หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 400 ออกเดินทาง
ตอนที่ 400 – ออกเดินทาง
“ฮา ๆๆๆ” เสียงแหบห้าวที่แฝงความเสียดแทงดังขึ้น ถัดจากนั้น เจ้าเมืองเหมยผู้นั้นเดินเข้ามาทางประตู ใบหน้าเปื้อนยิ้มกุมมือให้ทุกคน “สหายน้อยทุกท่าน เปิ่นจั้วมาสาย ขออภัย ๆ”
รูปโฉมภายนอกคงอยู่ที่สิบห้าปี ไม่เพียงรูปลักษณ์หยุดเติบโต แม้แต่เสียงยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนเสียง เจ้าเมืองเหมยผู้นี้ดูเยาว์วัยอย่างแท้จริง พอเขาขยับ คนทั้งห้องไม่มีใครไม่เคารพนอบน้อม ให้เกียรติผู้อาวุโส — ไม่ว่าจะมีศักดิ์ฐานะอันใด เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานล้วนต้องรักษามารยาทอย่างเหมาะสม จุดนี้เป็นอยู่ทั่วทุกแห่งหน ไม่มีที่ใดเป็นข้อยกเว้น
เจ้าเมืองเหมยพูดจบ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั้งหมดในห้องโถงล้วนคารวะกลับอย่างสุภาพ ถึงขนาดมีคนตอบว่า “มิกล้า เจ้าเมืองเหมยเป็นผู้อาวุโส พวกข้าเพียงรอชั่วขณะ ไยจะกล้าถือสา”
ได้ยินวาจานี้แล้ว เจ้าเมืองเหมยยิ้มบาง กวาดตาตาวูบหนึ่ง นั่งลงในตำแหน่งเจ้าบ้าน เห็นพวกคนอื่น ๆ ล้วนยืนอยู่จึงเอ่ยว่า “ทุกท่านโปรดนั่งลง”
ได้ยินวาจานี้ ผู้ฝึกตนในห้องโถงจึงได้นั่งลงอย่างกระจัดกระจาย
โม่เทียนเกอกับฉิวเฉิงรั่วก็นั่งลงเคียงข้างกัน เนี่ยอู๋ชางกับยงหรูอวี้สองคนก็กลับมาที่ข้างกายพวกนาง ต่างคนต่างนั่งลง
ในห้องโถงเงียบสงัด มีเพียงเสียงจิบชาเบา ๆ ของเจ้าเมืองเหมย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าเมืองเหมยวางถ้วยชา หันหน้าหาทุกคน เปล่งเสียงเอ่ยว่า “สหายน้อยทุกท่าน เปิ่นจั้วเป็นคนที่นิสัยใจร้อน วันนี้มีเรื่องใด คิดว่าทุกท่านจะต้องรู้อยู่แล้ว”
“นี่ย่อมแน่นอน เจ้าเมืองเหมย พวกข้าก็เป็นคนนิสัยใจร้อน ท่านพูดตรง ๆ เถิด” คนที่พูดเป็นผู้ฝึกมารบึกบึน ระดับการฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลาง พอเขาเอ่ยปาก ผู้ฝึกมารขั้นต้นสองคนที่อยู่ข้างกายก็ส่งเสียงสนับสนุน
โม่เทียนเกอสังเกตดูพวกเขา สามคนนี้น่าจะมาด้วยกัน ถือผู้ฝึกมารบึกบึนนั้นเป็นผู้นำ อีกสองคนเรียกขานว่า “พี่ใหญ่” อยู่ตลอด แต่ไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดหรือว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบาน สามคนนี้วาจาพฤติกรรมจาบจ้วงยิ่ง เมื่อครู่ทุกคนรวมตัวกันพูดคุย พวกเขาเคยจับสังเกตพวกเขาเหล่าผู้ฝึกเต๋าซ้ำ ๆ สายตาไม่เป็นมิตรมากนักเลย
เจ้าเมืองเหมยยิ้มบาง กล่าวว่า “สหายน้อยจินสืออย่าใจร้อน ในเมื่อเปิ่นจั้วเชิญพวกท่านมา ย่อมต้องอธิบายเรื่องทุกอย่างให้กระจ่างชัด”
