หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 408 ตัวประหลาด
ตอนที่ 408 – ตัวประหลาด
ไม่ว่าเจ้าเมืองเหมยคิดจะทำอะไร ตอนนี้พวกเขาล้วนกลายเป็นตะพาบในไหแล้ว ถ้าอยากหนีเอาชีวิตรอดไม่มีทางอื่นนอกเสียจากปีนออกจากไหหรือว่าทำลายไห
แต่ว่า ไม่ว่าคิดจะปีนออกหรือว่าทำลายไหล้วนมิใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น เพราะว่าคนผู้นั้นที่ตั้งไหระดับการฝึกตนสูงกว่าพวกเขามากเกินไป อีกทั้ง พวกเขาเข้าไปในไหแล้ว เป็นฝ่ายตั้งรับสุดขีด
โม่เทียนเกอถึงขนาดคิดว่า ขณะนี้เจ้าเมืองเหมยผู้นี้อาจจะกำลังดูพวกเขาอยู่ข้างนอก คล้ายกับดูปลาที่อยู่ในตู้ปลา ไม่ว่าจะว่ายอย่างไรล้วนหนีไม่พ้นฝ่ามือของเขา
ความรู้สึกชนิดนี้ทำให้คนไม่ชอบใจจริง ๆ แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นความจริง ตอนนี้นอกเสียจากอดทนอดกลั้นแล้วก็ไร้หนทางอื่น
“สหายเต๋าฉิน” ยงหรูอวี้ถามเสียงต่ำว่า “ตอนนี้ทำอย่างไร ตัวประหลาดตัวนั้น……”
“ตัวประหลาดตัวนั้นไม่ใช่ปัญหา” ผู้ที่ตอบคือเนี่ยอู๋ชาง “ตามที่สหายเต๋าเหล่านี้พูด ไม่ว่าจะหนีอย่างไร สุดท้ายแล้วล้วนจะถูกหาเจอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราหนีอีกก็เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ อีกอย่าง มันเชื่องช้า ถึงจะสู้ไม่ได้ก็สามารถหนีได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรามิสู้รออยู่ที่นี่ ดูเจ้าสิ่งนี้เป็นประสบการณ์สักหน่อย หากไม่ไหวค่อยหาทางหนีทีไล่ก็ยังไม่สาย”
“อืม” โม่เทียนเกอแสดงความเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ฟังคำบรรยายของผู้ฝึกมารสามคนนี้ ตัวประหลาดนั่นเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ได้แต่ทำอย่างนี้ล่ะนะ “สหายเต๋าทั้งสาม พวกท่านว่าอย่างไร”
จินสือเอ่ยว่า “การตัดสินใจของท่านทั้งหลายตรงกับที่ข้าต้องการพอดี” พวกเขาสามพี่น้องมาถึงที่นี่ ลมปราณไม่เสถียร ปราณมารในร่างกายไม่เพียงพอ กำลังต้องการพักผ่อนชั่วครู่ ถึงจะเป็นการกินโอสถไม่กี่เม็ดเสริมปราณมารสักหน่อยก็ยังดี
ในเมื่อทุกคนล้วนไม่คัดค้าน ทั้งเจ็ดคนต่างคนต่างเสาะหาสถานที่ปลอดภัยพักผ่อนชั่วคราว
“สหายเต๋าโม่”
โม่เทียนเกอที่นั่งหลังชนกันสองคนกับเนี่ยอู๋ชางในทางเดินได้ยินการถ่ายทอดเสียงของเนี่ยอู๋ชาง
“อืม?” โม่เทียนเกอที่จากภายนอกยังคงนั่งสมาธิปรับลมหายใจส่งเสียงตอบรับเบา ๆ
“จุดประสงค์ของเจ้าเมืองเหมยนั่น จะเกี่ยวข้องกับตัวประหลาดตัวนั้นหรือไม่”
วาจานี้ของเนี่ยอู๋ชางทำให้โม่เทียนเกอชะงักไป นางคิดแล้วถามว่า “ทำไมถึงพูดอย่างนี้”
“ตัวประหลาดตัวนั้น เจ้าเมืองเหมยจะต้องรู้ถึงการคงอยู่ของมัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาลวงพวกเรามาที่นี่ทำอะไร ให้พวกเราสังหารเจ้าตัวนี้หรือ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ตามที่พวกเขาสามคนพูดมา เจ้าสิ่งนี้เกรงว่าพวกเราจะมิใช่คู่มือ”
ได้ยินคำพูดนี้ของเนี่ยอู๋ชาง ในสมองโม่เทียนเกอเกิดปัญญาวูบขึ้น “ท่านจะบอกว่า เขาลวงพวกเรามาที่นี่เพื่อใช้ป้อนให้ตัวประหลาดนั้นหรือ”
“อืม มีความเป็นไปได้นี้” เนี่ยอู๋ชางเอ่ย “สมมติว่าตัวประหลาดตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา เช่นนั้นต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งหาอาหารให้มัน”
“……” โม่เทียนเกอรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที พูดอย่างนี้แล้ว พวกเขาเหล่านี้แม้แต่ปลายังไม่ใช่ ทว่าเป็นหนอนที่โยนเข้าตู้ปลาให้ปลากิน!
