หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 384 – ศาลเจ้าเต่าดำ
ตอนที่ 384 – ศาลเจ้าเต่าดำ
โม่เทียนเกอไม่ทราบบทสนทนาของพี่น้องสกุลหลิง หลังจากพักผ่อนครึ่งวันพลังวิญญาณของนางก็ฟื้นฟูแล้ว เวลานี้ย้ายไปโคจรพลังวิญญาณในที่ไม่ห่างไกล “สุนัขจิ้งจอก” ขนทองทั้งตัวตัวหนึ่งวิ่งมาหานาง
“งี๊ด!” เฟยเฟยเอาหัวซุกเข้าไปในอกโม่เทียนเกอ ถูไถอย่างน่าเอ็นดู
โม่เทียนเกอหยิบโอสถเม็ดมั่ว ๆ มาป้อนให้มันเหมือนกับผู้ฝึกตนทั่วไปปลอบอสูรวิญญาณ แต่จิตสัมผัสของทั้งสองกลับสื่อสารกันอยู่
“เฟยเฟย กลับมาทำไม ค้นพบอะไรหรือ” ถึงภูมิประเทศของหุบเขาไร้กังวลจะซับซ้อน พลังวิญญาณสับสน แต่สำหรับเฟยเฟยแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่ปัญหา เฝยเฝยเป็นอสูรวิญญาณชนิดหนึ่งที่ขาดความสามารถในการต่อสู้แต่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เร็วมาก พลังวิญญาณบนตัวมันอ่อนโยนเป็นพิเศษ แทบจะไม่เกิดความขัดแย้งกับลมปราณอื่น โม่เทียนเกอจำได้ว่า ตอนที่นางได้รับจารึกหินที่บันทึกสิ่งที่เรียกว่าวิชาลับเทพมังกรแผ่นนั้นแทบจะสูญเสียสติสัมปชัญญะ เป็นเฟยเฟยช่วยชีวิตนาง พลังวิญญาณของมันอ่อนโยนและเสถียร สามารถทำให้คนชำระจิตใจสงบสติ
เฟยเฟยส่ายหาง “แจ๊บ” กินโอสถลงไป ยกหัวขึ้นมา ไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “นี่อะไร ไม่ใช่ยาฟ้ากระจ่างหรือ”
“……” โม่เทียนเกอเคาะหัวของมัน “คนมากขนาดนี้ข้าจะหยิบยาฟ้ากระจ่างอย่างไร ถ้าคนอื่นรู้ว่าข้าหยิบยาฟ้ากระจ่างให้อสูรวิญญาณกิน จะไม่เกิดจิตคิดฆ่าฟันขึ้นมาทันทีเลยหรือ”
ถึงจะเป็นที่อวิ๋นจง โอสถอย่างยาฟ้ากระจ่างก็พบเห็นไม่มาก ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านี้อย่างมากที่สุดสามารถรับประกันว่าตนเองมีโอสถอย่างนี้ให้ใช้อยู่เสมอ ให้อสูรวิญญาณกินนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เฟยเฟยเลียปากอย่างยังไม่สมอยาก ยอมรับคำอธิบายนี้อย่างไม่ใส่ใจ “เอาเถอะ…… แต่ว่า เจ้านาย หลังทำธุระเสร็จแล้วท่านต้องให้ข้าหนึ่งขวดถึงจะได้นะ!”
“……” นี่ยังจะต่อรองราคาอีก โม่เทียนเกอใบ้กินไปครู่หนึ่ง ได้แต่รับคำว่า “รู้แล้ว เจ้าพูดมาก่อน เจ้าเจอกับอะไร”
“ก็ไม่มีอะไร” กินโอสถเสร็จแล้ว เฟยเฟยซบอยู่ในอกนาง ลับฟันพลางพูดอย่างเกียจคร้านว่า “เพียงแต่มีศาลเจ้าแห่งหนึ่งเท่านั้น”
“ศาลเจ้า?” โม่เทียนเกอตะลึง “ศาลเจ้าอะไร”
“อ้อ ศาลเจ้าที่บูชาอสูรเทพเต่าดำน่ะ ข้างในมีสิ่งของแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งนะ!”
