หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 380 – เปิดอก
ตอนที่ 380 – เปิดอก
“ท่านตื่นแล้วหรือ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยังไม่ทันลืมตา ใบหูก็ได้ยินเสียงแล้ว
เสียงนี้ไม่มีจิตมุ่งร้าย รอบบริเวณก็สัมผัสเจตนาฆ่าฟันไม่ได้ ดังนั้นเขาคิดอย่างมึน ๆ งง ๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงได้ขยี้ตา ลืมตาทั้งคู่
นี่เป็นพื้นที่อันมืดสลัว เหนือศีรษะมืดมิดลึกล้ำ ไม่รู้ว่านำไปสู่ที่ใด รอบด้านเถาวัลย์พันเกี่ยวจนยุ่งเหยิง เขานอนอยู่บนพื้นดินเปียกชื้น เพียงปูชุดบาง ๆ หนึ่งชุดรองเอาไว้ เขาถึงขนาดสามารถได้กลิ่นของดินโคลน
โคจรพลังวิญญาณในร่างได้อย่างไร้อุปสรรค นี่ทำให้เขาตกตะลึง เขาได้รับบาดเจ็บภายในอยู่แต่แรก แล้วยังรับการโจมตีอีกหลายครั้ง จนสุดท้ายลมปราณสะท้อนกลับสลบไป ยังนึกว่าอาการบาดเจ็บของตนเองจะต้องสาหัสอย่างไม่ต้องสงสัย กลับคิดไม่ถึงว่าฟื้นขึ้นมาชีพจรปราณและตานเถียนยังสมบูรณ์ดี เพียงเรี่ยวแรงขาดหายไปบ้างเท่านั้น
“สหายเต๋าหลิง?” เมื่อเห็นหลิงอวิ๋นเฮ่อมึน ๆ เบลอ ๆ อยู่ตรงหน้า โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว หรือว่าเขาบาดเจ็บหนักเกินไปยังไม่ฟื้นคืน
ได้ยินเสียงของนาง สมาธิของหลิงอวิ๋นเฮ่อรวบรวมขึ้นมาช้า ๆ ในที่สุดเพ่งสายตาหยุดอยู่บนหน้าของนาง
“ที่แท้เป็นสหายเต๋าฉิน” หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้าทักทายนาง หันหน้าไปมองสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกครั้งแล้วถามว่า “เป็นท่านที่ช่วยชีวิตข้าหรือ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าเอ่ยว่า “มิใช่กำลังของข้าคนเดียว”
นางพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ หลิงอวิ๋นเฮ่อกลับเกิดความรู้สึกสำนึกบุญคุณ เขาลุกขึ้นนั่ง มองไปโดยรอบแล้วก้มหน้ามองตัวเอง ค้นพบว่าอาวุธเวทของตนเองไม่ได้สูญหาย อสูรวิญญาณนกแร้งก็อยู่ในกระเป๋าอสูรวิญญาณเป็นอย่างดี นี่จึงชวนโล่งใจอย่างแท้จริง
“นี่คือที่ไหน คนอื่นเล่า เป็นอย่างไรกันแล้ว”
“พวกเขาล้วนกำลังพักผ่อน ที่นี่เป็นโพรงต้นไม้แห่งหนึ่ง” โม่เทียนเกอตอบ
“อ้อ” หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้า ลูบคลำหน้าอกของตนเอง “อาการบาดเจ็บของข้าเป็นอย่างไร”
โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างผ่อนหนักเป็นเบาว่า “จ้ายเซี่ยพอดีมีโอสถรักษาบาดเจ็บ สหายเต๋าอวิ๋นเฟยแลกเปลี่ยนตรวจสอบของกับข้าแล้วก็ป้อนให้สหายเต๋า”
