หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 411 สังหารอย่างชุลมุน
ตอนที่ 411 – สังหารอย่างชุลมุน
“มีคน” โม่เทียนเกอหยุดฝีเท้ากะทันหันแล้วเอ่ย
เนี่ยอู๋ชางรู้ว่าจิตหยั่งรู้ของนางแข็งแกร่ง ไม่ได้กังขา ถามทันทีว่า “กี่คน สถานการณ์เป็นอย่างไร”
โม่เทียนเกอสัมผัสอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “หนึ่งคน เหมือนจะ……กำลังท่องไปอย่างไร้จุดหมาย”
เนี่ยอู๋ชางตะลึง ยังไม่ทันได้ถามอะไร โม่เทียนเกอก็หันร่างมาแล้ว “ไปเถอะ พวกเราไปหาตรง ๆ กันเลย”
“……อืม”
ความเร็วเคลื่อนที่ของทั้งสองคนล้วนไม่ช้า โผออกไปครู่หนึ่ง จิตหยั่งรู้ของเนี่ยอู๋ชางก็สัมผัสคนคนนี้ได้แล้ว จากนั้น คนคนนั้นก็เคลื่อนมาทางพวกนาง
ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เคลื่อนเข้าหากันและกัน ความเร็วเร็วยิ่ง ไม่นานนัก โม่เทียนเกอก็มองเห็นว่ามีคนเลี้ยวออกมาจากทางแยกในที่ไม่ห่างไกล
คนคนนี้สีหน้าเขียวเทา ผอมแห้งไร้ที่เปรียบ ชุดยาวสีเขียวเหลือบดำคลุมบนร่าง ว่างเปล่าประดุจไร้วัตถุ ดูแล้วคล้ายกับซากศพหนึ่งซาก
แต่ว่า ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะอัปลักษณ์ยิ่ง พลังสภาวะทั่วร่างของคนคนนี้กลับแกร่งมาก เป็นจุดสูงสุดของก่อเกิดตานขั้นกลาง
“สหายเต๋าท่านนี้!” โม่เทียนเกอส่งเสียงออกมา “ขอถาม……”
“โฮก–” วาจาของนางยังไม่ขาดคำ คนคนนี้จู่ ๆ ผลักฝ่ามือ พร้อมกับลมฝ่ามือของเขา ควันดำหนึ่งกลุ่มผุดขึ้นอย่างไร้ที่มา โถมใส่หน้าของพวกนาง
ปราณมาร!
โม่เทียนเกอล้วงกระเป๋าเอกภพ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลายสภาพเป็นหมอกหนึ่งสายสกัดปราณมารเอาไว้
ในเวลาเดียวกัน เนี่ยอู๋ชางกระโดดขึ้นมาแล้ว หมัดหนึ่งข้างชกใส่ผู้ฝึกมารคนนี้
เสียง “ตูม” ดังสนั่น ปราณมารและพลังวิญญาณปะทะกัน โจมตีกำแพงหินรอบบริเวณออกมาหนึ่งก้อนใหญ่
เนี่ยอู๋ชางถูกแรงกระแทกผลักถอยหลังหนึ่งก้าว บนใบหน้าปรากฏแววตื่นตะลึง
ถึงนางจะเป็นสตรี แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทางที่เดินคือทางแกร่งกร้าว หมัดนี้ของนาง ทรงพลังยิ่ง แต่ผู้ฝึกมารคนนี้เพียงอาศัยปราณมารถึงกับสามารถกระแทกนางล่าถอย นี่เป็นการอาศัยระดับการฝึกตนล้วน ๆ สะกดข่มนางนะ!