“อสูรเทพเต่าดำ?” โม่เทียนเกอไล่ถาม “ที่เจ้าพูดก็คืออสูรเทพเต่าดำของจตุรเทพห้าวิญญาณน่ะหรือ”
“แน่นอน ไม่อย่างนั้นยังจะมีอสูรเทพเต่าดำที่ไหนอีก” เฟยเฟยสางขนที่งดงามของตัวเองพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “คิดไม่ถึงว่าตั้งหลายปีขนาดนี้ถึงกับยังสามารถหาเจอศาลเจ้าที่บูชาหนึ่งในสี่อสูรมหาเทพ…… งื้ด แต่ดูแล้วเก่าแก่มาก น่าจะเป็นของเมื่อหลายล้านปีก่อน”
หลายล้านปีก่อน…… หรือว่าเป็นยุคปฐมกาลที่เทพตั้งเขตแดนแรกเริ่ม โลกปีศาจกับวิญญาณสองโลกยังไม่แบ่งแยก? โม่เทียนเกอจู่ ๆ คิดถึงประสบการณ์เมื่อหลายปีก่อน นางเคยค้นพบศาลเจ้าเทพมังกรที่ใต้ทะเลของทะเลแห่งจี๋เป่ยในธารน้ำแข็งจี๋เป่ยของเทียนจี๋ ดูจิตรกรรมฝาผนังข้างใน เป็นสิ่งของเมื่อหลายล้านปีก่อนจริง ๆ หรือว่าสองอย่างนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน
“ศาลเจ้านี้อยู่ที่ไหน”
“งื้ด อันนี้บอกได้ยากจริง ๆ” เฟยเฟยสางขนเสร็จแล้ว เริ่มตรวจดูกรงเล็บของตนเอง “เป็นสือโถวพาข้าไป คงจะอยู่ทางตะวันตก มีน้ำตกแห่งหนึ่ง ข้างใต้น้ำตกนั่น สามปราณเวียนวนก่อเป็นวังวนอันหนึ่ง อยู่ข้างล่างของวังวนนั่น”
“……” เฟยเฟยไม่ได้มีแนวคิดด้านทิศทางมากนัก นี่กับการที่มันสามารถหาของเจอนำทางได้เสมอมีความเกี่ยวข้องกันอีกอย่าง มันแต่เดิมก็ขี้เกียจ ขี้เกียจจะไปจำเรื่องพวกนี้
“อย่ามองข้าอย่างนี้” เฟยเฟยซบในอกของนางอย่างเกียจคร้าน บิดขี้เกียจ “ถึงข้าจะบอกไม่ได้แน่ ๆ แต่การพาท่านไปไม่มีปัญหา”
“……ตกลง” มันพูดอย่างนี้ได้ โม่เทียนเกอก็พึงพอใจมากแล้ว นางคิด ๆ ดูแล้วถามว่า “เจ้าเคยเข้าศาลเจ้านั่นแล้วหรือ สรุปว่ามีสถานการณ์อย่างไร ข้างในมีสิ่งของอะไร”
“ศาลเจ้าก็คือศาลเจ้า จะมีสถานการณ์อะไร”
“เฟยเฟย!”
“ก็ได้ ๆ!” เฟยเฟยยกกรงเล็บยอมแพ้ “ท่านคือเจ้านาย ว่าตามท่าน ท่านอยากรู้อะไร”
“ศาลเจ้านั่นมันอย่างไรกัน มีร่องรอยคนไหม ข้างในบูชาเต่าดำ มีพลังอำนาจแปลกประหลาดอะไรหรือไม่”
เฟยเฟยเอียงหัวคิด กล่าวช้า ๆ ว่า “ศาลเจ้านั้นใหญ่มาก มีเส้นทางมากมาย หากมิใช่ว่าสือโถวพาไปข้าจะต้องหลงทางแน่ ข้างในมีแท่นสักการะหนึ่งอัน บูชารูปเคารพเต่าดำอันใหญ่ยักษ์ งื้ด……ลมปราณกล้าแข็งผิดธรรมดา” ในดวงตาเฟยเฟยปรากฏแววงุนงง “พิสดารมาก ศาลเจ้าเมื่อหลายล้านปีก่อนถึงกับหลงเหลือลมปราณของอสูรเทพที่กล้าแข็งขนาดนี้ ไม่จางหายไปมาโดยตลอด”
“ลมหายใจแห่งเต่าดำ?” โม่เทียนเกอถามหยั่งเชิง
“มิผิด เป็นลมหายใจแห่งเต่าดำจริง ๆ” เฟยเฟยส่ายหาง โชคร้ายที่ฟาดใส่ปาก “ทำไมไม่ใช่พยัคฆ์ขาวเล่า”