“จริงหรือ……” หลิงอวิ๋นเฮ่อกดตานเถียนของตนเอง มองดูโม่เทียนเกออย่างล้ำลึก “โอสถของสหายเต๋าฉินไม่สามัญธรรมดาโดยแท้ ผู้แซ่หลิง……ขอบคุณมาก” อาการบาดเจ็บของตัวเขาเองตนเองย่อมทราบชัด ตานเถียนมีอาการบาดเจ็บภายในซ่อนอยู่ ยิ่งบวกกับการฝึนกระตุ้นเคลื่อนไหววิญญาณแท้ในครั้งนี้หลบหนีการตามล่าของวานรยักษ์ แทบจะสามารถพูดได้ว่าถึงแม้เขาจะเก็บชีวิตกลับไป เอาชนะตำแหน่งของเจ้าสำนัก ก็จะต้องเสียเวลาหลายปีหรือแม้กระทั่งสิบกว่าปีจึงจะสามารถฟื้นฟูสู่สภาวะก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าตอนนี้โอสถของโม่เทียนเกอยับยั้งอาการบาดเจ็บของเขาทันเวลา หลงเหลือเพียงบาดแผลภายนอก หากสามารถพักรักษาตัวดี ๆ อย่างน้อยที่สุดสามารถลดเวลาให้เขากึ่งหนึ่ง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ขณะนี้บาดเจ็บไม่สาหัส ในการคัดเลือกเจ้าสำนักเขาจะมีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น
เห็นโม่เทียนเกอเพียงยิ้มโดยไม่ตอบ หลิงอวิ๋นเฮ่อถามต่อว่า “จริงสิ สรุปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกท่านหาข้าเจอได้อย่างไร แล้ววานรยักษ์ตัวนั้นเล่า”
………………………
รอจนโม่เทียนเกอเล่าเรื่องราวอย่างรวบรัดไปหนึ่งรอบ หลิงอวิ๋นเฮ่อทอดมองนาง เอ่ยอย่างปลื้มปิติว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ พูดอย่างนี้แล้ว ความโชคดีที่ใหญ่ที่สุดของผู้แซ่หลิงในการเดินทางเที่ยวนี้ก็คือการเชื้อเชิญสหายเต๋าฉินมาร่วมทาง”
ถ้าหากไม่มีโม่เทียนเกอ ถึงเขาจะหนีเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของวานรยักษ์ แต่การสลบอย่างโดดเดี่ยวในหุบเขาไร้กังวลเป็นเรื่องที่ตายเก้าเป็นหนึ่งอย่างแน่นอน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถหาเขาเจอเร็วขนาดนี้ ขณะนี้เขาเพียงรู้สึกยินดี ก่อนหน้าที่เชื้อเชิญโม่เทียนเกอเพียงรู้สึกว่านางสมบัติวิญญาณมากมาย จัดการเรื่องราวอย่างมั่นคง ระดับการฝึกตนก็ไม่เลว น่าจะสามารถลงมือช่วยเหลือ กลับคาดไม่ถึงว่าจะเกิดประโยชน์ใหญ่โตขนาดนี้
โม่เทียนเกอเพียงยิ้มบาง ๆ ต่อเรื่องนี้ สายตาเพ่งพินิจของนางตกลงบนร่างเขา จู่ ๆ ถามว่า “สหายเต๋าหลิง เหตุใดท่านถึงล่อวานรยักษ์ไปด้วยตัวคนเดียว หรือไม่กลัวว่าตนเองจะเสียชีวิต”
หลิงอวิ๋นเฮ่อนวดหว่างคิ้ว กล่าวอย่างเหนื่อยล้ายิ่งว่า “ตัวข้ามีทักษะลับอยู่บ้าง น่าจะสามารถหนีพ้น เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะบาดเจ็บสาหัสเกินไป ถึงจะหนีพ้นแต่ประคับประคองอาการไม่อยู่ไปช่วงหนึ่ง” พูดจบก็หันข้างมามองโม่เทียนเกอ “พวกท่านเล่า อาการบาดเจ็บของสหายเต๋าหยางยังดีอยู่กระมัง”
“อืม” โม่เทียนเกอเอ่ย “อาการบาดเจ็บของสหายเต๋าหยางดูแล้วถึงจะน่ากลัว แต่ไม่ได้บาดเจ็บถึงตานเถียนและชีพจรปราณ ร่างกายของพวกเขาผู้ฝึกมารทนทานกว่าพวกเรา คิดว่าจะฟื้นคืนโดยเร็ว”
