หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 388 - ศัตรูและมิตร
ตอนที่ 388 – ศัตรูและมิตร
หลิงอวิ๋นเฟยมองโม่เทียนเกอและเทียนฉานสองคนอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อหนึ่งที กระบี่บินคู่ที่วนอยู่ข้างกายส่งเสียงใสกระจ่างขึ้นมาพร้อมกัน เปล่งแสงกระบี่อันสว่างดุจหิมะ ปราณกระบี่อันเฉียบคมทะยานขึ้นฟ้า
นี่มิใช่พลังสภาวะที่ผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะก่อเกิดตานคนหนึ่งครอบครองโดยเด็ดขาด ถึงขนาดที่ว่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางทั่วไปก็ยากนักจะเอื้อมถึง
หลิงอวิ๋นเฮ่อมองดูเหตุการณ์นี้ ถอนหายใจบางเบา “เจ้าปิดบังความแข็งแกร่งไว้จริง ๆ ด้วย”
“พี่รอง ข้าก่อเกิดตานมาสามสิบปีแล้ว” หลิงอวิ๋นเฟยมองหลิงอวิ๋นเฮ่อ สายตาเย็นยะเยือก “ข้ามิได้มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมอย่างท่าน แต่ว่า เวลาสามสิบปีเพียงพอให้ข้าหลอมสร้างอาวุธเวทอันล้ำเลิศออกมาหนึ่งชิ้นแล้ว”
“มิน่าเล่า ตั้งแต่ที่เจ้าหลอมสร้างอาวุธเวทคู่ชีพก็ไม่เคยถามข้าสักครึ่งคำ” หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มอย่างขมขื่น สามสิบปี ที่แท้เริ่มตั้งแต่สามสิบปีก่อน เขาก็เตรียมการเพื่อวันนี้แล้ว
“ชิ!” เห็นกระบี่บินที่เปล่งแสงของหลิงอวิ๋นเฟย เทียนฉานกลับเผยแววตาเย้ยหยันออกมา “กระบี่นี้ไม่เลว น่าเสียดาย คนไม่ได้เรื่อง”
“ท่านพูดอะไร?!” หลิงอวิ๋นเฟยโมโหเป็นการใหญ่ จ้องเทียนฉานอย่างดุดัน เขาเอื้อมมือไปจับกระบี่บินด้ามยาวนั้น โบกเบา ๆ กระบี่ด้ามสั้นจี้ใส่เทียนฉาน
“สหายเต๋าเถียน” โม่เทียนเกอกลับมองไปทางเถียนจือเชียน ยิ้มบางถามว่า “ตลอดทางมานี้ ท่านถกเต๋าแห่งวิชาม่านพลังกับข้ามาตลอด คือคิดจะหาหนทางจัดการกับอาวุธเวทคู่ชีพของข้ากระมัง”
“เหอะ ๆ ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับสหายเต๋าฉินจริง ๆ……” เถียนจือเชียนถอนหายใจ ท่าทางเสียดายถึงสิบส่วน เขามองโม่เทียนเกออย่างชื่นชม เอ่ยว่า “พรสวรรค์ด้านวิชาม่านพลังของสหายเต๋าฉินช่างน่าทึ่งโดยแท้ หากสามารถเข้าร่วมกับหุบเขาห้าธาตุข้า จะต้องสามารถเปล่งประกายเจิดจรัส ไม่ทราบว่าสหายเต๋าฉินมีความสนใจหรือไม่”
โม่เทียนเคาะพัดแห่งสวรรค์และโลกาพลางส่ายหน้าพลาง ถอนหายใจเลียนแบบเขา “สหายเต๋าเถียน ท่านเชื้อเชิญคนอย่างนี้ไม่จริงใจพอเลยนะ!”
