หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 378 – ความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์
ตอนที่ 378 – ความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์
หนทาง? จะมีหนทางใดได้?
นอกจากเถียนจือเชียน อีกห้าคนที่เหลือสีหน้าแปรเปลี่ยนไป แต่ไม่มีสักคนเปิดปาก
หลิงอวิ๋นเฮ่อและหยางเฉิงจีเป็นคนที่สัมผัสถึงความแปลกประหลาดของวานรยักษ์สามหัวนี้เป็นคนแรก อันที่จริงพลังสภาวะของวานรยักษ์สามหัวนี้ก็แค่ขั้นเจ็ด ยังไม่ถึงระดับขั้นแปดจิตวิญญาณใหม่ แต่ไม่ว่าจะพลังวิญญาณหรือปราณมารไม่อาจจะโจมตีวานรยักษ์ตัวนี้ได้เลย คล้ายกับคำว่าดาบทวนไม่ระคายที่ชนชาวโลกพูดกัน
หลังจากความเงียบงันครู่สั้น ๆ เถียนจือเชียนตะโกนขึ้นมาอีกครั้งว่า “เร็วหน่อย ข้าค้ำยันไว้ไม่ได้นานมากแล้วนะ!”
ขณะนี้ วานรยักษ์สามหัวเดินมาใกล้พวกเขาหกคนแล้ว แขนข้างหนึ่งเอื้อมมาหาพวกเขา ยังดีที่มีม่านพลังของเถียนจือเชียน ส่งเสียง “หึ่ง” หนึ่งคำ โล่พลังวิญญาณบาง ๆ หนึ่งชั้นปรากฏขึ้นรอบทั้งหกคน สกัดแขนเอาไว้
วานรยักษ์กะพริบตา คล้ายกับไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้น แขนสี่ข้างนอกเหนือจากแขนสองข้างที่อยู่ด้านหลังล้วนโบกมา
“ตูม!” โล่พลังวิญญาณกับแขนปะทะกัน ส่งเสียงหนัก ๆ ออกมา
พร้อมกับเสียงดังลั่นนี้ สีหน้าเถียนจือเชียนกลายเป็นขาวซีด เขาร้องว่า “ไม่ไหว พลังรุนแรงเกินไป อย่างมากที่สุดก็สามารถค้ำยันไว้ได้ห้าครั้ง!”
หลิงอวิ๋นเฮ่อถามอย่างร้อนรนว่า “พี่เถียน ม่านพลังคุ้มครองกายของท่านมิใช่ว่าสามารถต้านทานการโจมตีของจิตวิญญาณใหม่ผู้ฝึกตนได้หลายครั้งหรอกหรือ เหตุใดครั้งนี้……”
เกิดการโจมตีอีกครั้ง เถียนจือเชียนเอ่ยหอบ ๆ ว่า “ถึงคำพูดจะเป็นเช่นนี้ แต่สัตว์ประหลาดนี่พลังอำนาจพิสดาร ไม่อาจใช้ตรรกะทั่วไป……”
“ทำอย่างไรดี” ไม่มีเวลาจะสอบถามโดยละเอียด หลิงอวิ๋นเฮ่อหันหน้าไปถามคนอื่น
คนทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ยามปกติแล้วล้วนเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองยิ่ง แต่ว่าครั้งนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อถามไม่ได้ความคิดเห็นอันใดเลย
ธงหน้าผีของหยางเฉิงจีเคยลงมือแล้ว ผลคือต้องล่าถอยโดยไร้ผลงาน ดาบหยกจันทร์เสี้ยวของหลิงอวิ๋นเฮ่อตอนนี้ยังตกอยู่ข้างนอก ไม่ได้หยิบกลับมา พัดแห่งสวรรค์และโลกาของโม่เทียนเกอขังมันไม่อยู่ เทียนฉานที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ถึงกับถูกมันโยนออกไป ผู้คนในที่แห่งนี้ นอกจากเถียนจือเชียนที่รักษาม่านพลัง มีเพียงหลิงอวิ๋นเฟยที่ไม่ได้ลงมือ กระบี่บินคู่ของเขาดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ คนอื่น ๆ ไร้ซึ่งหนทางสักนิดเดียว คิดว่าเขาก็ต้องเป็นเช่นกัน
พวกเขาหกคนล้วนถือได้ว่าเป็นผู้เยี่ยมยอดในหมู่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แต่เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่อยู่เบื้องหน้านี้ถึงกับไร้กำลังจะต่อต้าน!