เขาหยุดชั่วครู่ เพิ่มน้ำเสียงกล่าวต่อว่า “สหายน้อยทุกท่าน เพื่อจะเปิดสถานที่ลับ พวกท่านรออยู่ที่เมืองซิงลั่วของข้ามานานแล้ว ถึงขนาดมีสหายน้อยบางท่านรอมาเป็นเดือน กับการเสียเวลาของทุกท่าน เปิ่นจั้วขออภัยมา ณ ตรงนี้ วันนี้ มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบห้าคนตอบรับคำขอร้องของเปิ่นจั้วแล้ว เต็มใจจะมุ่งหน้าสู่สถานที่ลับ จำนวนคนเพียงพอแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้เปิ่นจั่วก็จะเปิดกำแพงอาคมสถานที่ลับ ให้สหายน้อยทุกท่านเข้าไปทดสอบ เป็นอย่างไร”
ได้รับข่าวสารที่แน่ชัด ผู้ฝึกตนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ส่วนใหญ่ใบหน้าเผยแววยินดี พวกเขาเต็มใจรั้งอยู่ที่นี่ก็มุ่งหมายอยู่ที่สถานที่ลับโบราณกาลนี้ ไม่อย่างนั้น เหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานพวกนี้ไหนเลยจะเต็มใจเสียเวลา? ขณะนี้ในที่สุดก็สามารถรอจนประสบผล ไม่ต้องรอเสียเปล่าอีก
เห็นสีหน้าของทุกคน เจ้าเมืองเหมยพึงพอใจถึงสิบส่วน กล่าวว่า “ข้อมูลโดยเฉพาะของสถานที่ลับ สหายน้อยทุกท่านน่าจะได้ทราบจากปากของผู้อาวุโสเมืองซิงลั่วของข้ากันหมดแล้ว เปิ่นจั้วก็จะไม่พูดมาก สำหรับการท่องสถานที่ลับครั้งนี้ เปิ่นจั้วเพียงจะพูดสองจุด หนึ่ง สถานที่ลับนี้น่าจะเป็นสถานที่แห่งทดสอบโบราณกาล การทดสอบทุกครั้งมากที่สุดสามวัน คนที่ทดสอบทุกคนล้วนจะถูกดีดออกมานอกสถานที่ลับ ดังนั้น ทุกท่านโปรดเร่งมือ สอง ไม่ว่าทุกท่านได้รับรางวัลอันใดในการทดสอบ เปิ่นจั้วล้วนไม่ใส่ใจ แต่หากได้รับผลเทพสวรรค์ ได้โปรดส่งมอบออกมา ไม่อย่างนั้น เปิ่นจั้วก็มีฝีมืออยู่บ้าง!”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งคู่ของเจ้าเมืองเหมยเต็มไปด้วยพลังสภาวะ กวาดมองทุกคน ก่อนหน้านี้ เจ้าเมืองเหมยผู้นี้ท่าทีเป็นมิตร วาจาสุภาพ ไม่มีความทะนงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สักเศษเสี้ยว จนกระทั่งบัดนี้ ทุกคนจึงรู้สึกว่า คนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จริงแท้แน่นอน
เห็นทุกคนไม่ปริปากสักคำเงียบกริบด้วยความหวาดกลัว เจ้าเมืองเหมยหัวเราะฮา ๆ ขึ้นมาอีก “สหายน้อยทุดท่านก็ไม่ต้องเกร็งจนเกินไป ไม่ว่าจะสามารถประสบผลสำเร็จหรือไม่ ขอเพียงออกมาจากสถานที่แห่งการทดสอบ เปิ่นจั้วล้วนจะมอบค่าเหนื่อยให้เล็กน้อย ถึงทุกท่านล้วนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ไม่จำเป็นว่าจะเห็นอยู่ในสายตา แต่ว่า จะดีจะร้ายก็เป็นน้ำใจเล็กน้อยของเปิ่นจั้ว”
“ฮี่ ๆ” เป็นผู้ฝึกมารบึกบึกคนก่อนหน้านี้ที่เปิดปากขึ้นมาอีก เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าเมืองเหมยเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านสามารถให้พวกข้าเข้าสถานที่ลับ พวกข้าไหนเลยยังจะมีข้อเรียกร้องอื่นอีก”
