หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 381 – แสงแห่งสามปราณ
ตอนที่ 381 – แสงแห่งสามปราณ
“สหายเต๋าฉิน!” เมื่อพบว่ามีคนเข้าใกล้ ทั้งสองคนหยุดการสนทนาอย่างรวดเร็ว จากนั้น เสียงของเทียนฉานก็ดังขึ้นข้างนอก
“สหายเต๋าเทียนฉาน?” โม่เทียนเกอร้อง
พอได้รับคำตอบ เทียนฉานก็เดินเข้ามาในโพรงต้นไม้ พยักหน้าให้ทั้งสองคน “ดูท่าอาการบาดเจ็บของสหายเต๋าหลิงไม่เป็นไรแล้ว”
หลิงอวิ๋นเฮ่อเผยรอยยิ้มที่สนิทสนมทว่าห่างเหินชนิดนั้นออกมาอีกครั้ง “รบกวนสหายเต๋าเทียนฉานเป็นห่วงแล้ว คนอื่นเล่า เป็นอย่างไรกันบ้าง”
“ดีมาก” ดวงตาทั้งคู่ซึ่งเป็นอย่างเดียวที่เทียนฉานเปิดเผยออกมาหยุดอยู่บนร่างทั้งสองคน แล้วเคลื่อนย้ายออกไปเสมือนไร้เรื่องราว “สหายเต๋าหยางบอกว่าเขาไม่เป็นไรแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” หลิงอวิ๋นเฮ่อผงกศีรษะ โคจรพลังวิญญาณในกายอีกครั้ง ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นพวกเรามาประชุมกัน”
หลังหลิงอวิ๋นเฮ่อเดินออกไป สายตาของเทียนฉานตกลงบนตัวโม่เทียนเกอ โม่เทียนเกอยิ้มอย่างไม่แยแส บทสนทนาเมื่อครู่นี้ของนางกับหลิงอวิ๋นเฮ่อไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสัญญาพันธมิตรระหว่างนางกับเทียนฉาน หากหลิงอวิ๋นเฮ่อไม่ฉีกหน้า นางกับเทียนฉานก็ไม่จำเป็นต้องแตกหัก หากหลิงอวิ๋นเฮ่อมีความคิดเป็นอื่นขึ้นมาจริง ๆ นางย่อมจะไม่ยั้งมือรอความตายเพราะวาจาไม่กี่คำนี้ของเขา
ทั้งสามคนที่ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเองออกไปจากโพรงต้นไม้
โพรงต้นไม้นี้คือสิ่งที่พวกเขาค้นพบตอนที่หาหลิงอวิ๋นเฮ่อเจอ ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้งอกเงยอยู่ระหว่างพื้นที่ของพลังวิญญาณกับพื้นที่ของปราณมาร แต่ไม่ได้รับผลกระทบจากทั้งสองลมปราณวิญญาณและมาร ไม่รู้ว่างอกเงยอยู่ที่นี้มากี่ปีแล้ว ก่อเกิดโพรงต้นไม้ตามธรรมชาติ ใช้วางหลิงอวิ๋นเฮ่อที่บาดเจ็บสาหัสได้พอดี
ส่วนคนอื่น ๆ หยางเฉิงจีไปรักษาบาดเจ็บตรงที่ที่ปราณมารควบรวมคนเดียว หลิงอวิ๋นเฟยหลังจากจัดแจงหลิงอวิ๋นเฮ่อก็ปรับลมหายใจอยู่ที่ที่มีพลังวิญญาณใกล้เคียง