“ตูม!” โจมตีอีกครั้ง
ทุกคนสีหน้าซีดเผือด หลิงอวิ๋นเฟยลังเลแล้วเอ่ยปากว่า “เจ้าตัวนี้สรุปแล้วเป็นตัวอะไร พลังวิญญาณ, ปราณมาร, อาวุธแหลมคมล้วนไม่อาจโจมตีถูกมัน หรือว่าไร้หนทางจะทำร้ายมันเลย”
หลิงอวิ๋นเฮ่อสีหน้าเคร่งขรึม เสริมมาหนึ่งประโยคว่า “แม้แต่ม่านมายายังขังมันไม่อยู่ สหายเต๋าฉิน เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”
โม่เทียนเกออึ้งไป คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาวิกฤตขนาดนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อยังสังเกตเห็นจุดนี้ นางพยักหน้า “มิผิด อาวุธเวทของจ้ายเซี่ยสามารถสร้างม่านมายา แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้กลับไม่ได้รับผลกระทบ”
คนอื่น ๆ ได้ยินแล้ว สีหน้าล้วนปั้นยากขึ้นมา
ไม่ว่าจะฝึกเซียนหรือว่าฝึกมาร วิธีการโจมตีไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าไม่กี่ชนิดนั้น หนึ่งคือการโจมตีทักษะเวทอย่างพลังวิญญาณ, ปราณมาร สองคือการโจมตีที่อาศัยอาวุธแหลมคมประเภทอาวุธเวท สามคือการโจมตีด้วยกลลวงประเภทม่านพลัง การโจมตีของหลิงอวิ๋นเฮ่อกับหยางเฉิงจีสองคนพิสูจน์แล้วว่าวิชาประเภทที่หนึ่งไม่มีประโยชน์ เทียนฉานพิสูจน์ประเภทที่สอง หากว่าโม่เทียนเกอพิสูจน์ประเภทที่สาม เช่นนั้นพวกเขาก็ไร้หนทางต่อกรกับวานรยักษ์ตัวนี้จริง ๆ แล้ว
“ตูม!” โล่พลังวิญญาณรอบตัวทั้งหกคนสั่นไหว ลำแสงสลัวลงไปมากมาย เถียนจือเชียนสีหน้ากล้ำกลืน บนใบหน้ามีเหงื่อเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วไหลลงมา นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว โล่ม่านพลังของเขาเพียงสามารถค้ำยันไว้ได้อีกสองครั้ง
“แยกย้าย!” พริบตาถัดมา หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยตัดสินใจ เขามองคนอื่น ๆ แวบหนึ่ง เอ่ยอย่างรีบเร่งว่า “ผู้แซ่หลิงจะล่อสัตว์ประหลาดตัวนี้ไป พวกท่านกลับไปที่ปากหุบเขา หากข้าไม่เป็นไรจะกลับไปหาพวกท่าน!”