ครั้งนี้ เจ้าเมืองเหมยเพียงยิ้มบาง ไม่พูดด้วยเลย กล่าวต่อไปว่า “เอาล่ะ สหายน้อยทุกท่าน คิดว่าทุกคนจะต้องร้อนใจแล้ว พวกเราไม่ต้องเสียเวลา ออกเดินทางเลยเถอะ”
พูดจบ เจ้าเมืองเหมยลุกขึ้นยืน นำออกจากโถงใหญ่ไปก่อน จากนั้นโบกแขนเสื้อ เหยียบบนอาวุธเวทบิน รอจนทุกคนล้วนออกจากโถงใหญ่ก็ติดตามเจ้าเมืองเหมยไปด้วยกัน กลายเป็นแสงหลบหนีไล่ตามไป
ขณะนี้ ผู้ฝึกตนที่ไร้การไร้งานของเมืองซิงลั่วได้ค้นพบภาพเหตุการณ์อันหาชมได้ยากนี้ : เหนือเมืองซิงลั่ว แสงหลบหนียี่สิบกว่าสายวูบผ่านไปด้วยกัน สีสันหลากหลาย ดูท่าถึงกับเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานของเมืองซิงลั่วทั้งหมดล้วนชุมนุมกัน
“เฮ้ย ๆ ทุกคนดูบนฟ้าเร็ว!” มีผู้ฝึกตนที่เกรงเพียงว่าใต้หล้าไม่วุ่นวายตะโกนขึ้นมา “ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมากขนาดนี้ พวกเขาไปทำอะไรน่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของเขา บนถนน ในร้านค้า มีคนมุดออกมาแหงนหน้ามองขึ้นไปไม่หยุด “โห จริงด้วย คนมากขนาดนี้ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานของเมืองซิงลั่วทั้งหมดเคลื่อนไหวแล้วกระมัง”
“พวกเขาจะไปต่อสู้หรือ”
“ไม่แน่ว่าค้นพบทรัพย์สมบัติอะไร ไปแย่งกับคนของแดนมารอื่นแล้ว”
“จิ๊ ๆ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมากขนาดนี้ ช่างยิ่งใหญ่นัก……”
“ใช่ เมื่อไหร่ข้าจะสามารถก่อเกิดตานทองคำสำเร็จ แสดงอำนาจสักหน่อย…… “
วาจาอิจฉาเลื่อมในของเหล่าผู้ฝึกตนระดับต่ำพวกนี้ เหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่บินผ่านบนฟ้าย่อมไม่ได้ยิน พวกเขากำลังมุ่งมั่นติดตามเจ้าเมืองเหมยไปยังสถานที่ลับ
ออกจากเมืองซิงลั่วแล้วเข้าไปในเขาซิงลั่วก็คือเขาเจียหลิงที่อาณาจักรตงถังเรียกขาน โม่เทียนเกอรู้สึกเพียงว่าปราณมารยิ่งมายิ่งอ่อนจาง ค่อย ๆ บุกลึกไปในเทือกเขา หมอกหนาบดบังนัยน์ตา ทิศทางไม่ชัดเจน
“สหายเต๋าโม่” บินไปครู่หนึ่ง เนี่ยอู๋ชางถ่ายทอดเสียงเบา ๆ ว่า “ท่านจดจำเส้นทางขามาได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอฟังวาจานี้แล้วก็ย้อนนึกคร่าว ๆ กลับตระหนกอย่างใหญ่หลวง “จำได้ไม่ชัดเจน!” ความทรงจำของผู้ฝึกตนดีกว่าปุถุชนมาก พวกเขาสามารถจดจำเรื่องเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นหรือคนคนหนึ่งได้เคยพบเมื่อหลายสิบปีก่อนได้อย่างง่ายดาย สถานการณ์ที่จดจำทางที่เพิ่งจะเดินผ่านได้ไม่ชัดเจนประเภทนี้ โม่เทียนเกอไม่เคยประสบมาก่อนเลย
นางย้อนนึกโดยละเอียดรู้สึกเพียงว่าหลังออกจากเมือง นางยังจดจำได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่เข้าหมอกหนาแล้วกลับจำได้เพียงการเลี้ยวไม่กี่ครั้งคร่าว ๆ จำไม่ได้ว่าบินไปไกลเท่าไหร่กันแน่
