หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 390 - สรุปว่าเป็นใคร
ตอนที่ 390 – สรุปว่าเป็นใคร
เนินดินที่ขังเสี่ยวฝานกลายเป็นก้อนดินน้อยสีดำขึ้นมาใหม่แล้วหล่นลงไป
พอเถียนจือเชียนตาย ม่านพลังขังวิญญาณก็สิ้นประสิทธิภาพ โม่เทียนเกอถอนหายใจ เดินไปหยิบก้อนดินน้อย ลูบหัวของเสี่ยวฝาน โยนโอสถให้มันหนึ่งเม็ด “คนกินไม่ได้แล้ว กินอันนี้เถอะ”
เสี่ยวฝานกลืนโอสถ ถามว่า “เจ้านาย ข้าสู้แพ้ใช่รึเปล่าขอรับ”
“ระดับการฝึกตนของเจ้าตอนนี้ยังด้อยไปหน่อย สู้ไม่ได้ปกติมาก” โม่เทียนเกอลูบหัวของมัน เสี่ยวหั่วซนเกินไป เฟยเฟยตอนนี้ก็คือไท่ซ่างหวง* มีเพียงเสี่ยวฝานเชื่อฟังที่สุด
ปลอบประโลมเสี่ยวฝานแล้ว โม่เทียนเกอเงยหน้ามองไป เทียนฉานกำลังกอดอกมองหลิงอวิ๋นเฮ่อ สีหน้าครุ่นคิด หลิงอวิ๋นเฮ่อยืนอยู่ตรงหน้าศพของเถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟยเงียบ ๆ ไม่แม้แต่จะขยับ
โม่เทียนเกออดยิ้มเย้ยหยันมิได้ หลิงอวิ๋นเฟยและเถียนจือเชียนสองคนนับว่าไม่ชาญฉลาดจริง ๆ พวกเขากับหลิงอวิ๋นเฮ่อความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อเยี่ยงนั้นถึงกับยังดูเบาเขา ถึงจะเปียกน้ำดำไปครึ่งร่าง บนร่างบาดเจ็บ แต่ถึงที่สุดแล้วเขาคือหลิงอวิ๋นเฮ่อ ผู้ฝึกตนชั้นยอดของสำนักจิ่วเยี่ยน ไยจะถูกม่านพลังขังวิญญาณเล็ก ๆ กักขังแล้วตายไปอย่างจนปัญญาได้เล่า เหตุที่นางสอดมือก็เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลิงอวิ๋นเฮ่อจะสูญเสียความสามารถขัดขืนไปอย่างนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางมอบน้ำใจไปตามสะดวกก็พอ
ส่วนสองคนนี้ คงจะถูกหลิงอวิ๋นเฮ่อปกป้องจนชิน กลับละเลยปัญหาข้อนี้ หลังม่านพลังขังวิญญาณปลดปล่อยออกไปจะเผาผลาญพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนผู้ตั้งม่านพลังเสมอ เถียนจือเชียนใช้ม่านพลังขังวิญญาณสองอัน แล้วยังใช้วิชาม่านพลังกับเทียนฉาน ต่อสู้กับเสี่ยวฝาน ไหนเลยยังจะสามารถรักษาประสิทธิภาพอันสมบูรณ์แบบไว้ได้ตลอด? ผ่านไปไม่นานนักหลิงอวิ๋นเฮ่อก็สามารถหนีหลุดออกมาแล้ว ส่วนก่อนหน้านี้ ตานเถียนชีพจรปราณบนร่างเขาถูกโอสถของโม่เทียนเกอคุ้มครองไว้แต่แรกแล้ว น้ำดำนั้นกัดกร่อนร่างกายเขาไปเสียครึ่ง ถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่กลับเป็นเพียงอาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น สำหรับความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้มีผลกระทบอย่างเป็นแก่นสารเลย ส่วนเถียนจือเชียนกับหลิงอวิ๋นเฟยกลับนึกว่าเขาบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นที่ผู้ใดก็เหยียบย่ำได้ เริ่มลงมือโจมตีอย่างบุ่มบ่าม