“พยัคฆ์ขาวทำไมอีกล่ะ” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจความคิดมัน “พยัคฆ์ขาวกับเต่าดำมีอะไรแตกต่างกัน”
“โง่!” เฟยเฟยกลอกตาใส่นาง “จตุรเทพห้าวิญญาณต่างมีคุณสมบัติห้าธาตุของตนเอง เต่าดำธาตุน้ำ พยัคฆ์ขาวธาตุทอง ถ้าเป็นพยัคฆ์ขาว ข้าในเมื่อเป็นชนรุ่นหลังอสูรเทพ แล้วก็เป็นธาตุทองในห้าธาตุก็สามารถดูดซับลมหายใจแห่งพยัคฆ์ขาว เพิ่มพูนความแข็งแกร่ง”
“……”
“ท่านหมายความว่าอะไร ไม่เชื่อหรือ”
“เปล่า…… เจ้าต่อเลย”
เฟยเฟยคิดแล้วเอ่ยอีกว่า “ลมหายใจแห่งเต่าดำนั้นกล้าแข็งถึงสิบส่วน อสูรมารที่รอดชีวิตในหุบเขาไร้กังวลนี้ช่างประหลาดแท้ ถึงกับสามารถเก็บรักษาสามปราณในเวลาเดียวกัน มีความเกี่ยวข้องกับศาลเจ้าเต่าดำนี้มาก”
“เกี่ยวข้องอะไร”
“งื้ด……” เฟยเฟยครุ่นคิดครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “พูดอย่างนี้เถอะ สาเหตุที่พวกมันสามารถใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมอันพิสดารขนาดนี้ก็เพราะเกี่ยวข้องกับลมหายใจแห่งเต่าดำหลังจากที่ติดต่อกับเหล่าอสูรมารที่นี่ ข้าค้นพบว่าบนร่างพวกมันล้วนมีลมหายใจแห่งเต่าดำอันอ่อนจาง”
โม่เทียนเกอไร้วาจาไปครู่ใหญ่ เฟยเฟยกะพริบตา ถามว่า “เจ้านาย ท่านกำลังคิดอะไร”
“เดี๋ยวนะ……” โม่เทียนเกอรู้สึกว่าตนเองคล้ายจะจับจุดสำคัญได้หนึ่งอย่าง ทะเลแห่งจี๋เป่ย ศาลเจ้าเทพมังกร ลมหายใจเทพมังกร จารึกเทพมังกรหุบเขาไร้กังวลอวิ๋นจง ศาลเจ้าเต่าดำ ลมหายใจแห่งเต่าดำ อสูรมารที่พึ่งพาลมหายใจแห่งเต่าดำนี้เพื่อมีชีวิตรอด…… ระหว่างศาลเจ้าสองแห่งนี้จะต้องมีความเกี่ยวพันบางประการ! ฟังคำบรรยายของเฟยเฟย การคงอยู่ของศาลเจ้าเต่าดำนี้กับศาลเจ้าเทพมังกรที่นางเคยเห็นคล้ายคลึงกันมาก ล้วนมีลมหายใจแห่งอสูรเทพอันแกร่งกล้า รวมทั้งโถงใหญ่ที่สักการะ
“ในศาลเจ้าแห่งนี้ มีซากสังขารของอสูรเทพเต่าดำไหม” โม่เทียนเกอถาม
เฟยเฟยคิดสักครู่แล้วส่ายหน้า “ไม่รู้ ไม่เคยเห็น ศาลเจ้านี้ใหญ่เกินไป สือโถวแค่พาข้าไปดู”
ถ้าหากในศาลเจ้าก็มีซากสังขารของอสูรเทพเต่าดำด้วย เช่นนั้นศาลเจ้าแห่งนี้ก็จะตรงกันกับศาลเจ้าเทพมังกรที่นางเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง จะต้องเป็นสิ่งของในยุคเดียวกัน อีกทั้งมีความเป็นไปได้มากว่าเป็นฝีมือของคนกลุ่มเดียวกัน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าที่นี่มีความลับอะไร หากมิเช่นนั้น ลมหายใจแห่งอสูรเทพไม่สามารถจะหลงเหลืออยู่นานขนาดนี้
“เห็นทีต้องไปดูสักรอบ” โม่เทียนเกอพึมพำ “จะต้องไปสักรอบ!”