“นี่……” นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตั้งสติขึ้นมา “นี่มิใช่เป็นไปไม่ได้ สมมติว่านี่เป็นความจริง เช่นนั้นผลึกมารกับสภาพแวดล้อมที่ไม่อาจฟื้นฟูพลังวิญญาณจะอธิบายอย่างไรเล่า ยังมี หากเป็นเพียงการป้อนอาหาร เขาลักพาตัวผู้ฝึกตนอิสระที่เดินทางผ่านเมืองซิงลั่วก็พอ เหตุใดจะต้องลงมือต่อผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่มีศักดิ์ฐานะไม่สามัญเหล่านั้นด้วยเล่า อย่างนี้ไยมิใช่การล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลใหญ่เหล่านั้นอย่างไปเสียเปล่า ๆ”
เนี่ยอู๋ชางเงียบไปคล้ายกำลังครุ่นคิด ชั่วครู่ให้หลังตอบว่า “ตัวประหลาดนั่นความเร็วเคลื่อนที่ช้ามาก ดังนั้น ขอเพียงพวกเราไม่อาจฟื้นฟูพลังวิญญาณ สุดท้ายจะถูกกลืนกิน ส่วนที่ว่าเหตุใดแม้แต่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่มีภูมิหลังไม่สามัญเหล่านั้นก็ยังวางแผนใส่ ข้าคิดว่า น่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้เขาสามารถทำได้เพียงครั้งเดียว อีกทั้งเป็นอย่างที่พวกเราคาดเดามาก่อน ผลประโยชน์ของเรื่องนี้ใหญ่โตยิ่ง ใหญ่จนเขาสามารถไม่แยแสไปโดยสิ้นเชิง ส่วนผลึกมารนั่น ข้าก็อธิบายไม่ได้”
ถึงอย่างนี้นี่เป็นการคาดเดาของพวกนาง ในสถานการณ์ที่ไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอ ไม่มีทางที่จะอุดรอยรั่วได้ทั้งหมด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ยังคงไม่ได้รับคำตอบของโม่เทียนเกอ เนี่ยอู๋ชางอดถามไม่ได้ว่า “ท่านเล่า คิดอย่างไร”
“……ข้ากำลังคิดว่า ตัวประหลาดนั่นสรุปแล้วสามารถทำลายได้หรือไม่”
เนี่ยอู๋ชางได้ยินแล้วจิตใจสั่นคลอน “ท่านสามารถคิดหาหนทางหรือ”
“กลืนกิน ดูดกลืนปราณมาร……ว่าตามเหตุผล พลังวิญญาณก็เป็นเหมือนกันถูกหรือไม่”
“อืม ดังนั้นพวกเราเจอกันก็จะถูกกลืนกินพลังวิญญาณ”
“หากเป็นปราณตายเล่า”
เนี่ยอู๋ชางอึ้งไป “นี่……”
โม่เทียนเกอถอนหายใจ “ถ้าหลิงอวิ๋นเฮ่ออยู่ที่นี่ก็ง่ายเลย” อสูรวิญญาณนกแร้งตัวนั้นของหลิงอวิ๋นเฮ่อเต็มไปด้วยปราณตายพอดี ตัวประหลาดนั้นจะร้ายกาจอีกแค่ไหนก็ไม่สามารถดูดกลืนปราณตายกระมัง
ได้ยินประโยคนี้แล้ว เนี่ยอู๋ชางผิดหวัง “ข้ายังนึกว่าท่านมีหนทางเล่นกับปราณตาย”