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอตรึกตรองขึ้นมา นางมาดูหลิงอวิ๋นเฮ่ออย่างนี้ เทียนฉานตามมาติด ๆ ส่วนหลิงอวิ๋นเฮ่อบนร่างกายมีอาการบาดเจ็บ หรือว่าหลิงอวิ๋นเฟยไม่กังวลใจเลยสักนิด นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อเหมือนจะไว้วางใจหลิงอวิ๋นเฟยจนเกินไป ไว้ใจจนคล้ายกับว่าเป็นมือเป็นเท้าของตนเอง ไม่เพียงไม่เกิดใจระแวงสักเศษเสี้ยว ถึงขนาดที่ว่าคล้ายจะไม่เคยคิดจะใช้วิธีการตบตาเลย…… หวังเพียงว่าความไว้ใจอย่างนี้ของเขาสามารถได้ผลลัพธ์ตอบแทน
“พี่รอง!” เมื่อเห็นหลิงอวิ๋นเฮ่อ หลิงอวิ๋นเฟยพุ่งปราดมาอย่างประหลาดใจแกมยินดี “ท่านไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ หรือ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มบางให้เขา “อืม โอสถของสหายเต๋าฉินมีประสิทธิภาพมหัศจรรย์โดยแท้”
“ใช่แล้ว ยังต้องขอบคุณสหายเต๋าฉินมาก” หลิงอวิ๋นเฟยคำนับให้โม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “สหายเต๋าอวิ๋นเฟยไม่ต้องเกรงใจมาก ข้าเอาโอสถออกมาก็ได้รับสิ่งของของท่านเช่นกัน” โอสถรักษาบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของหลิงอวิ๋นเฟยไม่มีประสิทธิภาพเลย จึงใช้วัตถุดิบจำนวนหนึ่งแลกกับคนอื่น สุดท้ายเป็นโม่เทียนเกอหยิบโอสถของตนเองออกมา
พวกเขาสองพี่น้องพูดคุยกันอีก หลิงอวิ๋นเฟยวิ่งไปหาหยางเฉิงจีด้วยตนเองอย่างตื่นเต้น อย่างรวดเร็ว ทั้งหกคนมาชุมนุมกันอีกรอบ
“สหายเต๋าหยาง อาการบาดเจ็บท่านเป็นอย่างไร” หลิงอวิ๋นเฮ่อถามหยางเฉิงจีอย่างห่วงใย ปราณมารบนร่างเขาสลายไปกว่าครึ่ง เปิดเผยใบหน้าดื้นรั้นที่ซีดเผือดออกมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นใบหน้าแท้จริงของหยางเฉิงจีแล้ว แต่โม่เทียนเกอยังรู้สึกว่าน่าสนใจมาก ตอนที่ปราณมารปกคลุม หยางเฉิงจีรักษาภาพพจน์อันสงบนิ่งอยู่ตลอด ผลคือกลับค้นพบว่าเขายังเป็นเด็กหนุ่มมีความอ่อนเยาว์อย่างนี้ นี่ก็ตรงข้ามกันเกินไปแล้ว
“ไม่เป็นอุปสรรค” หยางเฉิงจีเสียงต่ำทุ้ม สีหน้าว่างเปล่า “สหายเต๋าหลิงอยากออกเดินทางต่อไปเมื่อใดก็ได้ทุกเมื่อ”
“อืม” หลิงอวิ๋นเฮ่อมองคนอื่น ๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้แซ่หลิงก็ไม่กล่าววาจาไร้สาระแล้ว พวกเราชักช้ามาหลายวันแล้ว อยู่ที่หุบเขาไร้กังวลนี้มากไป ถึงจะมีไข่มุกเทพต้องห้ามก็จะเกิดผลกระทบต่อระดับการฝึกตนของตัวเอง พวกเราออกเดินทางเถอะ เดินไปคุยไป”
“พี่หลิง อาการบาดเจ็บของท่านเล่า” เถียนจือเชียนถาม “ถึงท่านจะกดอาการบาดเจ็บ แต่หากลงมือก็คล้ายจะไม่มีเรี่ยวแรงอย่างที่ใจต้องการกระมัง”