เฟยเฟยมองดูรอบบริเวณ พูดว่า “เจ้านาย ท่านอยากไปคนเดียวหรือว่าพาคนอื่น ๆ ไปด้วย”
“นี่……” โม่เทียนเกอนิ่งอึ้งไป นี่เป็นปัญหาจริง ๆ ผลของการค้นพบศาลเจ้าเทพมังกรครั้งที่แล้ว คนเดินทางมากขนาดนั้นบาดเจ็บล้มตายกว่าครึ่ง ครั้งนี้หากพาคนอื่นไปศาลเจ้าเต่าดำก็จะต้องเกิดปัญหาแน่ ลมหายใจแห่งอสูรเทพ นางไม่ไว้ใจว่ามีผู้ฝึนตนคนไหนจะสามารถอดทนต่อการสิ่งล่อใจประเภทนี้ น่าจะพูดว่า ระดับการฝึกตนยิ่งสูงยิ่งรับสิ่งล่อใจประเภทนี้ไม่ได้ และครั้งนี้พวกพ้องของนางแต่ละคนความแข็งแกร่งกล้าแข็ง นางไม่ได้กุมชัยชนะไว้ได้อย่างแน่นอนเลย
แต่หากไม่พาพวกเขาไปนางจะไปศาลเจ้าอย่างไร การเดินทางนี้เป็นหลิงอวิ๋นเฮ่อเชื้อเชิญมา เหตุที่มีหกคนเป็นเพราะว่าพวกเขาจำเป็นต้องร่วมมือกันทำงานจึงจะสามารถรับประกันความปลอดภัยที่หุบเขาไร้กังวล หากไปจากคนเหล่านี้ ถึงนางจะมีสมบัติวิญญาณมากขนาดนั้นอยู่กับตัว และยังมีความช่วยเหลือของอสูรวิญญาณขั้นห้าสามตัว ก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถจากไปโดยปลอดภัยอย่างแน่นอน
“หากไม่ได้ ได้แต่มาดูภายหลังแล้ว……” โม่เทียนเกอคิดอยู่ครึ่งค่อนวันยังไม่มีวิธีแก้ไขที่สมบูรณ์แบบ นางมิใช่คนหุนหันพลันแล่น ในเมื่อไม่อาจรับประกันความปลอดภัย มิสู้ค่อยมาในภายหลัง
“แล้วแต่ ถึงอย่างไรมิใช่พยัคฆ์ขาว ไม่เกี่ยวกับข้า” เฟยเฟยหาว ซบลงในอกนางอย่างเกียจคร้าน หาท่าที่สบายนอนหลับ ทิ้งโม่เทียนเกอให้ครุ่นคิดต่อคนเดียว
ห้าวันผ่านไปในวูบเดียว หยางเฉิงจีอาการบาดเจ็บหายดีในวันที่สามตามความคาดหมาย กลับมารวมกลุ่มกับพวกเขา ส่วนหลิงอวิ๋นเฮ่อก็ฟื้นฟูสมาธิจิตใจในวันที่ห้า โม่เทียนเกอลังเล อาการบาดเจ็บของพวกเขาอันที่จริงล้วนไม่ได้หายขาด เพียงแต่ใช้วิชาลับบางอย่างสะกดลงไปเท่านั้น เรื่องพวกนี้นางไม่ได้ห่วงใยเลย นางเพียงอยากให้การเดินทางนี้ออกไปได้อย่างปลอดภัยก็พอ หลังเรื่องราวพวกเขาจะระดับการฝึกตนตกลงไปมากหรือไม่ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
หลายวันมานี้ หยางเฉิงจีและหลิงอวิ๋นเฮ่อจดจ่อกับการรักษาบาดเจ็บ หลิงอวิ๋นเฟยท่าทางมีเรื่องในใจหนักอึ้ง เทียนฉานเกียจคร้านคล้ายกับว่าเรื่องอะไร ๆ ล้วนไม่คิดจะสนใจ มีเพียงเถียนจือเชียนที่มาพูดคุยกับนางบ่อย ๆ ถกเต๋าแห่งวิชาม่านพลัง
