หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 374 – ขัดแย้ง
ตอนที่ 374 – ขัดแย้ง
“นี่คือ……” เห็นร่องลึกของปากหุบเขา หลิงอวิ๋นเฟยตะลึงลานไป จ้องไปทางหลิงอวิ๋นเฮ่อ “พี่รอง นี่ต้องผ่านไปอย่างไร”
ร่องลึกนี้กว้างยิ่ง ยึดครองทางเข้าอันคับแคบของหุบเขาทั้งหมด อีกทั้งดูลึกอย่างยิ่ง พอจ้องลงไปก็รู้สึกเพียงว่าลึกจนไม่เห็นก้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ปราณมืดข้างในพลิกตลบ ปราณโสมมหนาแน่นเป็นพิเศษ
โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง กลับเห็นว่าสองฝั่งปากหุบเขานี้ล้อมรอบไปด้วยหน้าผา ผนังผาที่อยู่ด้านบนสุดเชื่อมเข้าด้วยกัน นี่ทำให้ปากหุบเขาทั้งหมดดูประหนึ่งประตูโค้งบานหนึ่ง
อยากจะบินข้ามไปมันค่อนข้างยากโดยแท้ ปราณโสมมส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกตนสูงมาก ปราณโสมมที่แมวภูเขาพวกนั้นก่อนหน้านี้แพร่ออกมาหลังจากตายก็ทำให้พวกเขาได้แต่เลือกที่จะล่าถอยแล้ว ปราณโสมมในร่องลึกเส้นนี้ระดับความหนาแน่นสูงกว่าเมื่อครู่นี้เกินกว่าสิบเท่า หากพวกเขาแข็งขืนบินข้ามไป เช่นนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าจะสูญเสียพลังวิญญาณมากเกินไป ความแข็งแกร่งตกลง และที่นี่ก็เป็นเพียงแค่ปากหุบเขาเท่านั้น ผลไร้กังวลยังไม่รู้ว่าอยู่สถานที่ใด เวลานี้เสี่ยงอันตรายเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ชาญฉลาดโดยเด็ดขาด
หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยว่า “มีไข่มุกเทพต้องห้ามอยู่ข้าง ๆ สามารถก่อเป็นเครื่องจำกัดต่อปราณโสมมเหล่านี้ แต่ว่า คิดจะข้ามร่องลึกเส้นนี้ยังต้องเสี่ยงอันตรายนิดหน่อย ไม่ทราบทุกท่านคิดเห็นประการใด”
เถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟยล้วนไม่พูดจา หยางเฉิงจีร้องหึคำหนึ่ง เอ่ยว่า “สหายเต๋าหลิงไยจึงต้องถามมากความ พวกเราล้วนอยู่ที่นี่กันแล้ว ไม่รับปากแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า”
หลิงอวิ๋นเฮ่อได้ยินแล้วเผยรอยยิ้มบาง ๆ “ขออภัย ถามคำถามที่ไม่มีความหมายไปเสียแล้ว” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ผู้แซ่หลิงมีหนทางหนึ่ง ต้องเสี่ยงอันตรายนิดหน่อย”
“พี่รอง ท่านมีหนทางก็พูดมาเถอะ พวกเราจะอย่างไรก็ต้องคิดหนทางข้ามไป” หลิงอวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
หลิงอวิ๋นเฮ่อมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดจา ยื่นมือไปเปิดกระเป๋าอสูรวิญญาณที่หว่างเอว ในพริบตา ลมปราณอันแปลกประหลาดโถมใส่หน้า
“นี่คือ……” ห้าคนที่เหลือพากันหน้าเปลี่ยนสี เพียงเห็นในกระเป๋าอสูรวิญญาณของหลิงอวิ๋นเฮ่อมีนกแร้งขนสีดำเปล่งประกายหนึ่งตัวบินออกมา พลังสภาวะที่สังเกตเห็นบนตัวมันอยู่ที่ขั้นห้าแล้ว สายตาดุร้าย กรงเล็บทั้งคู่แหลมคม อสูรวิญญาณแร้งหนึ่งตัวก็ไม่เท่าไหร่ แต่ว่านกแร้งตัวนี้ถึงกับมิใช่อสูรวิญญาณทั่วไป บนตัวของมันแทรกซึมไปด้วยปราณตายอย่างล้ำลึก!