โม่เทียนเกอกลับยิ้มขื่น “ข้าจะไปเล่นปราณตายจากที่ไหนได้” เป็นแค่ความคิดหนึ่งเท่านั้น น่าเสียดายที่ตอนอยู่หุบเขาไร้กังวล นางไม่ได้ไปศาลเจ้าเต่าดำ ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าจะค้นพบป้ายศิลาที่คล้ายคลึงกับในศาลเจ้าเทพมังกร เสาะหาความลับของปราณตายออกมา แน่นอนว่า ตอนนี้คิดเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงตอนนั้นนางจะไปศาลเจ้าเต่าดำก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหาความลับเจอ
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง หรือว่าครั้งนี้นางยังต้องใช้อุบายอันนั้น พึ่งพาโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมากเกินไปไม่ใช่เรื่องดีอะไร
“……สหายเต๋าเนี่ย”
“อืม?” เนี่ยอู๋ชางคล้ายกับยังคงครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนั้น ส่งเสียงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ
“สมมติว่าเรื่องไม่อาจหลีกเลี่ยง ข้ามีทักษะลับที่สามารถหลบหนี ท่านเล่า”
“ข้าก็มีเวทหลายอย่าง……แต่สถานการณ์ขณะนี้ไม่แน่ว่าจะสามารถทำได้” เอ่ยถึงเรื่องนี้ เนี่ยอู๋ชางไม่ค่อยจะมีความมั่นใจ ถึงนางจะคิดว่าตนเองความแข็งแกร่งไม่ต่ำทราม แต่ผู้ที่เผชิญหน้าในตอนนี้เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนหนึ่ง ความห่างชั้นของจิตวิญญาณใหม่และก่อเกิดตานไม่ได้ก้าวข้ามง่ายดายขนาดนั้นจริง ๆ
โม่เทียนเกอฟังออก นางลังเลชั่วครู่แล้วถามว่า “ทักษะลับอันนี้ของข้าก็สามารถช่วยท่าน…… แต่ว่า ถึงเวลาข้าจะทำให้ท่านสลบไปก่อน ท่านยอมรับได้หรือไม่”
ความลับของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางจะไม่ให้บุคคลที่สามล่วงรู้เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าจะมีมิตรภาพกับเนี่ยอู๋ชางไม่เลวก็ตาม ถ้าหากถึงเวลาอยากจะช่วยชีวิตเนี่ยอู๋ชาง นางจะต้องยืนยันแน่ว่าเนี่ยอู๋ชางไม่มีสติสัมปชัญญะ เพียงแต่ กลับไม่ทราบว่าเนี่ยอู๋ชางเต็มใจจะฝากชีวิตเอาไว้ในมือนางหรือไม่
เนี่ยอู๋ชางใคร่ครวญเพียงพริบตาก็เอ่ยว่า “ถ้าไม่อาจหนีได้จริง ๆ เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว” นางหยุดชั่วครู่แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ฝากชีวิตเอาไว้กับท่านเป็นครั้งแรก”
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจความหมายของนางอยู่บ้าง กำลังจะถาม จิตหยั่งรู้ที่เฝ้าระวังเอาไว้ตลอดกลับค้นพบลมปราณพิสดารขุมหนึ่งอย่างกะทันหัน นางแผ่นหลังเย็นเฉียบ ลืมตาเอ่ยปากว่า “มีบางสิ่ง คล้ายจะเป็นตัวประหลาดที่สหายเต๋าสามคนพูดถึง!”
