หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 402 พลังวิญญาณเสื่อมสูญ
ตอนที่ 402 – พลังวิญญาณเสื่อมสูญ
พริบตาที่วังวนพลังวิญญาณถาโถมใส่พวกเขา ทุกคนมีปฏิกิริยาไม่เหมือนกัน
เนี่ยอู๋ชางสวมถุงมือชกใส่ทุ่งน้ำแข็ง เพียงได้ยินเสียงระเบิด บนทุ่งน้ำแข็งหิมะและหมอกลอยขึ้นมา ถึงกับก่อตัวเป็นม่านป้องกันรอบตัวนาง
ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วสองคนกลับหยิบแหวนหยกออกมาคนละวง พอไขว้กัน แหวนหยกสองวงรวมจากสองเป็นหนึ่ง ส่องแสงบาดนัยน์ตาจากจุดที่ไขว้กัน ก่อตัวเป็นโล่คุ้มครองอันแข็งแกร่ง คุ้มครองทั้งสองคนอย่างหนาแน่น
ส่วนโม่เทียนเกอ นางล้วงกระเป๋าเอกภพ หยิบผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาก สะบัดเบา ๆ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลายเป็นไอหมอกห้อมล้อมนาง
แน่นอนว่าพวกนี้ล้วนเป็นเพียงวิธีการป้องกันตัว การทดสอบโบราณกาลเป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาผ่านด่านง่ายดายเช่นนี้
หลังตั้งหลักให้มั่นอยู่ในพายุหิมะรุนแรง ทั้งสี่คนต่างคนต่างใช้ฝีมือต่อสู้กับพายุหิมะที่โจมตีตนเองอยู่กับที่
เริ่มแรก โม่เทียนเกอถึงจะระมัดระวัง แต่ไม่ได้ใส่ใจมากจนเกินไปเลย เพราะพวกเขาเพิ่งจะเข้าสถานที่แห่งการทดสอบ พูดตามหลักเหตุผล ด่านนี้น่าจะไม่ยากจนเกินไป แต่ว่า ไม่นานนัก นางกลับยิ่งมายิ่งตะลึง
พายุหิมะเหล่านี้คล้ายจะมีสติปัญญา ถึงกับสามารถแปรเปลี่ยนไปตามพลังวิญญาณข้างกายนาง แล้วปรับทิศทางและกำลังของการโจมตี!
ณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลไม่ธรรมดาสามัญดังคาด
หลังประมือไปได้หลายอึดใจ ขวางพายุหิมะออกไปหลายจ้างอีกรอบ โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อ สละผังปากั้วไท่จี๋ จากนั้นพลิกข้อมือเรียกพัดแห่งสวรรค์และโลกาออกมา
ลมหนาวยิ่งมายิ่งรุนแรง เกล็ดน้ำแข็งปุยหิมะถล่มใส่เขตแดนพลังวิญญาณรอบ ๆ ทั้งสี่คน ผสมผสานกับพลังสภาวะอันกล้าแข็ง
ทั้งสี่คนกลั้นใจตั้งสติ ต่อสู้กับยักษ์พายุหิมะอันไร้สภาพ พายุหิมะยิ่งมายิ่งรุนแรง ประดุจมีมือข้างหนึ่งบงการอยู่เบื้องหลังอย่างเลือนราง ทั้งสี่คนจากเริ่มแรกที่ฟาดฟันอย่างปลอดโปร่ง ค่อย ๆ มือเท้าปั่นป่วนขึ้นมาบ้างแล้ว
ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง ทั้งสองคนร่วมมือกัน ถึงแม้จะเยี่ยมยอดกว่าผู้ฝึกตนทั่วไป แต่ก็แค่ระดับเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางอย่างโม่เทียนเกอ ส่วนโม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชาง ถึงแม้ยังไม่ถึงขนาดไร้หนทางต่อต้าน กลับพลังวิญญาณสับสนขึ้นมาบ้างอย่างช้า ๆ……
“ตั้งสติเอาไว้!” เมื่อค้นพบจุดนี้ โม่เทียนเกอตะโกนออกมา “พวกเราต้องร่วมมือกันถึงจะไหว!”
ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าร่วมมือกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน สถานการณ์คงดีกว่าการต่อสู้โดดเดี่ยวลำพังอยู่สักหน่อย จะไม่ได้อย่างหนึ่งแต่เสียอีกอย่างหนึ่ง
วันเวลาเหล่านี้เนี่ยอู๋ชางได้พัฒนาความรู้ใจประมาณหนึ่งกับโม่เทียนเกอแล้ว ขณะนี้เคลื่อนเข้าใกล้นางทันทีโดยไม่พูดไม่จาสักคำ แต่สิ่งที่ทำให้พวกนางประหลาดใจคือยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วสองคนก็ถึงกลับรวบรัดหมดจดเช่นกัน เคลื่อนมาหาพวกนางอย่างไม่ลังเลแม้แต่เศษเสี้ยว
โม่เทียนเกอรู้สึกพิลึกนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกโล่งใจยิ่งนัก การเดินทางร่วมกันไม่กลัวการระแวดระวังกันและกันก็กลัวว่าจะไม่สามารถประสานงานกันในช่วงวิกฤต คนสองคนนี้ถึงระดับการฝึกตนจะต่ำสักหน่อย แต่ล้วนเป็นคนฉลาด สองคนร่วมมือกันมีความแข็งแกร่งพอสมควรแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยจะไม่ถ่วงนางและเนี่ยอู๋ชาง
สี่คนร่วมกลุ่มกัน พายุหิมะรอบด้านกลายเป็นยิ่งรุนแรงขึ้นทันควัน แต่ทว่า ทุก ๆ คนเพียงต้องรับผิดชอบทิศทางหนึ่ง กลับง่ายดายกว่าเมื่อครู่นี้มากมาย
โม่เทียนเกอกางพัดแห่งสวรรค์และโลกา กลีบดอกไม้กิ่งไม้นับไม่ถ้วนลอยออกมาจากในพัด เข้าพัวพันพายุหิมะที่อยู่ตรงหน้านาง
พร้อมกับการเลื่อนขึ้นของระดับการฝึกตน นางค่อย ๆ คลำทางการใช้งานหลายชนิดของพัดแห่งสวรรค์และโลกาออก ในพัดแห่งสวรรค์และโลกาไม่เพียงมีขุนเขามีสายน้ำ ยังมีบุปผาสกุณามัจฉาภุมรา ทั้งหมดสามารถแปลงเป็นมีสภาพ ขอเพียงนางมีพลังเพียงพอ ก็สามารถสร้างมายาใช้เป็นวิธีการต่อสู้
เมื่อเห็นฝีมือนี้ของนาง ยงหรูอวี้จ้องมองนางอย่างตะลึง
สี่คนรวมตัวกัน โม่เทียนเกอขณะนี้มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ เห็นแววตานี้ของเขา อดถามมิได้ว่า “สหายเต๋ายง มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ”
ยงหรูอวี้ส่ายหน้า กล่าวว่า “ไม่มีอะไร เพียงแค่ว่าอาวุธเวทชิ้นนี้ของสหายเต๋าฉินช่างร้ายกาจนัก ควบคุมพลังวิญญาณถึงระดับที่ละเอียดอ่อน ถึงแม้ผู้ฝึกตนอวิ๋นจงข้าขึ้นชื่อว่าเชี่ยวชาญการควบคุมพลังวิญญาณ สามารถไปถึงระดับเท่านี้ก็ไม่ง่าย จ้ายเซี่ยประหลาดใจอยู่บ้างเท่านั้น”
นางมิใช่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจง เรื่องนี้ตอนที่พบหน้ากันที่เมืองเทียนเสวี่ยก็เคยพูดแล้ว ยงหรูอวี้มีความคิดเช่นนี้ไม่แปลกประหลาดเลย
แต่โม่เทียนเกอเพียงยิ้ม ๆ ไม่อธิบายมากความ อาวุธเวทนี้มาจากจินตนาการของโม่เหยาชิง โม่เหยาชิงเดิมเป็นผู้ฝึกตนอวิ๋นจง อีกทั้งเป็นบุคคลที่พรสวรรค์เลิศล้ำเยี่ยงนั้น มีแนวคิดชุดหนึ่งของตนเองต่อการควบคุมพลังวิญญาณ หลังจากที่โม่เทียนเกอหลอมสร้างอาวุธเวทนี้ออกมาตามจินตนาการนาง พร้อมกับการคลำทางไปตามแนวคิดของโม่เหยาชิงอย่างช้า ๆ ก็ย่อมจะมีความก้าวหน้าก้าวใหญ่ด้านการควบคุมพลังวิญญาณ
ภายใต้การร่วมมือของทั้งสี่คน มืออันไร้สภาพข้างนั้นที่บงการวังวนพายุหิมะค่อย ๆ อ่อนกำลังลงไป
ตอนที่ทั้งสี่คนถอนหายใจโล่งอก เกล็ดหิมะที่ล่องลอยอยู่รอบด้านจู่ ๆ ควบรวมเป็นก้อนน้ำแข็งทุบลงมา!