“เช่นนั้นก็ดี” หลิงอวิ๋นเฮ่อโล่งอก ยิ้มบาง “เช่นนั้นพวกเรายังสามารถไปต่อ……”
“สหายเต๋าหลิง” สายตาของโม่เทียนเกอไหววูบ “ทุกสิ่งที่ท่านกระทำก็เพียงจะให้เรื่องการเสาะหาผลไร้กังวลดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มค้าง จับจ้องโม่เทียนเกอ ไม่พูดแล้วก็ไม่ขยับ
ผ่านไปพักใหญ่ เขาเบนสายตาออกไป ยังคงยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเพียงสามารถบอกได้ว่า ในระหว่างที่พวกเรายังเป็นพวกพ้อง ท่านสามารถไว้ใจข้า”
โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าเขาพูดว่าท่าน มิใช่พวกท่าน นี่ทำให้นางขมวดคิ้ว “สหายเต๋าหลิงเหตุใดจึงพูดอย่างนี้ หรือจะรู้สึกว่าคนอื่น ๆ ไว้ใจไม่ได้”
หลิงอวิ๋นเฮ่อส่ายหน้า มองนางอย่างค่อนข้างมีความหมายล้ำลึก กล่าวว่า “สหายเต๋าฉิน คนอื่นไว้ใจได้หรือไม่ ท่านเองก็ทราบ”
โม่เทียนเกอเงียบงัน พวกเขาล้วนเป็นชนชั้นหัวกะทิในผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ด้วยเหตุนี้ไม่กล้าไว้ใจคนอื่น แล้วก็ไม่อาจไว้ใจโดยง่าย
ข้ามหลิงอวิ๋นเฟยและเถียนจือเชียนไป เทียนฉานลึกลับเกินไป หยางเฉิงจีขี้ระแวงเกินไป ส่วนนางก็ระแวดระวังเกินไป อันที่จริงแล้วก็ไว้ใจไม่ได้สักคน
แต่วาจาเมื่อครู่ของหลิงอวิ๋นเฮ่อกลับมีความหมายว่าเห็นนางเป็นคนที่ไว้ใจได้
โม่เทียนเกอจับจุดวิธีคิดของเขาไม่ได้อยู่บ้าง นางเอียงศีรษะคิด ถามตรง ๆ ว่า “หรือท่านรู้สึกว่าข้าไว้ใจได้”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มบาง ๆ ถอนหายใจอย่างอ่อนล้าอีกครั้ง – ณ ขณะนี้เขาคล้ายกับจะไม่ใส่ใจเลยสักนิดถึงการแสดงความเหนื่อยล้าของตนเองออกมาต่อหน้าโม่เทียนเกอ
“ข้าถูกเลือกเป็นหนึ่งในตัวเลือกเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเยี่ยน ย่อมจะมีความเข้าใจต่อผู้คนอยู่บ้าง คนอย่างสหายเต๋าฉินแลกเปลี่ยนได้โกงไม่ได้ หากปฏิบัติด้วยมารยาทก็จะได้รับมารยาทกลับคืน แต่หากหวาดระแวงอยู่ทุกขณะกลับจะทำให้สหายเต๋ารู้สึกรังเกียจ สหายเต๋าฉิน ผู้แซ่หลิงพูดถูกหรือไม่”
บนใบหน้าโม่เทียนเกอปรากฎความประหลาดใจวาบผ่าน แม้แต่ตัวนางเองยังไม่เคยคิดละเอียด แต่ข้อสรุปเยี่ยงนี้ของหลิงอวิ๋นเฮ่อนางคิดโดยละเอียดแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ผิด คนไม่ล่วงเกินข้า ข้าไม่ล่วงเกินคน หากคนล่วงเกินข้าก็ฆ่าได้เลย
เมื่อเห็นสีหน้าบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ หลิงอวิ๋นเฮ่อก็ยิ้ม รอยยิ้มครั้งนี้ไม่เหมือนกับแบบปกติที่ถึงจะสนิทสนมแต่ก็กีดกันผู้คนไปไกลเป็นพันลี้ เจือความภาคภูมิใจของเด็กน้อยนิดหน่อย รวมทั้งการปลดปล่อยผ่อนคลายอย่างไร้ภาระ
“ข้าพูดตรงกระมัง”