“สหายเต๋าทั้งหลาย นี่คือแร้งตัวหนึ่งที่จ้ายเซี่ยได้มาอย่างไม่ตั้งใจที่ซีหมาน ที่ซีหมาน ไม่ว่าปุถุชนหรือว่าผู้ฝึกตน หลังจากตายแล้วล้วนจะทำพิธีฝังเวหา* ปล่อยซากศพให้นกแร้งกลืนกินลงท้อง นกแร้งตัวนี้อาจจะกินศพมามากแล้ว ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ ปราณตายเต็มตัวแต่กลับสามารถมีชีวิต”
ปราณตาย ก่อนหน้านี้โม่เทียนเกอเคยเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่จากสิ่งนี้ หลายสิบปีก่อน ตอนที่นางยังอยู่เพียงสร้างฐานพลังขั้นกลางได้ไปยังสถานที่สุดเหนือของเทียนจี๋อย่างไม่ตั้งใจ พบเจอกับเจียงซั่งหังที่เคยช่วยชีวิตนางที่สำนักอวิ๋นอู้ ด้วยเหตุนี้ได้ทำความรู้จักกับผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่า เริ่นอวี่เฟิงผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่านั้นได้รับแผ่นจารึกหินหนึ่งแผ่นจากในอารามบรรพกาลแล้วฝึกฝนปราณตายอันพิสดารออกมา ทำให้นางเกือบจะสิ้นชีพอยู่ที่สภาปี้เซวียนแห่งหลินไห่
ส่วนที่พิสดารยิ่งของเรื่องนี้เป็นเพราะว่าปราณตายมีเพียงบนร่างของคนตายจึงจะสามารถคงอยู่ พูดตามหลักเหตุผลแล้ว คนเป็นถูกปราณตายแทรกซึมยากจะเลี่ยงจากความตาย นางกับผู้ฝึกตนหลายคนของสภาปี้เซวียนถูกปราณตายแทรกซึมเล็กน้อย ล้วนเสียเวลาอย่างยาวนานจึงชะล้างออกไป เรื่องนี้นางคิดไม่เข้าใจมาโดยตลอด ภายหลังนำแผ่นจารึกหินนั้นกลับโรงเรียนเสวียนชิง ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกว่าพิสดารจึงอยากจะศึกษา ภายหลังนางลืมถามมาตลอด
ตอนนี้ นางเห็นนกแร้งที่ปราณตายคลุมร่างอีกหนึ่งตัว นกแร้งตัวนี้กับสถานการณ์ของเริ่นอวี่เฟิงไม่ได้เหมือนกันอีกด้วย ตอนที่เริ่นอวี่เฟิงปราณตายคลุมร่างแทบจะกลายเป็นโครงกระดูก ไม่นับว่าเป็นคนคนหนึ่งเลย แต่นกแร้งตัวนี้กลับมีชีวิตชีวาไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เส้นขนมันวาว ดูแข็งแกร่งมีพลัง
“เกี่ยวกับปราณโสมม ผู้แซ่หลิงเคยได้รับการสั่งสอนจากผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่สายสำนักข้า ปราณนี้สามารถกัดกร่อนกายเนื้อ ทำให้สิ่งมีชีวิตสูญเสียพลังชีวิตอย่างช้า ๆ ปราณตายก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้น ปราณตายก็ถือว่าเป็นปราณโสมมชนิดหนึ่ง”
“สิ่งที่สหายเต๋าหลิงพูดมาถูกต้องยิ่ง” หยางเฉิงจีจู่ ๆ เอ่ยปาก “พวกเราผู้ฝึกมารรู้เรื่องสิ่งของเหล่านี้มากกว่าพวกท่าน ปราณโสมมไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ปราณตายเลย แต่พวกเราเห็นว่าปราณตายเป็นปราณโสมมชนิดหนึ่ง”
เถียนจือเชียนฟังแล้วเอ่ยอย่างสับสนว่า “นี่กับเรื่องเฉพาะหน้าเกี่ยวข้องอันใดกัน พี่หลิง หรือว่าท่านอยากจะสั่งให้อสูรวิญญาณตัวนี้ของท่านบินข้ามไป แต่อย่างนี้ก็แก้ปัญหาของพวกเราไม่ได้นะ”
หยางเฉิงจีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวว่า “จ้ายเซี่ยเดาว่า สหายเต๋าหลิงอยากจะให้พวกเราซ่อนอยู่ในปราณตายแล้วปะปนผ่านไปกระมัง?”
หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าหยางพูดได้มิผิด หมายความเช่นนี้พอดี”
“พี่รอง อย่างนี้อันตรายมากกระมัง” หลิงอวิ๋นเฟยจ้องมองนกแร้งที่อยู่เบื้องหน้า สีหน้าตื่นตัว “พวกเราเอาปราณตายขังร่างกับถูกปราณโสมมห้อมล้อมมีอะไรแตกต่างกัน”
“ความแตกต่างอยู่ที่ นี่เป็นอสูรวิญญาณของข้า” หลิงอวิ๋นเฮ่อลูบหัวของนกแร้ง ตอนที่มือของเขาเอื้อมออกไป นกแร้งไม่ได้ขัดขืนสักนิด แล้วยังอ้าปากร้องคำหนึ่ง ถูไถมือของเขาคล้ายกับกำลังอ้อน
โม่เทียนเกอค้นพบว่าปราณตายของนกแร้งเหมือนจะไม่ได้โจมตีหลิงอวิ๋นเฮ่อเลย มือของเขาเอื้อมออกไป ปราณตายก็หลบหลีกอัตโนมัติ เป็นเพราะเขาเป็นเจ้านายของนกแร้งหรือ
“ทุกท่านวางใจได้เลย ข้าสามารถควบคุมปราณตายเหล่านี้ได้ตามใจ ทำให้มันกลายเป็นวงล้อมรอบบริเวณพวกเรา แต่ไม่ทำร้ายพวกเรา ขอเพียงทุกท่านระวังสักหน่อยก็จะสามารถผ่านไปได้อย่างปลอดโปร่ง”
หลิงอวิ๋นเฮ่อพอพูด ผู้คนในที่แห่งนี้กลับไม่มีสักคนตอบรับ
ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางหนึ่งคนครอบครองอสูรวิญญาณขั้นห้าหนึ่งตัว นับว่าเป็นแรงสนับสนุนที่สูงยิ่ง ตอนที่ต่อสู้ นี่จะสร้างแรงกดดันต่อผู้ฝึกตนร่วมระดับ เผอิญว่าอสูรวิญญาณตัวนี้ยังครอบครองปราณตายอันเป็นเอกลักษณ์เสียด้วย อดไม่ได้ที่จะทำให้ทุกผู้คนเกิดความกริ่งเกรงอย่างมาก
โม่เทียนเกอขณะนี้จึงได้ทราบว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อเชิญพวกเขาสามคนอย่างกล้าหาญขนาดนี้ก็เพราะว่ามีที่ถือดีให้ไร้ความหวาดกลัว นางกับเทียนฉานหยางเฉิงจีสามคน ในด้านความแข็งแกร่งย่อมจะแกร่งกว่าเถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟยอยู่บ้าง แต่มีการสนับสนุนของม่านพลังไร้สภาพของเถียนจือเชียน แล้วยังมีอสูรวิญญาณปราณตายตัวนี้ ความแข็งแกร่งของหลิงอวิ๋นเฮ่อเหนือว่าที่จินตนาการไว้ลิบลับ
นางแอบถอนหายใจอยู่ในใจ หลิงอวิ๋นเฮ่อผู้นี้มีชื่อเสียงที่ภายนอกว่าเป็นหนึ่งในศิษย์อัจฉริยะของสำนักจิ่วเยี่ยนสำนักใหญ่อันดับหนึ่ง ตำแหน่งในสำนักสูงล้ำ น่าจะไม่ด้อยกว่าฉินซี ผู้ฝึกตนอย่างเขาความแข็งแกร่งจะอ่อนด้อยได้หรือ