เถียนจือเชียนคิ้วกระตุก เขาดูออกว่าฉินเวยผู้นี้ถึงจะมาจากโพ้นทะเล แต่ศักดิ์ฐานะน่าจะไม่สามัญ ตระกูลสำนักที่สังกัดก็อาจจะไม่ด้อยกว่าหุบเขาห้าธาตุ ดังนั้นเมื่อครู่ก็เพียงพูดเรื่อยเปื่อยแสดงไมตรีจิตเท่านั้น แต่ว่า ปฏิกิริยาตอบโต้นี้ของนาง คำตอบอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งใจจะตอบรับด้วยไมตรีเช่นเดียวกัน
เขามองโม่เทียนเกอพักใหญ่แล้วจึงกล่าวว่า “สหายเต๋าฉิน ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ท่านกับสหายเต๋าเทียนฉานเหตุใดจะต้องสอดมือในเรื่องนี้ นี่สำหรับพวกท่านแล้วไม่มีผลดีอะไรกระมัง”
นี่เป็นจุดที่เขาคิดไม่ตก เดิมนึกว่า ขอเพียงเก็บผลไร้กังวลได้ คนอื่น ๆ อีกสามคนล้วนจะจากไป ถึงเวลาพวกเขาลอบทำร้ายหลิงอวิ๋นเฮ่อก็จะง่ายดายมาก แต่คาดไม่ถึงว่าสองคนนี้ถึงกับเลือกที่จะร่วมทางออกจากหุบเขา
นี่ก็ช่างเถิด อย่างมากที่สุดทำให้ตอนที่พวกเขาลงมือมีคนที่ล่วงรู้เหตุการณ์เพิ่มขึ้นอีกสองคนเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงยิ่งกว่าว่า พวกเขาลงมือต่อหลิงอวิ๋นเฮ่อ สองคนนี้ถึงกับจะลงมือช่วยเหลือ นี่สำหรับพวกเขาแล้วมีผลดีอะไรกันเล่า ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยยืนยันมาแล้วว่าสองคนนี้กับหลิงอวิ๋นเฮ่อไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนหนึ่งครั้งเท่านั้น ผู้ฝึกตนทั่ว ๆ ไปพบกับสถานการณ์ประเภทนี้ล้วนจะกอดอกชมอยู่ด้านข้างกระมัง ขอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตนเอง การสอดมือในบุญคุณความแค้นของคนอื่นมิใช่เรื่องที่ชาญฉลาดจริง ๆ ถึงอย่างไรหลิงอวิ๋นเฟยก็สัญญาว่าจะทำตามข้อตกลงแทนหลิงอวิ๋นเฮ่อแล้ว
หรือว่าจะเป็นอย่างที่ฉินเวยพูดจริง ๆ พวกเขาอยากสังหารทุกคนแล้วค่อยแบ่งสมบัติ?
คิดถึงตรงนี้ เถียนจือเชียนก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างรอบคอบ เตรียมตั้งม่านพลังทุกเมื่อ
โม่เทียนเกอและเทียนฉานล้วนมองเห็น ทั้งสองคนสบตายิ้มให้แก่กัน ต่างคนต่างเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว
“สหายเต๋าทั้งสอง” โม่เทียนเกอพูด “จะเหตุผลอะไร จ้ายเซี่ยรู้สึกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันอีกแล้ว ระหว่างพวกเราไม่ได้คุยภาษาเดียวกันโดยแท้!”
“พูดอย่างนี้ สหายเต๋าทั้งสองอยากจะลงมือแล้ว?” เถียนจือเชียนจ้องมองทั้งสอง สายตาคมกริบ
“นี่ยังต้องถามสหายเต๋าอวิ๋นเฟย” เทียนฉานพันบาดแผลที่ถูกน้ำดำกัดกร่อนจนแน่นอีกครั้ง เงยหน้ามองหลิงอวิ๋นเฟยแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างปลอดโปร่งว่า “ข้าว่านะสหายเต๋าอวิ๋นเฟย ข้ากับสหายเต๋าฉินเวยล้วนเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง ท่านเป็นเพียงก่อเกิดตานขั้นต้น สหายเต๋าเถียนยังเป็นอาจารย์วิชาม่านพลัง ท่านนึกจริง ๆ หรือว่าพวกท่านสามารถสังหารข้ากับสหายเต๋าฉิน”
“หึ!” หลิงอวิ๋นเฟยเอ่ยเสียงเย็นว่า “สหายเต๋าเทียนฉานก็ดูเบาพวกเราเกินไปกระมัง พี่เถียนเป็นอาจารย์วิชาม่านพลังมิผิด แต่เขาเป็นอาจารย์วิชาม่านพลังที่สามารถตั้งม่านพลังไร้สภาพ ส่วนตัวข้า — ถึงระดับก่อเกิดตานแล้ว วิชาต่อสู้แต่ไรมามิใช่เพียงดูที่ระดับการฝึกตน ระดับการฝึกตนสองท่านสูงกว่าข้า แต่พลังของกระบี่เป็นตายมิพรากคู่นี้ของข้ากลับไม่แน่ว่าจะอ่อนด้อยกว่าอาวุธเวทคู่ชีพของพวกท่าน!”