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอมองเนี่ยอู๋ชาง บนหน้าผากทั้งสองล้วนเห็นเหงื่อเย็นยะเยียบ หมอกหนานั่นจะต้องมีปัญหา แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นค้นพบหรือไม่
เวลานี้ เจ้าเมืองเหมยที่บินอยู่หน้าสุดจู่ ๆ หันหน้ากลับมา เอ่ยว่า “สหายน้อยทุกท่าน นี่คือหมอกหลงทางในเมืองซิงลั่ว นอกจากหลงทางแล้วไม่มีผลร้ายอื่นเลย พวกท่านไม่ต้องกังวลใจ”
ได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนเห็นความตื่นตัวในดวงตาของอีกฝ่าย
เจ้าเมืองเหมยเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ เหนือกว่าพวกนางหนึ่งระดับชั้น การถ่ายทอดเสียงลับเมื่อครู่นี้ของพวกนางจะต้องถูกเขาได้ยินเป็นแน่ จึงจงใจหันกลับมาอธิบาย แต่พฤติกรรมนี้ของเขาในสายตาของพวกนางทั้งสองคนกลับกระตุ้นความตื่นตัวให้เพิ่มสูงขึ้น — ในสถานการณ์ที่เจ้าเมืองเหมยอยู่ด้วย พวกนางคิดจะสื่อสารแยกเป็นเอกเทศถึงกับเป็นไปไม่ได้
ทั้งสองคนไร้หนทางสื่อสาร ได้แต่ต่างคนต่างครุ่นคิด โม่เทียนเกอสงบจิตใจ ใคร่ครวญช้า ๆ นางเคยชินกับการกระทำเรื่องราวคนเดียวเสมอมา ตอนนี้สมมติว่าไม่มีเนี่ยอู๋ชางอยู่ที่นี่ ตนเองคนเดียวตัดสินใจไปก็พอ ถึงอย่างไรตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับเนี่ยอู๋ชาง พฤติกรรมในการจัดการเรื่องราวของพวกนางสองคนคล้ายคลึงกันยิ่ง คิดว่าความแตกต่างจะไม่มากเกินไป
พวกนางตอนนี้ตัวอยู่ที่หมอกหลงทิศ แล้วยังมีเจ้าเมืองเหมยนำทางอยู่ข้างหน้า การหลบหนีไม่ใช่สิ่งที่ชาญฉลาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ระงับจิตใจสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงเงียบ ๆ ไม่ว่าจะอย่างไร นอกจากลูกน้องของตัวเจ้าเมืองเหมย ที่นี้มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบห้าคน คาดว่าเขาก็ไม่มีทางจัดการตามใจชอบ
พอคิดอย่างนี้ โม่เทียนเกอใจนิ่งลง มองเนี่ยอู๋ชางอีกที อีกฝ่ายก็เหลือบมองนางกลับ ทั้งสองคนสบตายิ้ม ใจสื่อถึงกัน ก้มหน้าก้มตาเร่งเดินทางต่อไป
ผ่านไปพักหนึ่ง หมอกหนาเปิดออก เจ้าเมืองเหมยหยุดอยู่กลางอากาศเป็นคนแรก เอ่ยเสียงดังว่า “ทุกท่าน พวกเรามาถึงแล้ว ที่นี่ก็คือที่ตั้งของสถานที่ลับ ด้านล่างมีปราณพิษ ทุกท่านโปรดหยิบหุ่นไม้ที่เปิ่นจั้วมอบให้ก่อนหน้านี้ออกมา”
ได้ยินวาจานี้ ผู้ฝึกตนคนอื่นพากันล้วงหุ่นไม้ออกมาแขวนไว้ที่เอว
โม่เทียนเกอลังเลครู่หนึ่ง มองเนี่ยอู๋ชาง ส่ายหน้าแล้วถึงล้วงผังปากั้วไท่จี๋ออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ ใส่ไว้ในแขนเสื้อ ทำสัญญาณให้เนี่ยอู๋ชางขยับมาใกล้นาง