สิ่งที่นางสามารถคิดได้ เทียนฉานและหยางเฉิงจีสองคนก็ย่อมจะสามารถคิดได้ แต่สิ่งที่พวกเขาหวั่นเกรงยิ่งอย่างคือวิธีการที่หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดในขณะนี้ อสูรวิญญาณเป็นอสูรวิญญาณของหลิงอวิ๋นเฮ่อคนเดียว หากพวกเขาตอบรับ ร่างอยู่ในวงล้อมของปราณตาย ถึงเวลาความเป็นความตายของพวกเขาก็จะเพียงขึ้นอยู่กับความคิดชั่วแล่นของหลิงอวิ๋นเฮ่อ ผู้ฝึกตนล้วนห่วงชีวิต จะหยิบยื่นชีวิตไปไว้บนมือของผู้อื่นส่ง ๆ ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นโม่เทียนเกอ, เทียนฉาน หรือว่าหยางเฉิงจี ทั้งสามคนล้วนไม่เต็มใจ
เถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟยไม่พูดจา สีหน้าของเถียนจือเชียนลังเลอยู่บ้าง หลิงอวิ๋นเฮ่อเป็นสหายที่ดีของเขา แน่นอนว่ามีความไว้เนื้อเชื่อใจในระดับหนึ่ง แต่เรื่องนี้ผิดธรรมดานัก เขาก็ไม่สามารถตัดสินใจในทันที
สำหรับหลิงอวิ๋นเฟย สติสัมปชัญญะยังมึนเบลออยู่บ้าง มองดูหลิงอวิ๋นเฮ่อแล้วหันไปมองดูคนอื่น
ทั้งหกคนชะงักงันกันไปชั่วขณะ
หลิงอวิ๋นเฮ่อมองพวกเขา รอคอยคำตอบอย่างอดทน
ผ่านไปครู่หนึ่ง กลับเป็นเทียนฉานที่เอ่ยปากแล้ว เสียงของเขาแหลมคม น้ำเสียงยิ่งไม่ดีสักเท่าไร “สหายเต๋าหลิง เหตุใดเรื่องนี้ก่อนที่จะออกเดินทางไม่ได้พูดกับข้าให้ชัดเจน หรือว่าใต้เท้ารอให้เข้าหุบเขาไร้กังวล เรื่องกรายมาถึงศีรษะ พวกข้าไม่อาจไม่ตอบรับ?”
หลิงอวิ๋นเฮ่อท่าทางสงบนิ่ง กล่าวเรียบ ๆ ว่า “หากข้าพูดล่วงหน้า สหายเต๋าเทียนฉานจะตกลงมาไหม”
“ย่อมไม่!” เทียนฉานเสียงเฉียบขาด “หากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าสหายเต๋าหลิงจะเสนอเงื่อนไขอย่างไร ข้าล้วนจะไม่ตอบตกลง!”
“ก็นั่นไงล่ะ” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยอย่างเฉยเมย “ผู้แซ่หลิงกังวลจริง ๆ ว่าทุกท่านจะไม่ตกลงแน่ ๆ ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอธิบายล่วงหน้า การท่องหุบเขาไร้กังวลเกรงว่าจะได้แต่ล้มเลิก”
“หึ!” หยางเฉิงจีเอ่ยเสียงหนัก “ตอนนี้พวกเราก็สามารถฉีกหน้ากัน! หรือว่าสหายเต๋าหลิงนึกว่าท่านสามารถบังคับพวกเราให้เข้าร่วมได้?!”