“สหายเต๋าอวิ๋นเฟยช่างทะเยอทะยาน!” โม่เทียนเกอถือพัดแห่งสวรรค์และโลกาพัดเบา ๆ มองหลิงอวิ๋นเฟยกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “แต่ว่า เป็นวาจาโอ้อวดหรือไม่ยังไม่รู้เลย”
“ท่าน……” หลิงอวิ๋นเฟยโมโหขึ้นมาอีกรอบ เขาจะไม่โมโหได้อย่างไร สองคนนี้ ถึงน้ำเสียงจะราบเรียบมากมาตลอด แต่เจือการเสียดสีที่คล้ายมีแต่ไม่มีอยู่เสมอ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน คล้ายกับว่าไม่เห็นเขาในสายตาเลย เขาถูกคนดูเบามาสองร้อยปีแล้ว วันนี้ฉีกทิ้งการเสแสร้งยังถูกคนใช้สายตาประเภทนี้มอง จะสามารถทนได้อย่างไร
เขายกมือขึ้นอย่างทนไม่ได้ —
“อวิ๋นเฟย!” เถียนจือเชียนมีเวลาเพียงแค่ร้องหนึ่งคำก็เห็นกระบี่สั้นในกระบี่บินคู่ของเขาแทงเข้าใส่โม่เทียนเกอพร้อมเสียงกรีดร้องของกระบี่แล้ว เขามีมีเวลาให้คิดมาก จานหยกหมุน ต้องการใช้ม่านพลังกักวิญญาณ
โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว พลิกข้อมือ พัดแห่งสวรรค์และโลกาคลี่กาง เสียงกระเรียนร้อง กระเรียนเซียนหนึ่งตัวโถมออกมา สกัดกั้นกระบี่บินของหลิงอวิ๋นเฟย
จากนั้น นางหดม่านตา กำลังจะลงมือต่อ กลับได้ยินเทียนฉานตะโกนหนึ่งคำ กระโดดออกไป “สหายเต๋าฉิน ท่านทำไปเสียทุกเรื่องไม่ได้นะ ข้ายังอยากจะได้ส่วนแบ่ง!”
เวลานี้ เถียนจือเชียนจี้พลังวิญญาณ จานหยกหยุดนิ่ง ม่านพลังกักวิญญาณกางออกมาอย่างราบรื่น
โม่เทียนเกอกลับยิ้มบาง ๆ พริบตาก่อนที่ม่านพลังกักวิญญาณจะกางออกมาก็ได้เปิดกระเป๋าอสูรวิญญาณ “เสี่ยวฝาน ไป!”
เสี่ยวฝานที่ถูกนางพาออกมาต่อสู้ครั้งแรกกะพริบตา พ่นฟองลม “บุ๋ง ๆ” ออกมา “เจ้านาย ต้องกินพวกเขาไหมขอรับ”
โม่เทียนเกอใช้พัดชี้ “สองคนนี้เจ้าจะกินก็กินเถอะ แต่ว่ากินไปแล้วอย่ารังเกียจว่าไม่อร่อยล่ะ”
“ทราบแล้วขอรับ!” เสี่ยวฝานสะบัดหางอย่างดีใจ อ้าปากกว้างโถมไปทางหลิงอวิ๋นเฟยและเถียนจือเชียน
ได้ยินวาจาของพวกเขาหนึ่งคนหนึ่งอสูร แล้วยังเห็นเกล็ดที่เปล่งประกายวูบวาบสีครามทั้งตัวของเสี่ยวฝาน รวมถึงพลังสภาวะทั่วร่าง เถียนจือเชียนหน้าเปลี่ยนสี “อสูรวิญญาณพูดได้!”