เถียนจือเชียนผู้นี้ว่ากันว่าเข้าร่วมกับหุบเขาห้าธาตุตั้งแต่วัยแบเบาะ ลุ่มหลงในเต๋าแห่งวิชาม่านพลังตั้งแต่เล็ก ถึงแม้คุณสมบัติค่อนข้างดี ยามปกติกลับไม่สนใจการฝึกตนมาก เหตุที่ยืดหยัดฝึกตนถึงก่อเกิดตานขั้นกลางเป็นเพียงเพราะว่าระดับการฝึกตนต่ำเกินไปไม่สะดวกต่อการทำความเข้าใจโลกของวิชาม่านพลังเท่านั้น
ส่วนโม่เทียนเกอ สกุลเยี่ยเป็นเพียงแค่ตระกูลฝึกเซียนเล็ก ๆ วิชาม่านพลังที่สืบทอดลงมามิได้สูงเยี่ยมมากเลย เพียงแต่ว่าภายหลังนางได้รับหนังสือม่านพลังเสวียนจี แล้วยังมีตำราโบราณกาลในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ด้วยทัศนคติอันจริงจังขยันขันแข็งที่นางมีมาโดยตลอดจึงเกาะกุมแก่นสารของหลักการวิชาม่านพลังมากมาย นี่จึงได้เหยียบเข้าสู่ขอบเขตของยอดฝีมือวิชาม่านพลังหาก เพียงพูดถึงความรู้วิชาม่านพลัง นางไม่ได้แย่กว่าปรมาจารย์วิชาม่านพลังเหล่านั้นเลย แต่หากถกถึงการใช้งานอย่างเฉพาะเจาะจง เทียบกับอาจารย์วิชาม่านพลังที่วัน ๆ หมกหัวอยู่กับการตั้งม่านพลังแล้วยังเทียบไม่ได้
พูดจากด้านนี้ คนหนึ่งชำนาญการใช้จริง คนหนึ่งความรู้กว้างขวาง พวกเขาสองคนถกเต๋าแห่งวิชาม่านพลังล้วนรู้สึกว่าได้รับประโยชน์มหาศาล ก้าวหน้ามากมาย เพื่อให้ได้รับหลักการวิชาม่านพลังจากโม่เทียนเกอมากยิ่งขึ้น เถียนจือเชียนเปิดเผยสิ่งที่ตนเองเรียนรู้ไว้ออกมาจนหมดสิ้น นี่ทำให้โม่เทียนเกอก็ได้เปิดโลกมาก
เต๋าแห่งการฝึกเซียนของอวิ๋นจงและเทียนจี๋ถึงจะเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วไม่ได้ติดต่อคบค้ากัน แต่ละฝ่ายพัฒนาไปแสนกว่าปี ทั้งสองที่ต่างมีศาสตร์ลับที่อีกฝ่ายไม่รู้ ภายใต้การแลกเปลี่ยนช่วยเหลือ โม่เทียนเกอกับเถียนจือเชียนล้วนได้รับประโยชน์อย่างเต็มเปี่ยมยิ่ง
นี่ทำให้โม่เทียนเกอคิดถึงวาจาที่เจิ้นหยางซือป๋อพูดเอาไว้แต่ก่อนนี้ หากผู้ฝึกตนของโรงเรียนเสวียนชิงฝึกตนถึงระดับหนึ่งแล้วมาท่องเที่ยวที่อวิ๋นจงสักรอบกันหมดจะต้องมีประโยชน์มาก จนถึงขนาดที่ความแข็งแกร่งของสำนักเพิ่มพูนขึ้นมาก
จนวันนี้นางจึงรู้ว่าเจิ้นหยางซือป๋อในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย สายตายาวไกลโดยแท้
หลังอาการบาดเจ็บของหลิงอวิ๋นเฮ่อหายดี ทั้งหกคนร่วมประชุมกันอีกรอบ ปรึกษากันเสร็จสิ้น ออกเดินทางใหม่
หลายวันถัดจากนั้น ถึงจะมีอันตรายเป็นครั้งคราว แต่ล้วนมีตระหนกไร้เภทภัย
สิ่งที่น่าเสียดายคือ ผลไร้กังวลนั้นไม่มีข่าวคราวตั้งแต่ต้นจนจบ
————