เมื่อเผชิญกับทัศนคติอันดุดันของหยางเฉิงจี หลิงอวิ๋นเฮ่อกลับถอนหายใจ กล่าวว่า “สหายเต๋าหยางคิดมากแล้ว ผู้แซ่หลิงกระทำเยี่ยงนี้ยอมรับว่าไม่ได้ซื่อสัตย์เที่ยงธรรมอันใด แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินทุกท่าน สหายเต๋าฉินก็ช่างเถิด สหายเต๋าหยาง, สหายเต๋าเทียนฉาน ก่อนที่ข้าจะเชิญพวกท่านมาช่วยึค่าตอบแทนเหลือได้จ่ายด้วยสมบัติวิญญาณไปแล้ว สมมติว่าผู้แซ่หลิงไม่จริงใจไยจะต้องทำเช่นนี้”
“แต่ท่านทำอย่างนี้……”
“ทุกท่าน!” หลิงอวิ๋นเฮ่อขัดคำพูดของหยางเฉิงจี กล่าวว่า “สาเหตุที่ผู้แซ่หลิงทำอย่างนี้ก็คือหวังว่าพวกท่านจะสามารถใคร่ครวญดูให้มาก ๆ สมมติว่าอธิบายล่วงหน้า พวกท่านคงจะไม่ใคร่ครวญแล้วตัดสินใจล้มเลิกไปเลยเสียกว่าครึ่ง เมื่อเป็นดังนี้ เวลากระชั้นเกินไป ผู้แซ่หลิงหาคนอีกก็จะยากแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่ที่หุบเขาไร้กังวลแล้ว หากหันกลับออกไปก็มีความยากเย็นในระดับหนึ่ง หวังว่าทุกท่านจะใคร่ครวญมากขึ้นหน่อย ผู้แซ่หลิงจ่ายค่าตอบแทนไปแล้ว มีความจำเป็นที่จะทำร้ายทุกท่านในเวลานี้หรือ”
“……” ยังคงไม่มีสักคนพูดจา
ที่หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดมามิใช่ไม่มีเหตุผล แต่โม่เทียนเกอสามคนยังคงสีหน้าปั้นยาก การผจญภัยเป็นเรื่องหนึ่ง การถูกคนวางอุบายใส่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกเขาไม่ได้กลัวภยันตราย ทว่าโกรธที่ถูกวางอุบาย เรื่องที่อยู่เบื้องหน้านี้ มิใช่ว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อไม่น่าไว้วางใจ ทว่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานล้วนมีความทะนงตน
“พี่หลิง ท่านช่าง……” ขณะนี้เถียนจือเชียนก็ถอนหายใจแล้ว “หากท่านอธิบายล่วงหน้า ด้วยมิตรภาพนานปีของเราท่าน ข้าจะไม่ตอบตกลงเชียวหรือ เหตุใดแม้กระทั่งข้าก็ปิดบังเล่า”
หลิงอวิ๋นเฮ่ออึ้งไป หันหน้าไปมองเขา เอ่ยอย่างขออภัยว่า “พี่เถียน ไม่ได้ตั้งใจจะปิดท่านเลย ทว่า……ข้าไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายต่อท่านแน่นอน”
“อันนี้ข้าย่อมจะรู้……” เถียนจือเชียนหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าจะตามท่านเข้าไป”
หลิงอวิ๋นเฮ่อเผยรอยยิ้มออกมา “ข้าก็รู้อยู่แล้ว ท่าน……”
“พี่รอง ข้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว” หลิงอวิ๋นเฟยเอ่ย “ข้าฟังท่านมาตลอด วันนี้ก็เช่นกัน”
“อืม” หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้า ยังคงหันไปทางโม่เทียนเกอสามคน เขาครุ่นคิดหนึ่งตลบ พูดว่า “ท่านทั้งหลาย ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้เป็นไร ตอนนี้เวลาไม่ได้เร่งร้อนมาก พวกเราสามารถพักผ่อนครึ่งวันที่ประตูหุบเขา พวกท่านใช้เวลาครึ่งวันนี้ใคร่ครวญให้ดี ๆ เป็นอย่างไร ขอเพียงพวกท่านช่วยเหลือผู้แซ่หลิงเข้าหุบเขาชั้นในต่อไป นอกจากเงื่อนไขที่รับปากก่อนหน้า ตอนนี้ผู้แซ่หลิงจะมอบยาจิตนิ่งหนึ่งขวดให้พวกท่านทุก ๆ คนถือเป็นการตอบแทน ถึงแม้ว่าพวกท่านไม่ตกลงก็สามารถเดินทางออกจากหุบเขาไปเอง ผู้แซ่หลิงจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด สมบัติวิญญาณที่มอบให้พวกท่านก่อนหน้านี้ก็ไม่ขอคืน”
………………………………
*พิธีฝังเวหา/ฝังศพบนท้องฟ้า/ฝังศพกลางฟ้า (Sky burial) เป็นพิธีฝังศพของชาวธิเบต คือการปล่อยศพในที่โล่งบนภูเขาให้แร้งกิน เป็นความเชื่อทางศาสนาพุทธทางนั้น