ยืนอยู่พักใหญ่ สายตาของหลิงอวิ๋นเฮ่อขยับเขยื้อนในที่สุด ใจกลางฝ่ามือเขาควบรวมพลังวิญญาณ กดลงบนบาดแผล เลือดหยุดไหลช้า ๆ
จากนั้น เขาหันหน้าไปผงกศีรษะให้เทียนฉานกับโม่เทียนเกอ เอ่ยอย่างชืดชาว่า “สหายเต๋าทั้งสอง ขอบคุณมาก”
ผู้ที่ส่งเสียงออกมาก่อนคือเทียนฉาน เขาหัวเราะเบา ๆ คำหนึ่ง เอ่ยว่า “สหายเต๋าหลิง ท่านไม่รู้สึกว่าท่านขอบคุณเร็วไปหรือ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ากับสหายเต๋าฉินจะไม่ลงมือใส่ท่าน”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มอย่างชืดชา ส่ายหน้า “หากสหายเต๋าทั้งสองมีจิตใจเช่นนี้ เหตุใดจะต้องสนับสนุนข้าตอนนั้น รอพวกเราบาดเจ็บพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่ายมิใช่ยิ่งดีหรือ”
เทียนฉานเก็บรอยยิ้ม มองหลิงอวิ๋นเฮ่ออย่างลึกซึ้ง “ตัวท่านเป็นคนไม่เลว น่าเสียดายสายตาไม่ดีเกินไป”
หลิงอวิ๋นเฮ่อได้ยินแล้วอยากยิ้ม สุดท้ายยิ้มไม่ออก เขาก้มหน้า มองศพของเถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟย เงียบงันไปครึ่งค่อนวัน ครึ่งชั่วยามก่อน นี่ยังเป็นพี่น้องที่เขาไว้วางใจที่สุดและสหายที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด ปัจจุบันนี้กลับเป็นศพสองศพ อีกทั้งยังเป็นเขาลงมือด้วยตนเอง
เสียใจภายหลังไหม? ย่อมไม่ ในเมื่อพวกเขาเลือกจะหักหลังแล้ว เช่นนั้นนี่ก็คือผลลัพธ์ที่พวกเขาจำเป็นต้องรับเอาไว้ ถึงเขาจะให้ความสำคัญกับน้ำใจ ต่อคนที่หักหลังกลับจะไม่ใจอ่อน
“สหายเต๋าทั้งสอง” สายตาหลิงอวิ๋นเฮ่อค่อย ๆ หนักแน่น ยกมือขึ้นช้า ๆ คารวะเบา ๆ อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสอยู่บ้าง แม้แต่ความเคลื่อนไหวยังต้องเบา ๆ “บุญคุณใหญ่หลวงของพวกท่าน ผู้แซ่หลิงขอสลักลงในใจ ขอเชิญทั้งสองท่านพบปะกันที่คฤหาสถ์สกุลหลิงสามเดือนให้หลัง ถึงเวลาผู้แซ่หลิงย่อมตอบแทน”
โม่เทียนเกอและเทียนฉานล้วนไม่พูดจา สีหน้าของหลิงอวิ๋นเฮ่อขณะนี้สงบนิ่งมาก แต่หว่างคิ้วมีความเศร้าโศกอันไร้วาจาทะลุออกมา รวมทั้งความอ่อนล้าอันล้ำลึก ถึงพวกเขาจะลงมือช่วยเหลือเพื่อผลประโยชน์จำนวนหนึ่งจริง ๆ แต่เวลานี้ ทั้งสองคนล้วนเลือกจะนิ่งเงียบ
หลิงอวิ๋นเฮ่อก็ไม่ได้รอพวกเขาตอบ เขาถอดกระเป๋าเอกภพจากบนตัวของเถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟย โยนให้พวกเขา น้ำเสียงยังคงชืดชา “เรื่องราววันนี้ยุติแล้ว ผู้แซ่หลิงกลับไปรักษาบาดเจ็บก่อน อีกสามเดือนพบกันใหม่”
พูดจบ เก็บศพของพวกเขาสองคน สะบัดแขนเสื้อ เหยียบลงบนกระบี่บิน บินไปยังทางออกของหุบเขาชั้นนอกช้า ๆ
“สหายเต๋าหลิง!”