โม่เทียนเกอมองยอดไม้พักใหญ่ สุดท้ายเผยรอยยิ้มจนใจ “หากว่าไม่รู้ยังนึกว่าสหายเต๋ากับข้ารู้จักกันมานานแล้ว”
รอยยิ้มบนหน้าหลิงอวิ๋นเฮ่อยิ่งกว้างขึ้น เขายิ้มอยู่สักครู่แล้วพูดว่า “สหายเต๋าฉิน ทำไมท่านไม่เป็นบุรุษเล่า”
“เอ๊ะ?” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจความหมาย
หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยต่อ “มิใช่ว่าข้าดูแคลนสตรี จริง ๆ แล้ว……”
เขาหยุดชะงักไปครึ่งค่อนวันก็ไม่ได้พูดวาจาตามหลังออกมา แต่โม่เทียนเกอเข้าใจความหมายของเขาอยู่บ้าง การคบหาของคนเพศเดียวกันสะดวกกว่าเพศตรงข้ามอยู่บ้างเสมอ แล้วก็กลายเป็นคนรู้ใจกันได้ง่ายกว่า
เวลานี้ นางจู่ ๆ คิดถึงเนี่ยอู๋ชางขึ้นมา หากมิใช่ว่าจุดยืนของทั้งสองคนอยู่ตรงกันข้ามกันและบุญคุณความแค้นที่พูดได้ไม่ชัดเจนเหล่านั้น บางทีนางอาจจะสามารถกลายเป็นคนรู้ใจกับเนี่ยอู๋ชางได้กระมัง ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด เสาะหาวิธีการควบคุมปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนตัวตนเองได้หรือไม่
“สหายเต๋าฉิน?”
“หืม?” โม่เทียนเกอได้สติกลับมา
สายตาของหลิงอวิ๋นเฮ่อวนอยู่บนตัวนาง ถามว่า “ท่านกำลัง……คิดถึงคนอื่นหรือ”
“เอ๊ะ?” พอโดนสายตาของหลิงอวิ๋นเฮ่อ โม่เทียนเกอก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิด แต่ว่า ความเข้าใจผิดนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ดังนั้นนางจึงเงียบยอมรับ
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง ในดวงตาหลิงอวิ๋นเฮ่อปรากฏความผิดหวังที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจวาบผ่าน เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ เขาใจเต้นขึ้นมาทันที นี่เขา……
โชคดีที่เขาได้ยินคำถามของโม่เทียนเกอทันเวลา “……ในเมื่อสหายเต๋าหลิงเข้าใจผู้คน เช่นนั้นรู้สึกว่าคนอื่นเป็นอย่างไร”
หลิงอวิ๋นเฮ่อคิดแล้วเอ่ยว่า “สหายเต๋าหยางผู้นั้นเป็นคนที่อวิ๋นเฟยแนะนำ ตัวเขาในหมู่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานของอวิ๋นจงเราก็นับว่าชื่อเสียงลือเลื่อง อย่าได้นึกว่าเขาเพียงก่อเกิดตานขั้นต้นก็จะดูเบาเขา เขาในฐานะที่เป็นศิษย์อันภาคภูมิของประมุขมารกุ่ยฟางหนึ่งในสามประมุขมารใหญ่ของอวิ๋นจงเรา คุณสมบัติย่อมไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งว่ากันว่าประมุขมารกุ่ยฟางมองเขาเป็นศิษย์สายตรง ทักษะลับทั้งหมดถ่ายทอดไปจนสิ้น ขอเพียงเขาผูกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ หลังจากประมุขมารกุ่ยฟางวางมือ เขาก็จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองกุ่ยฟาง”
“เมืองกุ่ยฟาง?”