อสูรวิวญญาณพูดได้ ก็แสดงว่ามันมีสติปัญญาใกล้เคียงกับคน เมื่อมีสติปัญญา พลังของอสูรวิญญาณก็จะเพิ่มพูนขึ้นมาก! มีอสูรวิญญาณอย่างนี้ที่ข้างกายควรจะเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มมากขนาดไหน ฉินเวยคนนี้ทำไมถึงได้โชคดีขนาดนี้กันนะ?!
เถียนจือเชียนอดเกิดความละโมบมิได้ เขาต้องการอสูรวิญญาณอย่างนี้สักตัวเกินไปแล้ว ถ้าเขามีอสูรวิญญาณที่มีสติปัญญาหนึ่งตัวก็ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ฝึกตนคนอื่น ไม่ต้องอดทนอดกลั้นต่อคนที่น่ารำคาญพวกนั้น ก็เพราะว่าเขาเป็นอาจารย์วิชาม่านพลัง ไม่มีความสามารถในการต่อสู้เดี่ยว ๆ ดังนั้นตั้งหลายปีแล้ว เขาได้แต่ยืนอยู่ข้างหลังหลิงอวิ๋นเฮ่อ ตอนนี้เขาได้แต่ฟังหลิงอวิ๋นเฟยที่ระดับการฝึกตนต่ำกว่าเขา
ถ้ามีอสูรวิญญาณอย่างนี้หนึ่งตัว เช่นนั้นทุกสิ่งของเขาก็จะไม่เหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องยอมคนอื่น ยิ่งไม่ต้องอดทนอดกลั้นดูสีหน้าของคนอื่น
คิดถึงตรงนี้ เขาเหล่มองหลิงอวิ๋นเฟย เผยสีหน้ารังเกียจชั่วแล่น มองเสี่ยวฝานอีกที กลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมาอีก ด้วยอายุขัยของอสูรวิญญาณ ระหว่างอสูรวิญญาณตัวนี้กับฉินเวยนั่นจะต้องเป็นเพียงสัญญาบริวาร มิใช่ยอมรับนาย ถ้าเป็นอย่างนี้ ขอเพียงเขาจับอสูรวิญญาณตัวนี้แล้วฆ่าฉินเวย ก็จะสามารถ–
เห็นเทียนฉานและเสี่ยวฝานหนึ่งคนหนึ่งอสูร กับหลิงอวิ๋นเฟยเถียนจือเชียนสองคนสู้ในที่หนึ่ง โม่เทียนเกออยู่ในม่านพลังกักวิญญาณที่เถียนจือเชียนตั้ง นั่งกับที่อย่างสบายอารมณ์ยิ่ง ดูละครอย่างผ่อนคลาย
ดูไปดูมา สีหน้าของโม่เทียนเกอยิ่งมายิ่งตื่นตะลึง นางคิดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของเทียนฉานถึงกับเกรี้ยวกราดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเคยฝึกวิชากายาพิสุทธิ์ที่สูงล้ำยิ่ง พลังปราณทั่วร่างทรงอำนาจถึงสิบส่วน เลือกวิธีการเสี่ยงซึ่งหน้ากับหลิงอวิ๋นเฟยตลอด กระบวนท่าของเขาดุดัน สู้อย่างไม่ห่วงชีวิต อาวุธเวทของหลิงอวิ๋นเฟยถึงจะแกร่ง แต่กลับถูกเขาบังคับให้ล่าถอยซ้ำ ๆ ถึงตอนท้ายที่สุดยิ่งถูกมัดมือมัดเท้า
ส่วนสมาธิของเถียนจือเชียนจดจ่ออยู่บนตัวของเสี่ยวฝานทั้งหมด เขาไม่อยากทำร้ายเสี่ยวฝาน ได้แต่ใช้วิชาม่านพลังกักขังเป็นหลัก เผอิญว่าความแข็งแกร่งของเสี่ยวฝานก็ไม่สามัญ มันเติบโตในทะเลตะวันออก การต่อสู้ระหว่างอสูรปีศาจเป็นการพุ่งปะทะตรง ๆ เสมอมา กดดันให้เถียนจือเชียนมือเท้าปั่นป่วนไปชั่วขณะ
ไร้การสนับสนุนของเถียนจือเชียน หลิงอวิ๋นเฟยทุลักทุเลอยู่ภายใต้การโจมตีของเทียนฉาน ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
ยิ่งต่อสู้ หลิงอวิ๋นเฟยยิ่งตื่นตระหนก ตนเองถึงเป็นเพียงก่อเกิดตานขั้นต้น แต่ความแข็งแกร่งแท้จริงไม่ได้อ่อนกว่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางเลย แต่จนกระทั่งตอนนี้เขาจึงทราบว่าความแข็งแกร่งของเทียนฉานถึงกับสูงส่งลึกล้ำปานนี้ มิน่าเล่าหลิงอวิ๋นเฮ่อถึงเชิญเขา!