“พี่รอง!” หลิงอวิ๋นเฟยตกตะลึง “เช่นนั้นท่าน……”
บนใบหน้าคนอื่น ๆ ก็ปรากฏแววประหลาดใจ ด้วยความสามารถของวานรยักษ์ตัวนี้ หากไปล่อเพียงคนเดียวเกรงแต่ว่าจะร้ายมากดีน้อย หรือว่าหลิงอวิ๋นเฮ่ออยากจะเสียสละตัวเองปกป้องคนอื่น ๆ
“ตูม!” ครั้งที่สี่
หลิงอวิ๋นเฮ่อไม่มีเวลาอธิบาย เพียงรีบพูดหนึ่งประโยคว่า “อวิ๋นเฟย คุ้มครองพี่เถียน”
“ตูม!” ครั้งที่ห้า ภายใต้การปะทะกันของโล่พลังวิญญาณกับแขนของวานรยักษ์ แสงสีขาวส่องแสงเจิดจ้าออกมา หลังจากนั้น โล่ค่อย ๆ พังทลาย หลังจากค้ำยันเอาไว้หลายอึดใจ ในที่สุดแตกสลาย หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในพริบตานี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อยื่นมือขวาออกไป ดาบหยกจันทร์เสี้ยวที่ตกอยู่บนพื้นบินกลับมาในมือของเขา เขาขว้างมันออกไป ดาบหยกนำพาพลังวิญญาณอันแหลมคมสายหนึ่งบินไปทางวานรยักษ์
“เช้ง” ดาบหยกตัดลมปราณรอบตัววานรยักษ์ขาดสะบั้น จากนั้น วานรยักษ์ยกมือ ดาบหยกหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าแขนของมัน
หลิงอวิ๋นเฮ่อขบฟัน ทำศาสตร์มุทรา พลังวิญญาณสายหนึ่งไหลเข้าไปในดาบหยก ดาบหยกบินไปข้างหน้าอีกครึ่งชุ่น แตะถูกข้อนิ้วของวานรยักษ์
“โฮ้ก!” วานรยักษ์ขู่เสียงยาว โบกมืออย่างรุนแรง สะบัดดาบหยกออกไปอีกรอบ
“อ้อก!” หลิงอวิ๋นเฮ่อกระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ แต่ครั้งนี้เขาไม่มีเวลาปรับลมหายใจแล้ว คว้าโอสถอะไรสักอย่างออกมาจากในอกเสื้อแล้วยัดเข้าปาก ร่างของเขาพุ่งออกไป ในเวลาเดียวกัน ดาบหยกบินกลับมาในมือของเขาอีกครั้ง
วานรยักษ์หมุนตัวอย่างงุ่มง่าม สายตาไล่ตามหลิงอวิ๋นเฮ่อไป สุดท้ายขยับเท้าไล่ตามหลิงอวิ๋นเฮ่อ
ทุกคนที่เหลือถอนหายใจโล่งอกพร้อมทั้งแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปทันที เลือกทิศทางหนึ่งบินหนีไป ในนี้หลิงอวิ๋นเฟยคุ้มครองเถียนจือเชียนอยู่ตลอด ร่วมรุกร่วมถอย
โม่เทียนเกอก็เลือกทิศทางมาสุ่ม ๆ ทางหนึ่ง เพิ่งจะหนีไปได้หลายสิบลี้ ข้างหูได้ยินเสียงของเฟยเฟยดังขึ้นมาว่า “เจ้านาย ข้าไปดูนะ!”
เมื่อครู่นางไม่ได้มัดปิดกระเป๋าอสูรวิญญาณ ตอนที่มันส่งเสียงออกมาก็ได้กระโดดออกมาแล้ววิ่งกลับไปทางเดิม
“เฟยเฟย!” โม่เทียนเกอหยุดแล้วไล่ตามกลับไป “เจ้าจะทำอะไร”
“เจ้านาย อย่าขยับ!” เฟยเฟยหมุนตัวมามองนาง “ข้าไม่มีอันตรายหรอก แต่ท่านไปก็ไม่แน่แล้ว”
“……” โม่เทียนเกอมองดูเฟยเฟยหมุนตัวไปอีกรอบ ร่างหายลับไปในระหว่างก้อนหินระเกะระกะอย่างปราดเปรียว นางตบศีรษะอย่างจนใจ นางลืมไปได้อย่างไรว่าเฟยเฟยมิใช่เฟยเฟยในวันวานแล้ว ตอนนี้เป็นนางเจ้านายคนนี้ที่ถูกรังเกียจ
แต่ว่า เฟยเฟยพูดอย่างนี้น่าจะไม่มีอันตรายกระมัง เฝยเฝยสามารถอยู่ร่วมกับอสูรวิญญาณอื่น ๆ อย่างสันติ แม้แต่อสูรดุร้ายก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าวานรยักษ์ตัวนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์ประหลาด ไม่รู้นับว่าอยู่ในหมวดหมู่อสูรวิญญาณหรือไม่……
คิดเยี่ยงนี้แล้ว โม่เทียนเกอลังเลขึ้นมา ยังคงบินกลับที่เก่า เพียงแค่ลดความเร็วลง