“ไม่เป็นไร” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ย “โอสถของสหายเต๋าฉินยอดเยี่ยมถึงสิบส่วน ตอนนี้ตานเถียนและชีพจรปราณล้วนถูกคุ้มครองไว้แล้ว ข้ากินโอสถรักษาบาดเจ็บอีกหน่อย คิดว่าการลงมือยังไม่มีปัญหา อย่างมากที่สุดหลังกลับไปแล้วก็ยุ่งยากอยู่บ้าง”
“ถึงกับเป็นเช่นนี้” เถียนจือเชียนมองโม่เทียนเกออย่างเหนือคาด “คิดไม่ถึงว่าสหายเต๋าฉินไม่เพียงอาวุธเวทโดดเด่น อีกทั้งยังมีโอสถวิเศษเช่นนี้” เดิมเขานึกว่าเป็นเพียงโอสถรักษาบาดเจ็บที่มีประสิทธิภาพแข็งแกร่งหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าถึงกับสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของตานเถียนและชีพจรปราณ……
โม่เทียนเกอยิ้มทว่าไม่เอ่ยวาจา คน ณ ที่แห่งนี้ ใครเล่าจะไม่มีสมบัติวิญญาณอยู่บ้าง? ไม่ใช่นางคนเดียวเสียหน่อย
……
หลังจากตกลงกันอย่างเรียบง่าย หลังจากทุกคนเก็บข้าวของแล้วก็ออกเดินทางกันอีกรอบ
หลิงอวิ๋นเฮ่อบอกว่า ผลไร้กังวลอาจจะงอกอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็ได้ในหุบเขาชั้นในของหุบเขาไร้กังวล แถมยังจะมุดดินหนีอย่างสิ่งมีชีวิต ดังนั้นพวกเขานอกจากเดินไปทั่วหุบเขาไร้กังวลก็ไร้หนทางอื่น ส่วนหุบเขาไร้กังวลก็ใหญ่เกินไป กระบวนการเสาะหาวัตถุนี้ไม่ง่ายดายเด็ดขาด ก่อนจะบังเอิญเจอวานรยักษ์สามหัว พวกเขาเพิ่งจะเข้าหุบเขาชั้นใน สถานที่ที่เดินผ่านยังไม่มาก เริ่มจากตอนนี้ สถานที่ที่จะต้องเสาะหามีมากมาย ไม่สามารถเสียเวลาอีกแล้ว
หลิงอวิ๋นเฮ่อและหยางเฉิงจีสองคนบนตัวมีอาการบาดเจ็บจึงรั้งอยู่ข้างหลัง ปล่อยให้หลิงอวิ๋นเฟยและเทียนฉานสองคนเปิดทาง พวกเขากับเถียนจือเชียนเดินอยู่ตรงกลาง โม่เทียนเกอรั้งท้ายสุด
เดินไปพักหนึ่ง เถียนจือเชียนหันหน้ามามอง จงใจหยุดฝีเท้ารอโม่เทียนเกอเดินตามมา “สหายเต๋าฉิน”
โม่เทียนเกอจับตามองสถานการณ์รอบด้านอย่างตื่นตัวพลางพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย “สหายเต๋าเถียน มีธุระหรือ”
เถียนจือเชียนลังเลชั่วครู่แล้วจึงกล่าวว่า “ตอนที่พวกเราเจอวานรยักษ์หลายวันก่อน ข้าเห็นอาวุธเวทของสหายเต๋าฉินคล้ายกับจะเป็นอุปกรณ์เวทม่านพลังชิ้นหนึ่งหรือ”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ไม่สามารถนับว่าเป็นอุปกรณ์เวทม่านพลัง เพียงแฝงความสามารถของม่านมายา”