ด้วยคุณสมบัติสะกดอินหยางห้าธาตุของผังปากั้วไท่จี๋ ยิ่งบวกกับว่าก่อนหน้านี้นางได้ให้เม็ดลมบริสุทธิ์น้ำค้างหยกแก่เนี่ยอู๋ชางไปแต่แรก การสกัดกั้นปราณพิษเล็ก ๆ นี้ปัญหาไม่ใหญ่เลย
พวกนางไม่เคลื่อนไหวเป็นครึ่งค่อนวัน เจ้าเมืองเหมยนั้นในที่สุดยังมองพวกนางแวบหนึ่ง โชคดีที่ไม่ได้ให้ความสนใจจนเกินไปเลย เพราะว่าก็มีผู้ฝึกตนคนอื่นที่มีฝีมือนอกเหนือจากนี้ที่ไม่ได้ใช้หุ่นไม้ นี่ไม่แปลกประหลาดเลย ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานผู้ใดบ้างจะไม่มีทักษะลับสักหลายท่า? การป้องกันปราณพิษ เรื่องเล็กอย่างนี้ย่อมไม่ยุ่งยากสำหรับพวกเขา เพียงแต่แต่ละคนล้วนมีถนัดส่วนตัว ผู้ที่ไม่ได้มั่นใจมากเกินไปก็จะเลือกหุ่นไม้ที่พวกเขาได้รับ
“ทุกท่านล้วนเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเราก็ลงไปเถอะ!” เจ้าเมืองเหมยพูดจบก็กลายเป็นแสงหลบหนี ทิ้งตัวลงไปทันควัน ฝีมือของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เผยออกมาอย่างไร้ข้อกังขา
หลังจากนั้น ผู้อาวุโสของเมืองซิงลั่วหลายคนที่เขาพามาก็ทิ้งตัวลงไป คนอื่น ๆ เห็นแล้วก็ติดตามอยู่ข้างหลัง
รอจนทุกคนหยุดการทิ้งตัว โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง ที่นี่เป็นหุบเขาเล็ก ๆ ลักษณะภูเขาไม่นับว่าชัน ภูมิประเทศก็ไม่อันตราย เส้นทางสองด้านกว้างขวางยิ่ง ดูแล้วไร้ความผิดปกติอันใด สถานที่ที่พวกเขาหยุดอยู่ในขณะนี้เป็นที่สูงเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนหุบเขา ด้านหลังเป็นหน้าผาที่สูงหน่อย ด้านหน้าเป็นแอ่งกระทะต่ำลงไปหน่อย
ที่แห่งนี้ไม่มีปราณมารแล้ว แล้วก็ไม่มีพลังวิญญาณเช่นกัน น่าจะไม่มีเส้นเลือดวิญญาณ สถานที่ลับโบราณกาลถึงกับอยู่ที่สถานที่อย่างนี้? แต่ว่า นี่ก็มิใช่เป็นไปไม่ได้ ยุคโบราณกาลกับทุกวันนี้เดิมก็ไม่เหมือนกัน บางทีเส้นเลือดวิญญาณอาจจะเลือนหายไปในการผันแปรของกาลเวลาแล้ว
“สหายน้อยทุกท่าน ” เจ้าเมืองเหมยหมุนตัว เอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “สถานที่ลับที่เปิ่นจั้วบอกก็อยู่ที่นี่เอง เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เปิ่นจั้วกับผู้อาวุโสลูกน้องทั้งหลายจะกระตุ้นทักษะลับ เปิดกำแพงอาคม สหายน้อยทุกท่านช่วงชิงเวลาด้วย”
พูดจบ เจ้าเมืองเหมยก็ไม่พูดพร่ำ เรียกเหล่าผู้อาวุโสของเมืองซิงลั่ว ให้เขาอยู่ตรงกลาง ทั้งหมดหกคน เดินลงไประยะหนึ่ง ยืนนิ่งอยู่ในแอ่งกระทะ
จากนั้น ตามเสียงสั่งการของเจ้าเมืองเหมย ภายใต้การนำของเขา ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขับเคลื่อนทักษะลับพร้อมกัน ทันใดนั้นลำแสงหกลำสว่างขึ้น แทงทะลุชั้นฟ้า
………………..
ตอนที่ 401 – วายุหิมะเต็มแผ่นฟ้า