัวใครตัวมัน
เวลานี้ โม่เทียนเกอจู่ ๆ รู้สึกว่ากระเป๋าอสูรวิญญาณขยับเขยื้อน
นางก้มหน้ามอง เป็นกระเป๋าอสูรวิญญาณใบที่ใส่เฟยเฟยเอาไว้
ปัจจุบันนี้อสูรวิญญาณสามตัวล้วนไปถึงขั้นห้าแล้ว เสี่ยวหั่วและเสี่ยวฝานความแข็งแกร่งไม่แย่ เวลาวิกฤตสามารถช่วยได้อย่างมาก ส่วนเฟยเฟย ถึงแม้วิชาต่อสู้จะไม่เทียบเท่า แต่มีความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ โม่เทียนเกอรู้ว่าการเดินทานครานี้ไม่ง่าย จึงได้พกพวกมันสามตัวไว้บนตัวทั้งหมดเสียเลย
ความเคลื่อนไหวนี้ หรือว่าเฟยเฟยมีปัญหา?
นางเปิดปากกระเป๋าอสูรวิญญาณเงียบ ๆ ไม่ได้ปล่อยเฟยเฟยออกมา เพียงใช้จิตสัมผัสสื่อสาร “เฟยเฟย มีเรื่องอะไรหรือ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเฟยเฟยดังขึ้นมาสมอง ระหว่างพวกเขามีสัญญาณอสูรวิญญาณอยู่ เฟยเฟยพูดได้แล้ว ใช้จิตสัมผัสสื่อสารสะดวกยิ่งนัก
“เจ้านาย นี่เป็นสถานที่อะไร พลังวิญญาณหนาแน่นดีจัง”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “แน่อยู่แล้ว ที่นี่เป็นแดนสวรรค์สุขาวดีของยุคโบราณกาล น่าเสียดายที่ทะเลกลายเป็นท้องนา ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงพลังวิญญาณจะหนาแน่นอีกแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“โอ้……ข้าค้นพบว่าพลังวิญญาณที่นี่พิสดารอยู่บ้าง คล้ายกับว่ามีของดีมากมายเลย”
โม่เทียนเกอตะลึงไป จู่ ๆ คิดขึ้นมาได้ว่า เฟยเฟยนอกจากชำระจิตใจสงบสติ สามารถปรองดองกับอสูรมารแทบทั้งหมดแล้ว กับพลังวิญญาณก็มีสัมผัสไวเป็นพิเศษ สามารถล่าสมบัติ
“เจ้าสัมผัสอะไรได้ มีปราณแห่งสมบัติวิญญาณหรือไม่”
เฟยเฟยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “ไม่ชัดเจน พวกนี้ข้าไม่ได้ชำนาญมาก ไม่สามารถมั่นใจ เจ้านาย ท่านอย่าปิดกระเป๋าอสูรวิญญาณ ให้ข้าสัมผัสเพิ่มขึ้นสักพัก ข้ารู้สึกว่าพลังวิญญาณที่นี่คุ้นเคยมาก”
“ได้” ตั้งแต่ที่เฟยเฟยลงนามสัญญาณอสูรวิญญาณกับนางก็ถูกเลี้ยงอยู่ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาโดยตลอด ออกไปน้อยมาก ประสาทสัมผัสต่อพลังวิญญาณก็ไม่ได้กล้าแข็งขนาดนั้น โม่เทียนเกอคิดถึงตรงนี้ รับปากข้อเรียกร้องของมัน
ชั่วครู่ให้หลัง หลิงอวิ๋นเฮ่อกับพวกล้วนปรับลมหายใจเสร็จสิ้น หยุดนั่งสมาธิ คนทั้งกลุ่มเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง
โม่เทียนเกอรู้สึกว่าบรรยากาศในกลุ่มมีความเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อน เริ่มแรกเทียนฉานกับหยางเฉิงจีสองคนล้วนเพิกเฉยไม่ใส่ใจอยู่บ้าง ถึงแม้จะรักษาสัญญา ทุกเรื่องราวล้วนฟังคำของหลิงอวิ๋นเฮ่อ แต่เห็นได้ชัดมากว่าไม่ได้เก็บเขามาใส่ใจมากมายนัก ส่วนขณะนี้ ทัศนคติเห็นได้ชัดว่ารอบคอบขึ้นมาก