เถียนจือเชียนดวงตาเปล่งประกาย “อาวุธเวทอย่างนี้พบเห็นได้ไม่มาก ไม่ทราบสหายเต๋าฉินบอกข้าโดยละเอียดได้หรือไม่” เขาเสริมอีกหนึ่งประโยคทันทีว่า “หากไม่สะดวกสหายเต๋าก็คุยเรื่องวิชาม่านพลังกับข้าเฉย ๆ เถอะ เรื่องของอาวุธเวทก็ช่างมัน”
โม่เทียนเกอยังไม่ได้พูดอะไร หลิงอวิ๋นเฮ่อที่เดินอยู่ด้านหน้าพวกเขาหันหน้ากลับมาเอ่ยว่า “สหายเต๋าฉิน พี่เถียนคนนี้ของข้าทั้งชีวิตไม่มีงานอดิเรกอะไร แค่ชอบวิจัยเต๋าแห่งม่านพลัง วันนี้เขาเห็นแล้วก็หัวใจคันคะเยอ หากท่านไม่บอกเขา เขาจะคันที่หัวใจไปอีกหลายวัน หากไม่มีความลับไม่ที่ถ่ายทอดอะไร สหายเต๋าก็บอก ๆ ไปเถิด”
“นี่ไม่ได้มีอะไรที่ไม่อาจบอก” โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เอ่ย “แค่ตอนที่หลอมสร้างอาวุธเวทเพิ่มรูปแบบการตั้งม่านพลังจำนวนหนึ่งเท่านั้นเอง สหายเต๋าเถียน วิชาม่านพลังอย่างนี้ทุกคนฟัง ๆ ดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรแล้ว”
ถัดจากนั้นโม่เทียนเกอบ่งบอกส่วนของม่านมายาในพัดแห่งสวรรค์และโลกาต่อเถียนจือเชียนง่าย ๆ อันที่จริงม่านมายาในพัดแห่งสวรรค์และโลกาไม่ได้นับว่าซับซ้อนเลย เพียงแต่ว่านี่เป็นอาวุธเวทคู่ชีพ สามารถบ่มเพาะในตานเถียนได้ตลอด หากมีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมก็สามารถปรับแก้ได้ตลอด ดังนั้นถึงแม้ว่าจะบอกกับเถียนจือเชียนตอนนี้ เขาก็ไม่สามารถทำลายม่านมายาของพัดแห่งสวรรค์และโลกาทันที ถึงอย่างไรเต๋าแห่งม่านพลังเน้นหนักที่การใช้งานจริง เต๋าแห่งห้าธาตุอินหยางอันเป็นพื้นฐาน แม้แต่ปรมาจารย์ม่านพลังระดับหลอมรวมพลังวิญญาณยังทราบกระจ่างประดุจหลังฝ่ามือ แต่การจะปรับใช้ม่านพลังต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแก่น รวมทั้งการเกาะกุมพลังวิญญาณอันละเอียดอ่อน ในจุดนี้ ข้อได้เปรียบของพัดแห่งสวรรค์และโลกาเห็นได้อย่างชัดเจน มันสามารถแปรเปลี่ยนไปตามเจตจำนงของเจ้านาย ม่านพลังที่ตั้งออกมาทุก ๆ ครั้งล้วนไม่เหมือนกัน ขอเพียงเกาะกุมพื้นฐานของม่านมายา พัดแห่งสวรรค์และโลกาจะสามารถแปรเปลี่ยนนับพันนับหมื่นตามแต่ใจจะปรารถนา
เถียนจือเชียนฟังจนสองตาเจิดจ้า พยักหน้ารัว ๆ “ผู้ฝึกตนของหุบเขาห้าธาตุเรา อาวุธเวทคู่ชีพโดยมากแล้วเป็นอุปกรณ์ตั้งม่านพลัง แต่ไม่มีอันไหนเป็นอย่างของสหายเต๋าฉิน ขยับหรือนิ่งได้เหมาะทั้งสิ้น โจมตีป้องกันรวมเป็นหนึ่ง ไม่เพียงสามารถตั้งม่านพลังทุกเมื่อ ยังสามารถใช้ทักษะเวททำลายศัตรู ที่แท้สหายเต๋าฉินมีความสำเร็จด้านวิชาม่านพลังสูงส่งลึกล้ำเยี่ยงนี้ การสนทนากันครานี้ทำให้จ้ายเซี่ยได้รับประโยชน์นัก ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก” ว่าแล้วก็กุมมือคำนับซ้ำ ๆ