“อ้อ” หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มเอ่ยว่า “ข้าลืมอีกแล้ว สหายเต๋าฉินมิใช่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจง ไม่ได้เข้าใจโลกฝึกเซียนของอวิ๋นจงเรามาก พวกเขาผู้ฝึกมารกับพวกเราไม่เหมือนกันอย่างมาก พวกเขาเชิดชูความสามารถส่วนบุคคลมากกว่า ดังนั้นสำนักใหญ่อย่างที่พวกเราเรียกกันมีไม่มาก กลับเป็นแดนมารที่ผู้ฝึกมารผู้เลิศล้ำก่อตั้งขึ้นจะแข็งแกร่งกว่าบ้าง เมืองกุ่ยฟางก็คือแดนมารแห่งหนึ่งที่ประมุขมารกุ่ยฟางก่อตั้งขึ้นเมื่อพันปีก่อน ที่อาณาจักรเป่ยหลินหรือแม้กระทั่งทั่วทั้งอวิ๋นจงล้วนครอบครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ พูดได้ว่าหยางเฉิงจีในฐานะศิษย์รักของประมุขมารกุ่ยฟางมีอิทธิพลอย่างมากที่อวิ๋นจง”
“ถึงกับเป็นเช่นนี้……” โม่เทียนเกออารมณ์สั่นคลอน “ในเมื่อสหายเต๋าหยางผู้นี้มีศักดิ์ฐานะอย่างนี้ คิดว่าไม่มีอะไรที่ต้องการ ทำไมยังต้องเสี่ยงอันตรายแลกเปลี่ยนกับสหายเต๋าหลิงด้วยเล่า”
ได้ยินคำถามนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อถอนหายใจเบา ๆ สายตาเผยความเหนื่อยล้าอีกครั้ง “ไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น หลังพิงต้นไม้ใหญ่ ถึงจะเย็นสบายใต้ร่มเงา แต่มีคนมากเกินไปที่แย่งชิงร่มไม้เล็ก ๆ นั่น ย่อมมีความขัดแย้งอยู่เสมอ ศักดิ์ฐานะที่งดงามอีกเท่าไหร่ก็ไม่สามารถกระทำตามใจปรารถนา”
เห็นสีหน้าของเขา คิดเชื่อมโยงถึงเรื่องแก่งแย่งในสกุลหลิงที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ โม่เทียนเกอตระหนักขึ้นมา มองจากคนนอก หลิงอวิ๋นเฮ่อนับว่าชีวิตงดงามมาก ศิษย์อัจฉริยะ บรรพบุรุษรักถนอม สำนักเห็นความสำคัญ สามารถเคลื่อนย้ายทรัพยากรมากมายขนาดนั้น เข้าร่วมการคัดเลือกเจ้าสำนัก แต่เพื่อสิ่งนี้ เขากับพี่ร่วมเผ่าพันธุ์ไม่ลงรอยกัน แก่งแย่งในที่แจ้งต่อสู้ในที่ลับ ถึงขนาดยังได้รับบาดเจ็บ เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้จึงแกล้งทำเป็นไม่อาจฟื้นฟูระดับการฝึกตนและมีสภาพตกต่ำ ความหดหู่จนใจนี้ คนนอกยากนักจะเข้าใจ