หลิงอวิ๋นเฮ่อหยุดลง ไม่ได้หันหน้ากลับ “สหายเต๋าฉินยังมีธุระหรือ”
โม่เทียนเกอถอนหายใจเบา ๆ หยิบกระบี่บินคู่ที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา แกว่งแขนโยนออกไป “นี่เป็นอาวุธเวทคู่ชีพของน้องชายท่าน พวกเราเก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ สหายเต๋าหลิงเก็บไว้เตือนใจเถอะ”
“……” หลิงอวิ๋นเฮ่อถือกระบี่บินคู่นี้ เงียบงันไร้วาจา สูญเสียเจ้านายไป พวกมันมืดหม่นไร้แสงไปแล้ว กลายเป็นของชำรุด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง เก็บลงไป “ขอบคุณมาก” วาจาสิ้นสุด เก็บกระบี่บินคู่ใส่ในแขนเสื้อ หายลับไประหว่างแมกไม้อย่างรวดเร็ว
…………
“ข้าว่านะ สหายเต๋าเทียนฉาน พวกเราควรจะแยกย้ายกันแล้ว”
ได้ยินเสียงของโม่เทียนเกอ เทียนฉานตะลึงไป “เอ๊ะ? อ้อ!”
เห็นท่าทางนี้ของเขา โม่เทียนเกอมือทั้งคู่กอดอก เอียงศีรษะมองเขา
เทียนฉานถูกนางมองจนในใจตะครั่นตะครอ เบิกตามองนาง “สหายเต๋าฉิน มองข้าอย่างนี้เพื่ออะไร ถึงแม้ท่านก็นับว่าอ่อนเยาว์งดงาม แต่สำหรับสตรีแล้วข้าไม่มีความสนใจอะไรเสมอมา”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “อืม ท่านย่อมไม่สนใจสตรี สำหรับบุรุษอาจจะมีความสนใจนิดหน่อย”
เทียนฉานได้ยินแล้วเบิกตากว้าง “ท่านพูดอะไร”
โม่เทียนเกอกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง วนรอบตัวเขาสองรอบแล้วจึงกล่าวว่า “ท่านนึกว่าข้าจดจำท่านไม่ออกจริง ๆ หรือ? สหายเต๋าเนี่ย?”
“……”
ผ่านไปพักใหญ่ เทียนฉานถอนหายใจ ปลดงอบ ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดบนใบหน้า สิ่งที่เผยออกมาคือใบหน้าอันปราณีตของเนี่ยอู๋ชาง
“ท่านค้นพบข้าตอนไหน” นางพูดโดยใช้เสียงของตนเอง
สิ่งที่เห็นคือใบหน้าในความคาดหมายจริง ๆ ด้วย โม่เทียนเกอยิ้มแล้ว “ท่านประเมินระดับความคุ้นเคยของข้าต่อท่านต่ำไปแล้ว”
เนี่ยอู๋ชางตะลึง “หมายความว่าอะไร”
โม่เทียนเกอเอ่ย “ถึงท่านรูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนไป เสียงเปลี่ยนไป อาวุธเปลี่ยนไป แต่พฤติกรรม, อิริยาบทและวิธีการต่อสู้ล้วนมีร่องรอยอันคุ้นเคย ที่อวิ๋นจง คนคุ้นเคยของข้าไม่มากเลย ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างคนหนึ่ง คำตอบเรียบง่ายเกินไปแล้ว”
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากการสนทนาครั้งนั้น นางรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเทียนฉานเป็นสตรี อีกทั้งยังมีความรู้สึกดี ๆ ต่อนางประมาณหนึ่ง ตั้งแต่นั้น นางเริ่มจับสังเกตทุก ๆ การกระทำของเทียนฉาน จึงได้ค้นพบว่าเทียนฉานกับเนี่ยอู๋ชางมีส่วนคล้ายคลึงอย่างที่บรรยายไม่ถูก
เทียนฉานร่างเล็กบาง ประมาณพอ ๆ กับเนี่ยอู๋ชาง เทียนฉานชุดดำทั้งร่าง การแต่งกายเหมือนกับที่เนี่ยอู๋ชางชมชอบ เทียนฉานปิดใบหน้า ตอนพูดจามองไม่เห็นปาก เนี่ยอู๋ชางพอดีพูดพากย์เสียง อาวุธของเทียนฉานคือกรงเล็บ สิ่งที่เนี่ยอู๋ชางใช้ถึงจะเป็นถุงมือ แต่ตอนที่โม่เทียนเกอพบนางครั้งแรกเมื่อหกสิบกว่าปีก่อน สิ่งที่นางใช้คือกรงเล็บพอดี!