โม่เทียนเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางว่า “ในด้านเต๋าแห่งม่านพลัง ถึงข้าจะมีพื้นฐานการเรียนรู้ของสกุล แต่ถึงที่สุดแล้วมิใช่ปรมาจารย์ม่านพลังอย่างสหายเต๋าเถียน การที่สามารถหลอมสร้างอาวุธเวทอย่างนี้ออกมาก็เป็นเพราะการชี้แนะของผู้อาวุโส มิใช่กำลังตัวคนเดียวเลย”
“อ้อ?” เถียนจือเชียนยิ่งตื่นเต้น “มิทราบสกุลของสหายเต๋าฉินพำนักที่ใด จ้ายเซี่ยไปเยี่ยมเยือนถึงประตูได้หรือไม่”
“นี่……” โม่เทียนเกอส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “สหายเต๋าเถียนน่าจะทราบว่าจ้ายเซี่ยพำนักอยู่ที่โพ้นทะเลมานานแล้ว ห่างจากอวิ๋นจงไกลนัก เกรงว่าจะไม่สะดวก”
“อ้อ……” ใบหน้าเถียนจือเชียนเผยแววผิดหวัง
“พี่เถียน!” หลิงอวิ๋นเฮ่อหันหน้ากลับมายิ้มเอ่ยว่า “อย่างมากหลังเสร็จธุระแล้วพวกเราก็เชิญสหายเต๋าฉินไปพักที่สกุลหลิงสักช่วง พวกท่านสองคนสนทนาแลกเปลี่ยนเต๋าแห่งม่านพลังมาก ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน”
“พูดได้ไม่ผิด” เถียนจือเชียนดีใจขึ้นมาใหม่ กุมมือรัว ๆ ให้โม่เทียนเกอ “สหายเต๋าฉิน อย่าปฏิเสธเลย จ้ายเซี่ยยังอยากจะเชิญสหายเต๋าฉินไปที่หุบเขาห้าธาตุเรา แลกเปลี่ยนวิชากับข้าและศิษย์พี่ศิษย์น้องมาก ๆ!”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง “สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนกับปรมาจารย์ม่านพลังของหุบเขาห้าธาตุก็เป็นเกียรติของข้า”
“เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันตามนี้!” เถียนจือเชียนกลัวว่านางจะเสียใจภายหลังจึงรีบพูดออกมา
“……” โม่เทียนเกอยิ้มอย่างจนใจ ถึงนางจะเชี่ยวชาญเต๋าแห่งม่านพลัง แต่ไม่จำเป็นว่าจะไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่างเถียนจือเชียน แต่เขาได้ยินว่ายังมีวิธีใช้ม่านพลังที่ตนเองไม่รู้ก็กระหายอยาก ขอคำชี้แนะอย่างร้อนรน เป็นคนหมกมุ่นโดยแท้
“พี่รอง!” หลิงอวิ๋นเฟยหันหน้ากลับมา เอ่ยอย่างลังเลอยู่บ้างว่า “ข้างหน้าคล้ายกับจะมีสิ่งของ”
เรื่องนี้โม่เทียนเกอรู้แต่แรกแล้ว ลมปราณข้างหน้าเคลื่อนไหวอย่างไม่ปกติ จิตหยั่งรู้ของหลิงอวิ๋นเฮ่อเทียบกับนางแล้วไม่ด้อยกว่า คิดว่าจะต้องค้นพบแต่แรกแล้วเช่นกัน แต่เขาสีหน้าเป็นปกติ น่าจะมาตรการตอบโต้แต่แรกแล้ว