“ระวัง!” กลับเป็นเนี่ยอู๋ชางที่ตะโกนออกมา จากนั้นทะยานขึ้นกลางอากาศ หมัดคู่จู่โจมใส่อากาศว่างเปล่า
โม่เทียนเกอเห็นแล้วจิตใจหนาวเหน็บ ไม่เพียงเพราะก้อนน้ำแข็งพวกนี้ ยิ่งเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเนี่ยอู๋ชาง หมัดคู่ของนางที่จู่โจมใส่อากาศแทบจะกลายเป็นภาพหลอน อาศัยพลังลมของวิชาหมัดของนางอย่างเดียวก็สกัดก้อนน้ำแข็งเหล่านี้ลงได้แล้ว!
ผู้ฝึกยุทธ์ ที่แท้นี่ก็คือผู้ฝึกยุทธ์ ความแข็งแกร่งอันกล้าแข็งนัก!
ในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่โม่เทียนเกอเคยเห็นมีไม่มากเลย คนที่ฝึกตนถึงก่อเกิดตานยิ่งไม่มี ตอนที่ติดตามท่านอารองพเนจร นางเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งคน ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเป็นเช่นเดียวกับท่านอารอง อายุสองร้อยกว่าปีแล้ว กลับยังคงหยุดอยู่ที่ระดับสร้างฐานพลัง เขาพูดว่า วิชาต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์เทียบกับผู้ฝึกเวทธรรมดาแล้วจะแกร่งกว่าหน่อย แต่ว่า พวกเขาเลื่อนระดับยากมาก สามารถฝึกตนไปถึงก่อเกินตานก็เป็นขนหงส์เขากิเลนแล้ว เขาฝึกตนอย่างขมขื่นมาสองร้อยกว่าปีแล้ว ในด้านพลังต่อสู้อย่างเดียว ผู้ฝึกตนขั้นกลางมากมายล้วนมิใช่คู่มือของเขา ถึงขนาดที่สามารถดวลกับผู้ฝึกตนขั้นปลาย แต่ว่า เขากลับมองไม่เห็นความหวังในการเลื่อนระดับ เขาเชื่อว่า ผู้ฝึกยุทธ์หากเลื่อนขึ้นก่อเกิดตานจะยิ่งแกร่ง แต่ว่า เขาไม่มีโอกาสแล้ว
ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ภายหลังเป็นอย่างไร โม่เทียนเกอไม่ทราบเลย นี่เป็นเพียงคนผู้หนึ่งที่นางและท่านอารองได้สัมผัสในช่วงชีวิตของการพเนจรเท่านั้น นางเข้าใจความหดหู่จนใจของผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ แต่ไม่มีโอกาสจะไปพิสูจน์คำพูดของเขา
จนกระทั่งวันนี้ เห็นเนี่ยอู๋ชางลงมือสุดแรง นางจึงทราบว่า สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นพูดไม่ผิดสักนิด ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่ฝึกตนถึงระดับก่อเกิดตานเป็นตัวตนอันน่ากลัวผู้หนึ่ง
ถ้าหากนางมิได้มีสมบัติวิญญาณมากขนาดนั้น ถ้าหากนางเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานธรรมดาคนหนึ่ง จะมิใช่คู่มือของเนี่ยอู๋ชางเลย
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอมองเนี่ยอู๋ชางด้วยสายตาซับซ้อนอย่างยิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งกลับอดยิ้มมิได้
ในการคบหากับเนี่ยอู๋ชาง นางไม่ได้อยากจะเพลิดเพลินกับความรู้สึกดีใจที่ได้ชี้แนะเนี่ยอู๋ชางเลย กลับกัน คือหวังว่าจะมีคนที่จิตใจตรงกัน สามารถปรึกษากันและกัน ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน นางเชื่อมั่นในตนเองว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา แล้วก็มีอุดมคติยิ่งใหญ่และความมั่นใจอันหนักแน่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เนี่ยอู๋ชางยิ่งแข็งแกร่ง สำหรับตนเองมิใช่ว่าจะยิ่งมีแรงผลักดันหรือ ความแข็งแกร่งของสหายไม่ควรจะเป็นแรงกดดันให้ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ ทว่าเป็นแรงผลักดันในการเร่งความเร็วมุ่งไปข้างหน้า