“พี่เถียน!” หลิงอวิ๋นเฟยร้องเรียก ในเวลานี้ เขาได้แต่หวังให้เถียนจือเชียนช่วยเหลือ
เถียนจือเชียนแบ่งจิตใจไปดูเขาแวบหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง เอ่ยอย่างเจือความโกรธว่า “เจ้ามิใช่บอกว่าสามารถจัดการคนหนึ่งคนได้หรือ ทำไมเรื่องกรายถึงศีรษะแล้วดันสู้ไม่ได้”
หลิงอวิ๋นเฟยได้ยินวาจานี้ก็เกิดความโกรธเคือง แต่ว่า เขารู้ว่าตอนนี้มิใช่เวลาฉีกหน้ากับเถียนจือเชียน อดทนเอาไว้ กล้ำกลืนความโมโหกล่าวว่า “พี่เถียน ความแข็งแกร่งของคนคนนี้อยู่เหนือความคาดหมายจริง ๆ……”
เถียนจือเชียนถึงจะรำคาญในใจ แต่ก็รู้ว่าถ้าหลิงอวิ๋นเฟยพ่ายแพ้ อย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ประโยชน์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอสูรวิญญาณที่พูดได้ตัวนี้ ดังนั้นเขาก็เก็บความโกรธไปโดยเร็ว มองไปทางหลิงอวิ๋นเฟย เตรียมจะสนับสนุน
หลังสังเกตการณ์โดยละเอียด เถียนจือเชียนตระหนกอย่างยิ่ง
กระบี่บินคู่ของหลิงอวิ๋นเฟยถูกกดดันจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะโจมตีอย่างไร ขอเพียงมิใช่จุดสำคัญจะทำร้ายเขาไม่ได้เลย ดังนั้นเทียนฉานเลือกที่จะมองข้าม ทว่าการโจมตีของเขา หลิงอวิ๋นเฟยกลับต้านทานไม่ไหว ได้แต่หลบเลี่ยง
เทียนฉานผู้นี้ถึงกับร้ายกาจปานนี้! เถียนจือเชียนอดมองไปที่โม่เทียนเกอซึ่งดูละครอย่างผ่อนคลายอยู่ในที่ไม่ห่างไกลมิได้
ผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถสะกดหลิงอวิ๋นเฟยได้อย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง ยังมีฉินเวยที่ครอบครองอสูรวิญญาณขั้นห้าหลายตัว…… จู่ ๆ เขาสำนึกเสียใจอยู่บ้าง ทำไมถึงเลือกจะลงมือตอนนี้กันนะ หลิงอวิ๋นเฟยจิตใจร้อนรน แต่เขาไม่ร้อนรน ถึงทั้งห้าคนจะร่วมทางกันตลอดจนถึงสกุลหลิงแล้วถึงแยกย้าย สูญเสียโอกาส อย่างมากที่สุดเขาก็เสียทรัพย์สินจำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ หากไม่สามารถสังหารสองคนนี้ เขาแม้แต่ชีวิตยังยากจะรักษาเลย!
คิดถึงตรงนี้ เถียนจือเชียนถลึงตาใส่หลิงอวิ๋นเฟยอย่างดุดัน พูดถึงที่สุดคือเจ้าเด็กนี่ระงับอารมณ์ไม่ได้จนเกินไป อีกทั้งความแข็งแกร่งก็ไม่อาจพบพานผู้คน! แม้แต่เทียนฉานคนเดียวยังสยบไม่ได้ ยังคิดจะแทนที่ตำแหน่งของหลิงอวิ๋นเฮ่ออีกหรือ หึ กระทำการบุ่มบ่าม เลินเล่อเหลวไหล แย่กว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อลิบลับ!
————