ตามคาด หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยโดยสงบนิ่งว่า “ข้ารู้ ไปต่อ”
“อ้อ” หลิงอวิ๋นเฟยหันหน้ากลับ เปิดทางต่อ
เดินไปอีกช่วงหนึ่ง ข้างหน้าปรากฏป่าหินที่มีหินประหลาดตั้งตระหง่าน หลิงอวิ๋นเฟยกับเทียนฉานสองคนหยุดอยู่กับที่
“พี่รอง นี่คือ……”
เห็นเพียงว่าระหว่างหินประหลาดของป่าหินเต็มไปด้วยแสงวิญญาณและแสงมารที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ยังมีฝุ่นแสงของปราณโสมมล่องลอย
โม่เทียนเกอมีชีวิตมาจนทุกวันนี้ยังไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่ประหลาดพิสดารเช่นนี้เลย ที่หุบเขาชั้นในของหุบเขาไร้กังวล พลังวิญญาณ, ปราณมาร, ปราณโสมมทับซ้อนแบ่งแยก คล้ายกับเป็นเส้นแบ่งเขตที่วาดบนกระดานหมากรุก ต่างฝ่ายต่างมีดินแดนของตนเอง ไม่แทรกแซงกันและกัน ส่วนหุบชั้นนอกเป็นสามปราณผสมปนเป ลมปราณอลหม่าน ทำให้พวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนพอเข้าไปข้างใน ลมปราณบนร่างตนเองก็จะได้รับผลกระทบและไม่เสถียร ต้องอาศัยความช่วยเหลือของไข่มุกเทพต้องห้ามรวมทั้งม่านพลังของเถียนจือเชียนจึงสามารถแสดงพลังฝีมือตามปกติออกมา
แต่ในป่าหินนี้กลับไม่เหมือนที่อื่น ๆ ของหุบเขาชั้นนอกและหุบเขาชั้นในโดยสิ้นเชิง จะบอกว่าลมปราณมันผสมปนเป ลมปราณสามชนิดล้วนกลายเป็นแสงวิญญาณล่องลอยอยู่กลางอากาศ แบ่งเป็นเม็ด ๆ อย่างชัดเจน จะบอกว่าลมปราณมันสงบเสถียร ปราณวิญญาณมารโสมมนี้กลับคลุกเคล้าอยู่ด้วยกัน คนทั่วไปไม่อาจเหยียบย่างเข้าไปเลย!
ภาพเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้านี้คล้ายกับการเทสีสามชนิดลงไปในน้ำ หลังจากคนแล้วก็จะผสมกันจนกลายเป็นสีสันชนิดใหม่ แยกออกจากกันไม่ได้แล้ว ทว่าพอไปดูอย่างละเอียด แสงของสามปราณพวกนี้แบ่งเป็นเม็ด ๆ อย่างชัดเจน อยู่ห่างจากกันในระยะพอ ๆ กัน แล้วยังประดุจถักทอเป็นตาข่ายผืนหนึ่ง ตาข่ายที่ขวางทางไปของทุกผู้คน
“นี่จะผ่านไปอย่างไร” เทียนฉานพูดกับตัวเอง เขาหันหน้ามองรอบด้าน บริเวณโดยรอบไม่มีทางออกอื่นเลย บินขึ้นไปในอากาศกลับค้นพบว่าตาข่ายผืนนี้กางขึ้นสูง ถึงจะสามารถบินข้ามก็จะต้องเกินกว่าระยะที่หลิงอวิ๋นเฮ่อสามารถรับรู้ เช่นนี้แล้ว หากผลไร้กังวลอยู่ในป่าหินก็จะสัมผัสไม่ได้
“สหายเต๋าหลิง ท่านมีหนทางกระมัง” เทียนฉานถาม
หลิงอวิ๋นเฮ่อผงกศีรษะ “แน่นอน”
…………………………………….