เมื่อนางกลับมาถึงตำแหน่งดั้งเดิม รอบบริเวณไม่เหลือใครสักคน คนอื่น ๆ แยกย้ายหนีเอาชีวิตรอดไปแล้ว เฟยเฟยกับวานรยักษ์ตัวนั้นก็ไม่มีร่องรอย
โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู ตั้งม่านพลังป้องกันไว้รอบตัว นั่งลงขัดสมาธิ
นางเชื่อมั่นในความสามารถของเฟยเฟย ถึงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางอยู่ที่นี่ก็สามารถสนับสนุนท่าสองท่า
ผ่านไปพักหนึ่ง รอบกายปรากฏลมปราณของผู้ฝึกตนอีกคน ระดับการฝึกตนน่าจะเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง
เงาดำสายหนึ่งยิ่งบินยิ่งใกล้ กลับเป็นเทียนฉาน
พอเห็นโม่เทียนเกอ เขาลังเลครู่หนึ่งจึงได้เดินมาข้างหน้า “สหายเต๋าฉิน ท่านไม่ได้จากไปหรือ”
“……” เรื่องราวเบื้องหน้านี้ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายกับเขาอย่างไร โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “เปล่า ข้าเพิ่งจะกลับมาเมื่อครู่นี้เอง สหายเต๋าเทียนฉานทำไมถึงได้กลับมาด้วยเล่า”
เทียนฉานมองไปรอบด้าน กล่าวว่า “จ้ายเซี่ยรออยู่เนิ่นนาน รู้สึกว่าอาจจะปลอดภัยขึ้นมาหน่อยแล้ว ดังนั้นกลับมาดู สหายเต๋าฉินเวย ท่านกลับมานานเท่าไหร่แล้ว สถานการณ์เป็นอย่างไร”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้ากลับมาไม่นาน ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
เทียนฉานเงียบไป ผ่านไปพักหนึ่งก็นั่งลงข้างกายนาง รอคอยด้วยกัน
ทั้งสองคนนั่งขัดสมาธิ รออยู่นาน ชายขอบของจิตหยั่งรู้มีลมปราณของผู้ฝึกตนมาเยือนอีกแล้ว
ผู้ที่กลับมาครั้งนี้คือหยางเฉิงจี เขาสีหน้าซีดเทา เลือดซึมมุมปาก ร่างกายโงนเงน พอเห็นโม่เทียนเกอกับเทียนฉานเขาก็ตะลึงไป ตาทั้งคู่หรี่ลง ในดวงตามีแววตื่นตัววูบขึ้น “สหายเต๋าทั้งสอง ทำไมถึงได้กลับมาเล่า”
“สหายเต๋าหยางก็มิใช่กลับมาด้วยหรอกหรือ” เทียนฉานร้องหึคำหนึ่ง ท่าทีไม่สบอารมณ์
ถูกเทียนฉานจ้วงเข้าให้อย่างนี้ ท่าทีของหยางเฉิงจีกลับอ่อนลง เขาเอ่ยว่า “ผู้แซ่หยางเจอกับอสูรมารขั้นหกตัวหนึ่งในที่ห่างไปจากที่นี่เกือบร้อยลี้ ในสถานการณ์ที่บนตัวมีอาการบาดเจ็บ ได้แต่โจมตีสังหารอย่างเต็มฝืน บินไปอีกก็ไม่รู้ว่ายังจะต้องเจอกับสิ่งของแปลกประหลาดอะไร ก็เลยหันกลับมาเสียเลย”
มิน่าเล่าเขาถึงได้ทุลักทุเลเช่นนี้ ดูท่าประสบกับการต่อสู้อันสาหัสอีกครั้งหนึ่ง
โม่เทียนเกอมองท่าทางของหยางเฉิงจี ถามว่า “อาการบาดเจ็บของสหายเต๋าหยางยังดีอยู่หรือ”
ได้ยินนางถามอย่างนี้ หยางเฉิงจีมองนางอย่างตื่นตัวแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่โตอะไร ขอเพียงพักผ่อนสักครู่ก็หายแล้ว”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “เช่นนั้นสหายเต๋าหยางฉวยโอกาสที่ตอนนี้ยังนับว่าปลอดภัย รีบพักผ่อนสักครู่หนึ่งเถิด”
หยางเฉิงจีมองดูพวกเขาสองคนอย่างระแวดระวังพักใหญ่ จนกระทั่งเทียนฉานเอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “กลัวอะไร พวกเราตอนนี้ฆ่าท่านไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงจะได้อาวุธเวทของท่านมา ออกไปไม่ได้ก็ไร้ค่า!”