ไม่ว่าจะเป็นเพราะระแวดระวังกลุ่มหลิงอวิ๋นเฮ่อสามคนหรือว่าเพราะเห็นฝีมือของเถียนจือเชียนแล้วเก็บจิตใจดูแคลนไป สรุปก็คือ เป้าหมายของหลิงอวิ๋นเฮ่อสมควรจะบรรลุผล พวกเขาสองคนล้วนถูกสยบไปหน่อยแล้ว
สำหรับโม่เทียนเกอ นางไม่ได้กังวลใจจนเกินไป นางพาอสูรวิญญาณขั้นห้าสามตัวมาไว้ข้างกาย ถึงเฟยเฟยวิชาต่อสู้ไม่เท่าไหร่ มีเสี่ยวฝานและเสี่ยวหั่วอยู่ นางคิดว่าการปกป้องตัวเองน่าจะไม่ยาก
“สหายเต๋าหลิง” เทียนฉานจู่ ๆ ส่งเสียงออกมา “หุบเขาไร้กังวลนี่ใหญ่ขนาดนี้ ผลไร้กังวลที่ท่านพูดต้องไปเสาะหาอย่างไร”
คำถามนี้ ก่อนหน้านี้โม่เทียนเกอได้ถามหลิงอวิ๋นเฮ่อเป็นการส่วนตัวแล้ว ขณะนี้หลิงอวิ๋นเฮ่อตอบว่า “สหายเต๋าเทียนฉานไม่ต้องร้อนใจ พวกเราตอนนี้ยังอยู่เพียงแค่หุบเขาชั้นนอก ผลไร้กังวลเพียงงอกเงยที่หุบเขาชั้นในของหุบเขาไร้กังวล พวกเรายังมีอีกหลายด่านต้องผ่าน”
“เช่นนั้นหรือ” เทียนฉานสำรวจมองรอบด้าน ถามอย่างกังขาว่า “พลังวิญญาณที่นี่หนาแน่นน่าทึ่งแล้ว อีกทั้งพวกเราพอเข้าหุบเขาก็พบกับปีศาจแมวเหล่านั้น หากยังมีอีกหลายด่าน ไยมิใช่อันตรายถึงสิบส่วน?”
หลิงอวิ๋นเฮ่อนิ่งไปครู่ใหญ่จึงได้ถอนหายใจ กล่าวว่า “หากว่าไม่อันตราย ผู้แซ่หลิงเหตุใดจึงต้องจ่ายราคาสูงขนาดนั้นเชิญพวกท่านมาร่วมทางเล่า ข้าพูดตรง ๆ เลยแล้วกัน เงื่อนไขของพวกท่านทุกคนล้วนมิใช่สิ่งที่จะกระทำได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น หากมิใช่ว่าครั้งนี้ท่านบรรพบุรุษจิตวิญญาณใหม่สกุลหลิงข้ารับคำ สมบัติวิญญาณเหล่านั้นข้าแม้แต่จะหายังไม่ได้ด้วยซ้ำ”
สมบัติวิญญาณ? สายตาของโม่เทียนเกอกวาดผ่านระหว่างเทียนฉานและหยางเฉิงจีหนึ่งรอบ ไม่รู้พวกเขาสองคนตั้งเงื่อนไขอย่างไร แม้แต่หลิงอวิ๋นเฮ่อที่เป็นผู้อาวุโสสำนักใหญ่อย่างนี้ยังรู้สึกว่ากระทำยาก? ว่าไปแล้ว เงื่อนไขของนางก็ไม่ใช่จะกระทำง่ายดายมาก บุญคุณความแค้นกับหานซื่อจือช่างมันก่อน คิดว่าด้วยศักดิ์ฐานะของหลิงอวิ๋นเฮ่อ อีกฝ่ายคงจะไว้หน้า แต่อยากจะได้รับเล่มสมบูรณ์ของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์กลับมิได้ง่ายดายขนาดนั้น
วิชาเวทและเส้นเลือดวิญญาณเป็นรากฐานของสำนัก เส้นเลือดวิญญาณขโมยไม่ได้โยนทิ้งไม่ได้ ดังนั้นสำนักใหญ่ล้วนวางสรรพกำลังไว้ที่การป้องกันวิชาเวท สำนักทุก ๆ แห่งถึงแม้จะเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ คนหลักร้อย หอหนังสือที่วางวิชาเวทล้วนเป็นความสำคัญในความสำคัญ ไม่เพียงมีม่านพลังกำแพงอาคมคุ้มครอง กว่าครึ่งยังมีผู้ฝึกตนระดับสูงเฝ้ารักษา แม้แต่ศิษย์ในสำนักที่เข้าไปข้างในล้วนต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด อีกทั้งยังไม่สามารถพลิกอ่านตำราที่อยู่เกินขอบเขตระดับชั้นของตนเอง โม่เทียนเกอก็คิดหาหนทางไม่ออกจึงได้รับปากเงื่อนไขของหลิงอวิ๋นเฮ่อ แต่สรุปว่าเขาสามารถเอาศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์มาได้หรือไม่ นางไม่ได้คาดหวังจนเกินไปเลย