“ตะลึงอะไร ไม่ช่วยอีกข้าจะเหนื่อยตายแล้วนะ!” ข้างหูได้ยินเสียงเนี่ยอู๋ชางบ่นดังขึ้น
โม่เทียนเกอได้สติกลับมา ยิ้มบาง ๆ พลังสภาวะบนร่างกล้าแข็งขึ้นมาในทันใด โบกพัดแห่งสวรรค์และโลกาออกไปอย่างต่อเนื่อง ดอกไม้ต้นไม้นับไม่ถ้วนกระแทกใส่ก้อนน้ำแข็งที่ร่วงลงมา
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ก้อนน้ำแข็งค่อย ๆ หายไป พลังวิญญาณรอบกายฟื้นฟูสู่ความสงบนิ่งในที่สุด
ทั้งสี่คนถอนหายใจโล่งอก ต่างคนต่างหาที่นั่งลงอย่างระเกะระกะ เริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณ
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ด่านนี้พวกเขาน่าจะนับว่าผ่านแล้ว ณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลถึงอย่างไรก็เป็นณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาล การทดสอบสนามนี้พวกเขาทุกคนแทบจะเหน็ดเหนื่อยสิ้นแรงจึงผ่านด่านไปได้ แต่โม่เทียนเกอรู้สึกพิสดารอยู่บ้างขึ้นมา นางรู้สึกอยู่ตลอดว่า ม่านพลังมายานี้ถึงจะสูงส่ง แต่แข็งแกร่งไม่พอ พูดตามหลักเหตุผล ณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลไม่น่าจะมีเพียงพลังเช่นนี้ถึงจะถูก แต่ว่า หากจะบอกว่านี่ไม่ใช่ณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลก็ไม่ใช่อย่างนั้น นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโบราณกาลข้างในจริง ๆ แล้วก็สัมผัสได้ถึงความเร้นลับลุ่มลึกของณานศักดิ์สิทธิ์…….นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
คิดหาสาเหตุไม่ออก นางส่ายหน้า ขัดสมาธิหลับตา จดจ่อกับการฟื้นฟูพลังวิญญาณ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตอนนี้ยังคงเป็นภายในการทดสอบ หากไม่สามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณทันเวลาจะมีผลกระทบต่อการทดสอบในภายหลังสูงมาก
เพิ่งจะคิดอย่างนี้เสร็จ ทันใดนั้นนางค้นพบว่ามีที่ไหนไม่ถูกต้องแล้ว–
“หืม? ทำไมเป็นอย่างนี้!” ข้างหูได้ยินเสียงอุทานของฉิวเฉิงรั่วดังขึ้นมา
โม่เทียนเกอลืมตา จ้องมองนาง
ฉิวเฉิงรั่วสีหน้าซีดขาว มองนาง หันกลับไปมองยงหรูอวี้ “ซือเกอ ข้า……ข้าคล้ายกับจะไม่อาจฟื้นฟูพลังวิญญาณ เมื่อครู่ลองอยู่พักใหญ่ พลังวิญญาณในกายไม่เพิ่มขึ้นสักนิด”
ยงหรูอวี้ฟังแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนไป หันหน้ามองโม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชาง “สหายเต๋าทั้งสอง พวกท่านเล่า”
เนี่ยอู๋ชางขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “มิผิด ข้าปรับลมหายใจนานขนาดนี้ พลังวิญญาณในกายไม่เพิ่มขึ้นเลย”