พอได้ฟังวาจานี้ สีหน้าของหยางเฉิงจีจึงได้ดูดีขึ้นมาหน่อย พยักหน้าให้โม่เทียนเกอ นั่งลงภายในม่านพลังของนาง กลืนยารักษาบาดเจ็บ
โม่เทียนเกอมองเห็นแล้วอดส่ายหน้ามิได้ หันเหสายตาออกไป หยางเฉิงจีผู้นี้เทียบกับนางแล้วยังขี้ระแวงยิ่งกว่า คนอื่นทำดีกับเขา เขาไม่กล้าเชื่อ เทียนฉานไม่เกรงอกเกรงใจเขาสักนิด เขากลับหมดความระแวงแคลงใจ
ทั้งสามคนนั่งกันไปอีกครึ่งวัน ไม่มีความเคลื่อนไหวตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เห็นหลิงอวิ๋นเฮ่อกลับมา แล้วก็ไม่เห็นวานรยักษ์หันกลับ
“สหายเต๋าฉิน” เทียนฉานเรียก “จากที่ท่านเห็น ขณะนี้เป็นสถานการณ์อันใด”
โม่เทียนเกอลืมตา ใคร่ครวญชั่วขณะ เอ่ยว่า “ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี”
เทียนฉานตะลึงงัน จากนั้นถอนหายใจพลางพยักหน้า
นางพูดได้มิผิด สถานการณ์ในขณะนี้ หากมีข่าว แปดส่วนมิใช่ข่าวดี – ความสามารถของวานรยักษ์นั้นล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาเคยเห็นมากับตา หลิงอวิ๋นเฮ่อไปล่อโดดเดี่ยวคนเดียว มิใช่คู่มือของมันโดยเด็ดขาด ถึงแม้ว่าจะสามารถหลบหนีอย่างปลอดภัยก็อาจจะไม่ได้ไร้รอยขีดข่วน
คิดถึงเรื่องนี้ ทั้งสามคนล้วนเหม่อลอยอยู่บ้าง
พวกเขาก่อนหน้านี้ล้วนกังวลใจว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อจะฉีกหน้าหลังจบเรื่อง กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเต็มใจชักนำอันตรายไปเมื่อภัยพิบัติมาเยือน สรุปว่าเขามีวิชาลับในการหลบหนีหรือว่าเขาคนนี้สามารถไว้วางใจได้อย่างแท้จริง?
โม่เทียนเกอคิดไปคิดมาอยู่พักใหญ่ แอบรู้สึกทอดถอนอยู่ในใจว่าระดับการฝึกตนยิ่งสูง เรื่องราวภายนอกก็ยิ่งต้องรอบคอบ ความปรารถนาดีที่ผู้อื่นอาจจะมีให้ยิ่งไม่กล้าเชื่อถือ เมื่อครู่นี้ตอนที่เภทภัยย่างกราย หากทุกคนต่างคนต่างหนีเอาชีวิตรอด บางทีพวกเขาอาจจะไม่พะว้าพะวังอย่างในตอนนี้ ถึงอย่างไรพวกเขาถึงจะเป็นผู้ที่หลิงอวิ๋นเฮ่อเชิญมา แต่ล้วนได้รับผลประโยชน์ เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนหนหนึ่ง ไม่มีมิตรภาพ
แน่นอนว่า คิดถึงเฟยเฟยแล้ว โม่เทียนเกอรู้สึกว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อยังมีชีวิตอยู่สักแปดส่วน เพียงแค่นางก็คิดไม่ตกว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อทำการตัดสินใจอย่างนี้ สรุปแล้วเป็นเพราะสาเหตุอันใด
…………………………………….
ตอนที่ 379 – รวมตัวกันใหม่