คนอื่น ๆ ได้ยินวาจานี้ก็ตัวสั่น ทั้งหมดล้วนลุกขึ้น ถืออาวุธเวทไว้ในมือ
จินสือมองนางอย่างค่อนข้างเหนือคาด คงจะคาดไม่ถึงว่าจิตหยั่งรู้ของนางยังจะแข็งแกร่งกว่าตนเอง ถึงอย่างไรดูจากภายนอก ระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอก็เพิ่งจะก่อเกิดตานขั้นกลางเท่านั้น ถึงขนาดที่อ่อนด้อยกว่าเขาอยู่บ้าง
อย่างรวดเร็ว คนอื่น ๆ ก็สัมผัสได้ถึงการเข้าใกล้ของสิ่งนี้ ความเร็วเคลื่อนที่ของมันไม่เร็วจริง ๆ แต่พอไม่สนใจก็จะหลุดจากขอบเขตเฝ้าระวังของจิตหยั่งรู้ของพวกเขา
เจ้าสิ่งนี้พิลึกจริง ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดตัวประหลาดนี้ก็ปรากฏขึ้นที่สุดปลายทางเดิน
อย่างที่พวกจินสือสามคนพูด ตัวประหลาดนี้ดูแล้วพลังสภาวะไม่โดดเด่น เป็นแค่ลมปราณสีดำอันพิสดารหนึ่งก้อน เหมือนกับว่าจะถูกทำลายได้ง่ายดายมาก แต่พวกเขารับทราบส่วนที่อันตรายของสิ่งนี้จากปากคำของพวกจินสือสามคนมาแล้ว ขณะนี้ไม่มีใครกล้าประมาทเลินเล่อ
ในเจ็ดคน ยงหรูอวี้ลงมือก่อน เขากับฉิวเฉิงรั่วสองคนประกบแหวนหยก ลำแสงสายหนึ่งสว่างขึ้น พัวพันเข้ากับสิ่งนี้
เมื่อครู่นี้พวกเขาสองคนจิตใจไม่หนักแน่น รู้ตัวว่าในกลุ่มเล็ก ๆ นี้ตำแหน่งไม่สู้แต่ก่อน จึงพุ่งไปลงมือหยั่งเชิงก่อนใคร ก็นับได้ว่าเป็นการแสดงท่าที
การกระทำของพวกเขาสอดคล้องกับเจตจำนงของคนอื่นพอดี พวกจินสือสามคนเคยลงมือกับตัวประหลาดนี้มาก่อน ขณะนี้พอเห็นก็พลังอ่อนโทรม หวังว่าพวกเขาสี่คนจะมีวิธีการอื่น ส่วนโม่เทียนเกอก็หวังว่าจะมีคนที่สามารถหยั่งเชิงและคิดวิธีรับมือดี ๆ ออกมา
แหวนหยกของยงฉิวสองคนเป็นอาวุธเวทโจมตีประสานที่พบเห็นค่อนข้างน้อยชุดหนึ่ง อาวุธเวทประเภทนี้เทียบกับอาวุธเวทเดี่ยว ๆ มีความเปลี่ยนแปลงมากกว่า ขณะนี้สิ่งที่พวกเขาสองคนใช้ออกมาเป็นการพัวพันมิใช่เข่นฆ่า เจตนาคือการหยั่งเชิงเป็นส่วนใหญ่
ลำแสงของแหวนหยกกลายเป็นลูกกลมหนึ่งลูกล้อมตัวประหลาดนี้เอาไว้ บีบรัดอย่างกะทันหัน คล้ายกับว่าต้องการสลายลมปราณนี้
ภายใต้การพัวพันของลำแสง ลมปราณก้อนนี้ถูกแบ่งเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย
ใบหน้ายงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วเผยแววดีใจ มู่ซีนั้นร้องออกมาแล้วว่า “เจ้าสิ่งนี้แตกสลายแล้วก็จะรวมตัวกันทันที!”
ลำแสงของแหวนหยกสลายไป ตามคาด ลมปราณที่ถูกบีบจนแตกขาดหลังจากลำแสงจางหายก็เชื่อมต่อกันช้า ๆ ประดุจไม่เคยได้รับการโจมตีนี้เลย!
ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน นี่เป็นอาวุธเวทที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา เช่นนี้แล้ว ไยมิใช่ว่าพวกเขาไม่อาจต่อกรตัวประหลาดนี้เลย?