จุดสงสัยมากขนาดนี้ คำตอบเฉลยออกมาแล้ว
“……” ในดวงตาเนี่ยอู๋ชางไหววูบไปด้วยอะไรสักอย่าง สุดท้ายกลับหัวเราะเสียงต่ำ “คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ายังจะมีคนจดจำข้าได้……”
เงียบงันไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอถามว่า “ปราณมารบนร่างท่านแก้ไขแล้วหรือ”
เนี่ยอู๋ชางเงยหน้าทอดมองนาง กลับยิ้มออกมา “ข้ายังนึกว่าคำถามแรกที่ท่านถามข้าจะเป็นข้าเลื่อนขึ้นขั้นกลางเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรเสียอีก”
โม่เทียนเกอผงกศีรษะ หากท่านไม่ถือสา สามารถบ่งบอกข้าไปทีละเรื่อง”
“……ท่านยังคงไม่เกรงใจจริง ๆ” เนี่ยอู๋ชางคิดแล้วเกิดโมโห สุดท้ายกลับส่ายหน้าหลุดหัวเราะ นางมองซ้ายมองขวา เชิดคางขึ้น “พวกเรายังคงออกไปแล้วค่อยพูดกันเถอะ ในนี้มิใช่สถานที่ที่ควรอยู่นานจริง ๆ”
ถึงจะออกจากหุบเขาชั้นในที่อันตรายมาแล้ว แต่หุบเขาชั้นนอกก็ลมปราณผสมปนเป หากไม่ออกไปโดยเร็วที่สุดแล้วพบกับสิ่งของที่ยุ่งยากอะไรสักอย่างก็จัดการยากแล้ว
โม่เทียนเกอเห็นด้วย “ได้”
พูดเสร็จ ทั้งสองคนต่างคนต่างเก็บของ เนี่ยอู๋ชางฟื้นคืนคราบแปลงโฉม ร่วมทางกันออกจากหุบเขา
ในเวลาสั้น ๆ แค่นี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อหายลับไม่เหลือร่องรอยแล้ว ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นตอนที่พวกเขาเข้าหุบเขามีร่องรอยถูกทำลายอาคม คิดว่าเขาจากไปอย่างปลอดภัยแล้ว
เขาจากไปได้ไม่นาน ทางออกยังอยู่ โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางไม่จำเป็นต้องทำลายอาคมเพิ่มอีก ออกไปจากทางออกกำแพงอาคมที่เขาทำลายตรง ๆ เลย
ทั้งสองคนพูดถึงทิศทางไป ล้วนแสดงออกมาว่าไม่มีเป้าหมายเป็นพิเศษ จึงอยู่ร่วมทางกันไปเสียเลย ไปเมืองซิงลั่วที่อยู่ใกล้ ๆ
ระหว่างทาง ทั้งสองคนคุยถึงสถานการณ์หลังแยกจาก
สำหรับการที่เนี่ยอู๋ชางแค่ปีเดียวก็เลื่อนขึ้นขั้นกลาง โม่เทียนเกอแสดงออกถึงความประหลาดใจถึงสิบส่วน ตอนที่พวกนางแยกจาก เนี่ยอู๋ชางยังไม่ได้หลบหนีจากเกาะเป่ยจี๋ ถึงตลอดทางนางไม่ได้พบอุบัติเหตุ เสาะพบสถานที่เหมาะสมกักตนทันที ห่างจากตอนนี้ก็แค่หนึ่งปีเต็ม พูดตามหลักเหตุผลไม่พอให้ผู้ฝึกตนเลื่อนขั้นเลย โม่เทียนเกอจากขั้นต้นถึงขั้นกลางนับขึ้นมาระยะเวลาเพียงสิบห้าปี แต่นางวาสนาไม่เหมือนกัน แต่แรกก็ฝึกตนถึงก่อเกิดตานขั้นต้นจุดสูงสุดแล้ว การเตรียมการเลื่อนขั้นรวมถึงการปรับระดับให้เสถียรอีก กลับมีระยะเวลาประมาณสองปี
คำถามนี้ เนี่ยอู๋ชางกลับเอ่ยว่านางไม่เข้าใจผู้ฝึกยุทธ์เลย ผู้ฝึกยุทธ์เลื่อนขั้นเทียบกับผู้ฝึกตนทั่วไปนั้นยากกว่า กระบวนการเลื่อนขั้นกลับเรียบง่ายสักหน่อย ในกระบวนการฝึกตนยามปกติของพวกเขาผ่านวิธีการขัดเกลาร่างกายควบแน่นพลังวิญญาณแล้ว ดังนั้น การเลื่อนขั้นของพวกเขาเพียงต้องเอาพลังวิญญาณที่ควบแน่นยามปกติเหล่านี้อัดเข้าตานทองคำก็สำเร็จทันที