คิดถึงตรงนี้ นางรู้สึกอีกครั้งว่าตนเองขาดทุนนิดหน่อย เงื่อนไขสองข้อของนางล้วนมิใช่สิ่งที่สามารถกระทำในชั่วขณะ สามารถพูดได้ว่า การตามหลิงอวิ๋นเฮ่อเข้าหุบเขาไร้กังวล นางไม่อาจเรียกร้องสิ่งของประเภท “มัดจำ” ได้เลย หากโชคร้าย หลิงอวิ๋นเฮ่อไม่สามารถออกจากหุบเขาไร้กังวลอย่างปลอดภัย นางก็จะสองมือว่างเปล่า ไม่ได้อะไรทั้งนั้น พูดถึงที่สุดเป็นนางที่ไม่มีประสบการณ์เกินไป ก่อนหน้านี้ไม่เคยช่วยคนอื่นทำธุระ ไม่ได้คิดถึงจุดนี้ด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นจะขอผลประโยชน์จากหลิงอวิ๋นเฮ่อมาก่อน คิดว่าเขาก็มิใช่ว่าจะไม่ให้
“แต่ว่า” หลิงอวิ๋นเฮ่อกล่าวต่อขึ้นมาอีกว่า “สหายเต๋าทั้งหลายก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป ก่อนหน้านี้ผู้แซ่หลิงเคยพูดแล้ว ข้ามีความมั่นใจมากกว่าเจ็ดส่วนว่าจะออกไปได้อย่างปลอดภัย นี่มิใช่คำโป้ปด ภายในสำนักจิ่วเยี่ยนเรามีคนรุ่นก่อนเคยเข้ามาแต่แรก จะทำลายด่านเหล่านี้ได้อย่างไร ผู้แซ่หลิงเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว”
เทียนฉานมองหลิงอวิ๋นเฮ่ออย่างลึกซึ้ง พยักหน้า “หวังเพียงว่าสหายเต๋าหลิงจะพูดคำไหนคำนั้น”
กลุ่มคนหกคน ให้หลิงอวิ๋นเฮ่อและโม่เทียนเกอเดินนำหน้า เถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟยอยู่ตรงกลาง เทียนฉานและหยางเฉิงจีรั้งท้ายสุด เถียนจือเชียนถือจานหยกของเขา สังเกตความเปลี่ยนแปลงของลมปราณห้าธาตุรอบบริเวณเป็นครั้งคราว
ท้องฟ้าของหุบเขาไร้กังวลมึดครึ้มอยู่ตลอด โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง ค้นพบว่ารอบด้านมีหน้าผาสูงชันตั้งตระหง่าน เพียงเผยท้องฟ้าเสี้ยวเล็ก ๆ ในอากาศอวลไปด้วยหมอกหนาฝุ่นผงที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ทุกสิ่งเบื้องหน้าล้วนสลัวเลือน
ทั้งหกคนเดินหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง ปราณอลหม่านเวียนวนรอบบริเวณ ต้องรักษาพลังวิญญาณคุ้มครองกายตลอดเวลา กีดกันปราณโสมมเหล่านั้นไว้เบื้องนอก
กว่าครึ่งวันให้หลัง หลิงอวิ๋นเฮ่อในที่สุดหยุดลง “ทุกท่าน จากที่นี่เข้าไปก็คือหุบเขาชั้นในแล้ว”
โม่เทียนเกอยื่นศีรษะไปดู ตะลึงลานขึ้นมา นี่เป็นปากหุบเขาอันแคบเล็ก เพียงอนุญาตให้คนสองคนเคียงไหล่กัน ตำแหน่งของปากหุบเขายืดยาวเป็นร่องลึก ดำมืด ประดุจดั่งปากอันใหญ่ที่ตะกละตะกลามปากหนึ่ง รอคอยที่จะกลืนกินคนผ่านทาง
……………………………………..