“ซือเกอ ทำอย่างไร” ฉิวเฉิงรั่วถาม
ยงหรูอวี้ไหนเลยจะทราบว่าควรทำอย่างไร ขณะนี้เขาก็จิตใจยุ่งเหยิงดุจกองปอ ส่งสายตาไปหาโม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชาง
ตั้งแต่ที่ตัวประหลาดนี้ปรากฏกาย เนี่ยอู๋ชางเงียบงันมาตลอด โม่เทียนเกอบอกไม่ได้ว่านางกำลังคิดอะไร ล้วงพัดแห่งสวรรค์และโลกาออกมาอย่างรีบร้อน
พอพัดแห่งสวรรค์และโลกาคลี่กางก็มีเสียงนกกระเรียนดังขึ้น กระเรียนเซียนบินสูงกลางฟ้า โจมตีตัวประหลาดนี้อย่างรวดเร็วปานอสนี ทะลุผ่านร่างกาย โจมตีจนเป็นรู แต่ถัดจากนั้น กระเรียนเซียนหายลับไปในอากาศ ลมปราณของตัวประหลาดนี้ยังคงผสานเข้าหากันช้า ๆ กลายเป็นหนึ่งร่าง
โม่เทียนเกอสีหน้ามืดครึ้ม “พลังวิญญาณ……” นางก็กำลังหยั่งเชิง กระเรียนเซียนตัวนี้เป็นแค่การกลายสภาพของพลังวิญญาณเล็ก ๆ ในพัดแห่งสวรรค์และโลกา แต่เมื่อครู่นี้ไม่เพียงไม่สามารถสร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อตัวประหลาดนี้ มากกว่านั้นคือพลังวิญญาณที่ก่อเกิดเป็นกระเรียนเซียนก็สาบสูญไปด้วย
สิ่งที่พวกจินสือพูดไม่ผิดเลย ตัวประหลาดนี้สามารถดูดกลืนปราณมาร แล้วก็สามารถดูดกลืนพลังวิญญาณ
นี่จัดการไม่ง่ายแล้ว สถานการณ์ขณะนี้คล้ายกับความรู้สึกตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับวานรยักษ์ตัวนั้นในหุบเขาไร้กังวล แต่เทียบกับวานรยักษ์ตัวนั้นแล้วยังน่ากลัวกว่า วานรยักษ์ถึงจะบอกว่าหอกดาบไม่ระคาย แต่ถึงที่สุดแล้วมีระดับการฝึกตนจำกัด หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จะสามารถสังหารในกระบวนท่าเดียว หากพวกเขาทุ่มสุดตัวก็มิใช่ไม่มีความหวัง แต่ตัวประหลาดนี้ พวกเขากลับกะระดับความแข็งแกร่งอ่อนแอของมันไม่ออกเลย!
หนี มิใช่หนทางแก้ไข ที่นี่ไม่อาจฟื้นฟูพลังวิญญาณ พลังวิญญาณหรือว่าปราณมารของพวกเขาจะถูกเผาผลาญอยู่ตลอด ถึงท้ายที่สุดจะไม่อาจต้านทานตัวประหลาดนี้
ด้วยระดับการฝึกตนของพวกเขาในปัจจุบันนี้ ถ้าอยากรอดพ้นวิกฤตนี้ ได้แต่ถอนฟืนใต้กระทะ* ออกไปจากที่นี่!
ไม่มีใครลงมืออีก ตัวประหลาดนั้นเคลื่อนเข้าใกล้พวกเขาอย่างช้า ๆ
พวกจินสือสามคนสีหน้าซีดขาว เอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งหลาย พวกท่านยังมีหนทางอะไรอีก”
ไม่มีใครพูด ลมปราณบนร่างตัวประหลาดนั้นกระจายออกช้า ๆ ความดำมืดค่อย ๆ ยืดขยายมาหาทุกคน
“ไป!” เนี่ยอู๋ชางตะโกน “ตอนนี้ไม่ใช่คู่มือของมัน พวกเรารักษากำลังไว้ก่อน!”
ไม่มีใครรีรอ รวมทั้งโม่เทียนเกอ ทันใดนั้นก็ออกไปจากที่เดิมหนีไปยังที่ห่างไกล
………………..
*ถอนฟืนใต้กระทะ (釜底抽薪) เป็นกลยุทธของจีน หมายความว่า ถ้าข้าศึกมีกำลังมากกว่าเราให้หาทางลดกำลังข้าศึก ด้วยการบั่นทอนขวัญกำลังใจ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเกี่ยวกับเนื้อหาในตอนนี้ยังไง คนเขียนใช้สำนวนผิดเปล่าไม่รู้
ตอนที่ 409 – แยกย้ายหาคน