โม่เทียนเกอถึงแม้จะเป็นศิษย์สำนักใหญ่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นซือฟุของนางหรือว่าฉินซีล้วนไม่ได้เข้าร่วมการแย่งชิงอำนาจ แล้วก็ไม่มีภาระของตระกูล ดังนั้นผ่อนคลายเป็นอิสระมาโดยตลอด จู่ ๆ นางคิดขึ้นมาว่าซือฟุในฐานะผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้วยังมีรุ่นเยาว์อย่างฉินซี ถึงกับไม่เคยคิดที่จะตั้งตระกูลฝึกเซียนขึ้นมาเลย หรือว่าจะเป็นเพราะสาเหตุเช่นนี้
“ประมุขมารกุ่ยฟางไม่ได้มีเขาเป็นศิษย์เพียงคนเดียว ก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับความสำคัญที่สุด ดังนั้นมีเรื่องบางประการที่กระทำได้ยากยิ่งกว่า” หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้ม ๆ กล่าวต่อว่า “สำหรับสหายเต๋าเทียนฉานผู้นั้น……” เขาใคร่ครวญชั่วครู่ ส่ายหน้า “คนคนนี้เป็นผู้ที่ข้าพบโดยบังเอิญ ความแข็งแกร่งโดดเด่นถึงสิบส่วน แต่ลึกลับเกินไป จนถึงตอนนี้เป็นมิตรหรือศัตรู ข้ายังมองไม่ทะลุ”
พูดถึงตรงนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อใช้สายตาที่แฝงความหมายลึกล้ำชนิดนั้นมองดูโม่เทียนเกออีกครั้ง “แต่คิดว่าสหายเต๋าฉินกับสหายเต๋าเทียนฉานผู้นี้มีมิตรภาพไม่เลวทีเดียว”
โม่เทียนเกอยิ้มเฉย ไม่อธิบายมากความ “เช่นนั้นท่านน้องชายและสหายเต๋าเถียนผู้นั้นเล่า”
หลิงอวิ๋นเฮ่อตะลึงไป “พวกเขา……มีอะไรต้องพูดหรือ”
โม่เทียนเกอผงกศีรษะอย่างเข้าใจ “ดูท่าพวกเขาเป็นคนที่สหายเต๋าหลิงไว้วางใจที่สุด”
“นั่นย่อมแน่นอน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่เรียกพวกเขามาด้วยหรอก” หลิงอวิ๋นเฮ่อกล่าว “อวิ๋นเฟยสนิทสนมกับข้าแต่เล็ก พวกเราอยู่เรือนรองสกุลหลิงเหมือนกัน อายุใกล้กัน ตั้งหลายปีขนาดนี้ สนับสนุนกันและกันมาโดยตลอดจนเติบใหญ่ ส่วนพี่เถียน พวกเราก็เป็นสหายกันมาหลายปีแล้ว สำหรับข้า เขายังพึ่งพาได้ยิ่งว่าคนร่วมแซ่ร่วมสำนักบางคนเสียอีก พูดได้ว่า พวกเขาสองคนเป็นคนที่ข้าไม่ต้องไประแวดระวังเลย”
วาจาประดานี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดอย่างเปิดอก คล้ายกับว่าไม่มีการซ่อนเร้นสักเศษเสี้ยว ความเชื่อมั่นอย่างนี้ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเกินไปอยู่บ้าง นางคิดว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อพูดถูก นิสัยของนาง คนอื่นเชื่อใจนาง นางจะกระทำเรื่องที่หักหลังความเชื่อใจเหล่านั้นไม่ออก…… นี่ไม่ดีเลย เขายิ่งพูดมาก นางมิใช่ว่าจะยิ่งถูกผูกมัดหรือ
…………………………..