แต่ก่อนนี้การควบแน่นของพลังวิญญาณของนางไปถึงเงื่อนไขของการเลื่อนขั้นแต่แรกแล้ว แค่ไม่มีเวลากักตนมาตลอด หลังจากขโมยสมบัติจากสำนักเทียนเหยี่ยน นางแทรกตัวเข้าไปในผู้ฝึกตนที่ออกทะเล หลังจากนั้นหาเกาะเล็กที่ทะเลชั้นในมั่ว ๆ หลบการไล่ล่าของสำนักเทียนเหยี่ยน ถือโอกาสกักตนเลื่อนระดับไปด้วยเลย มีสมบัติชิ้นนั้นสะกดปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนตัวนางชั่วคราว การเลื่อนขั้นราบรื่นมาก ระยะเวลาแค่ครึ่งปีนางก็หยุดกักตนออกมา ข้ามทะเลมาถึงอาณาจักรตงถัง
หลังจากถึงอาณาจักรตงถัง นางเปลี่ยนชื่อเป็นเทียนฉาน ท่องไปทั่วอย่างไร้จุดหมาย พบเจอหลิงอวิ๋นเฮ่อด้วยความบังเอิญ หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นนางความแข็งแกร่งโดดเด่นจึงนัดนางไปท่องหุบเขาไร้กังวล
ถึงตอนนี้ เนี่ยอู๋ชางยังคงกังวลถึงปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนร่างตนเอง สมบัติของสำนักเทียนเหยี่ยนถึงจะสะกดปราณมารของนางไว้ชั่วคราว แต่ไม่อาจขจัดสิ้น นางจึงฉวยโอกาสตั้งข้อเรียกร้องต่อหลิงอวิ๋นเฮ่อ หลิงอวิ๋นเฮ่อรับปาก นางก็เข้าร่วมกลุ่มการท่องหุบเขาไร้กังวล
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของนางคือ ถึงกับได้เห็นโม่เทียนเกออีกในกลุ่มนี้นางรู้ว่าความแข็งแกร่งของโม่เทียนเกอไม่อ่อนแอ ตอนที่แรกพบสร้างฐานพลัง เห็น ๆ อยู่ว่าระดับการฝึกตนยังอ่อนกว่านาง ก่อเกิดตานพบปะกันก็เสมอกับนางแล้ว เกาะเป่ยจี๋พบกันอีกยิ่งล้ำหน้านางไปเลย เลื่อนเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง
ปัจจุบันนี้ตัวนางเองเลื่อนเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง ด้วยความใคร่รู้จึงคิดจะทดสอบความแข็งแกร่งของโม่เทียนเกอว่าสรุปแล้วเป็นอย่างไร จึงได้มีเรื่องการลอบจู่โจมกะทันหันนอกคฤหาสถ์สกุลหลิงขึ้นมา
พูดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอสนใจอย่างยิ่ง “เช่นนั้น สหายเต๋าเนี่ยมีการประเมินอย่างไรต่อความแข็งแกร่งของจ้ายเซี่ย”
เนี่ยอู๋ชางเงียบงันเนิ่นนาน แล้วจึงตอบว่า “หากข้าไม่สามารถคุมท่านแต่แรกเริ่ม เช่นนั้นจะพ่ายแพ้เสียกว่าครึ่ง”
โม่เทียนเกอเพิ่งจะรับรู้ความแข็งแกร่งแท้จริงของเนี่ยอู๋ชาง วาจานี้ถ่อมตัวอยู่บ้าง แต่หลัก ๆ แล้วเป็นความจริง เนี่ยอู๋ชางร่างกายทนทาน หากใช้เร็วสู้เร็ว เช่นนั้นนางก็ต้องตอบโต้อย่างระวัง แต่หากเวลาต่อสู้ทอดยาว นั่นกลับเป็นความชำนาญของนาง
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอยิ้มเอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ ดีที่สุดสหายเต๋าเนี่ยยังคงอย่าเป็นศัตรูกับข้าเลย”
เนี่ยอู๋ชางถลึงมองนาง “เหตุใดข้าต้องเป็นศัตรูกับท่าน หาเรื่องใส่ตัว!”
————
*ไท่ซ่างหวง อดีตกษัตริย์ พ่อของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งในนิยายจีนมักจะมีอำนาจมากกว่าตัวกษัตริย์เอง (อ้างความกตัญญู) แล้วแทรงแซงการปกครองลูกตัวเอง