ได้ยินเนี่ยอู๋ชางยืนยัน สีหน้าของยงหรูอวี้กลายเป็นซับซ้อนอยู่บ้าง คล้ายจะโล่งใจหน่อย แล้วก็คล้ายจะตึงเครียดยิ่งกว่า เขาเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ข้าก็เช่นกัน” เขาพูดอย่างนี้จบแล้วก็มองทางทางโม่เทียนเกอพร้อมกับสองคนที่เหลือ
ถูกพวกเขาสามคนเพ่งมอง โม่เทียนเกอก็พยักหน้า อันที่จริง ตอนที่นางนั่งสมาธิเมื่อครู่ พลังวิญญาณในกายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่นี่ไม่ได้แปลว่านางไม่ได้รับผลกระทบ หลังมีพลังวิญญาณหยาง ปัจจุบันนี้นางมีร่างแห่งความโกลาหลแรกเริ่ม ในกายก่อเกิดเป็นโลกหนึ่งใบ ถึงจะไม่มีพลังภายนอกมาเติมก็มีวัฏจักรเวียนวน ก่อเกิดไม่สิ้นสุด เพราะเหตุนี้ พลังวิญญาณในกายนางฟื้นฟูเร็วกว่าคนอื่นอยู่บ้าง ตอนต่อสู้ก็ยึดครองความได้เปรียบสักหน่อย แต่ว่าเมื่อครู่นี้นางเพียงสัมผัสได้ว่าในกายตนเองฟื้นฟูพลังวิญญาณจำนวนหนึ่งเนื่องจากวัฏจักร มิใช่พลังวิญญาณที่ดูดซับเข้ามาจากภายนอกเลย
อย่างที่ทุกคนทราบ ผู้ฝึกตนนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ หนึ่งคือดูดซับพลังวิญญาณจากภายนอกมาเติม สองคือตอนที่โคจรวงใหญ่ พลังวิญญาณในชีพจรปราณเกิดเป็นวัฏจักร ร่างกายสามารถก่อเกิดพลังวิญญาณอ่อนจาง แต่พลังวิญญาณที่ก่อเกิดแบบหลังอ่อนจางยิ่ง ดังนั้น ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ผู้ฝึกตนล้วนดูดซับพลังวิญญาณจากโลกภายนอก ก็ด้วยสาเหตุนี้ เส้นเลือดวิญญาณจึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการฝึกตนของผู้ฝึกตน
แต่ตอนนี้ พวกเขานั่งสมาธิปรับลมหายใจ กลับไม่อาจดูดซับพลังวิญญาณจากโลกภายนอกเลย ก็เหมือนกับว่าพลังวิญญาณรอบบริเวณล้วนถูกขโมยไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียงแล้ว
ถ้าหากเป็นสถานที่อย่างโลกปุถุชนที่ไม่มีเส้นเลือดวิญญาณเลย การเกิดสถานการณ์ประเภทนี้มันปกติมาก แต่ว่า พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ารอบบริเวณมีพลังวิญญาณอันพลุ่งพล่าน!
ประหลาด นี่ประหลาดเกินไปแล้ว รอบด้านมีพลังวิญญาณไม่หมดไม่สิ้น พวกเขากลับไม่อาจดูดซับ ประดุจพลังวิญญาณเหล่านี้ล้วนตัดขาดจากพวกเขา
ปรากฏการณ์ชนิดนี้ ถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานก็รู้สึกว่าอยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของตนเอง ตามสามัญสำนึก สถานการณ์ประเภทนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย!
สรุปว่าเกิดปัญหาที่ตรงไหน หรือว่าพลังวิญญาณเหล่านี้ไม่สามารถถูกดูดซับ
ความเงียบงันแผ่ขยายไปในหมู่ทั้งสี่คน ทุกคนแล้วนเงียบงัน ใครก็คิดหาเหตุผลไม่ออก
ผ่านไปพักใหญ่ โม่เทียนเกอสูดลมหายใจเข้าลึก อ้าปากกล่าวว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกัน ตอนนี้พวกเราจะต้องฟื้นฟูพลังวิญญาณ ไม่สามารถชักช้าไปอีก”
พอนางเอ่ยเตือน อีกสามคนดุจตื่นขึ้นจากฝัน ต่างคนต่างล้วงเอาโอสถออกมา หยิบศิลาวิญญาณออกมา ในเมื่อไม่อาจดูดซับพลังวิญญาณจากโลกภายนอก พวกเขาก็ได้แต่ใช้วัตถุอื่นแล้ว
………………..
ตอนที่ 403 – ปริศนา