“ไม่ถูกต้อง!” โม่เทียนเกอจับจ้องผู้ฝึกตนที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ “ท่านดูแววตาของเขา”
เนี่ยอู๋ชางจ้องดู หัวคิ้วขมวดขึ้นมาทันที
ผู้ฝึกตนคนนี้ ตาทั้งคู่ไร้แวว ไม่ได้จับจุดเลย เสมือนว่าจิตล่องลอยอยู่ภายนอก ขุ่นมัวไร้ที่เปรียบ
โม่เทียนเกอกราดสายตา เห็นหุ่นไม้ที่แขวนเอวของเขาด้านบนปกคลุมด้วยปราณดำหนึ่งชั้น ส่องแสงอ่อน ๆ ออกมา ถึงกับเป็นลมปราณของผลึกมารที่ต้านทานก็ต้านทานไม่อยู่
ในสมองนางมีความคิดวูบผ่าน สีหน้าซีดลงมา “หรือว่า……”
“หรือว่าอะไร” เนี่ยอู๋ชางเพิ่งจะถามออกมา ผู้ฝึกมารนี้ประกบมือทั้งคู่ ในดวงตามีแสงพิสดารวาบผ่าน จู่โจมปราณมารอีกหนึ่งสายใส่พวกนาง
เมื่อเผชิญกับการโจมตีครั้งนี้ ทั้งสองคนล้วนเลือกที่จะหลบ
ทั้งสองคนแยกจากกันในทันใด ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาหลบทีเดียวก็อยู่ห่างกันสิบกว่าจ้างแล้ว
“ท่านดูหุ่นไม้” โม่เทียนเกอหาเวลาตอบหนึ่งประโยค
เนี่ยอู๋ชางมองปราด ตระหนกจนสะดุ้ง เวลานี้ผู้ฝึกมารคนนี้เข่นฆ่ามาอีกแล้ว
ความเร็วเคลื่อนทีของเขาเร็วยิ่ง เทียบกับเนี่ยอู๋ชางแล้วก็ช้ากว่าไม่เท่าไหร่ อีกทั้งใช้เพียงปราณมารจู่โจมมาโดยตลอด ไม่แม้แต่จะออกอาวุธเวท แต่กลับมีพลังอำนาจยิ่ง เห็นพลังปราณควบรวมในมือเขา โม่เทียนเกอโบกพัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือหนึ่งที ขุนเขาสายน้ำเลือนรางปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาในพริบตา
“สหายเต๋าท่านนี้!” โม่เทียนเกอตะโกนอีกคำ
ผู้ฝึกมารนี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่ครึ่งส่วน ทำหูทวนลม ระเบิดก้อนปราณมารออกมาอีกครั้ง ทำลายขุนเขาสายน้ำที่ดุจมีอยู่จริงเบื้องหน้าจนราบเรียบในพริบตา
โม่เทียนเกอไม่รู้สึกเหนือคาดเลย แม้แต่เนี่ยอู๋ชางยังถูกโจมตีล่าถอย พัดแห่งสวรรค์และโลกานี้ของนางเดิมก็ไม่ได้เก่งด้านการสกัดกั้น ถูกทำลายสิ้นมันปกติจนไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ดังนั้น นางเก็บพัดแห่งสวรรค์และโลกาในพริบตา ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคลี่กางออกมาอีกรอบ สกัดปราณมารที่ทะลุผ่านพัดแห่งสวรรค์และโลกาจนเหลือพลังเพียงเศษเสี้ยวอย่างง่ายดาย
“เขาเหมือนจะไม่ได้ยินที่พวกเราพูด” เนี่ยอู๋ชางเอ่ย
“มิผิด ดูท่า พวกเราคาดเดาประโยชน์ของผลึกมารผิดไปแล้ว”
เนี่ยอู๋ชางมีปฏิกิริยาขึ้นมาเร็วมา เอ่ยทันทีว่า “ท่านจะบอกว่า……”
ผลึกมารนี้ตัวมันเองสามารถดูดซับแก่นปราณ สูญเสียแก่นปราณมากเข้า คนก็จะกลายเป็นทึมทื่อโง่เขลา หากเจ้าเมืองเหมยคนนั้นเพิ่มเวทลับพิสดารอะไรลงไปเปลี่ยนพวกเขาเป็นผีดิบก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ไม่สามารถเมตตา สังหารเสีย!” หลังพูดประโยคนี้ โม่เทียนเกอล้วงกระเป๋าเอกภพ หยิบของชิ้นหนึ่งออกมา ก็คือร่มปทุมา! ใต้ร่มคันนี้ วัตถุพิษปราณมารไม่กล้ำกราย เป็นของดีในการจัดการกับผู้ฝึกมารพอดี
การกระทำของเนี่ยอู๋ชางก็ไม่ช้า หยิบสิ่งของหนึ่งชิ้นออกมาด้วย จากนั้นคนทั้งคนพุ่งขึ้นไป
พวกนางสองคน วิชาต่อสู้ไม่อ่อนด้อย ถึงจะสู้เดี่ยว ๆ กับผู้ฝึกมารนี้ โอกาสชนะก็ค่อนข้างสูง อย่าว่าแต่สองต่อหนึ่งเลย โม่เทียนเกอยกร่มปทุมา ดอกบัวสีชมพูบนร่มเบ่งบานประดุจมีชีวิตขึ้นมาในพริบตา ทันใดนั้นก็ล้างปราณมารทั้งตัวทิ้ง ปลายร่มแทงสายฟ้าออกมา ฟาดใส่ผู้ฝึกมารคนนี้
ทักษะแห่งวิชชุอัสนีมีผลยับยั้งต่อผู้ฝึกมาร ภายใต้การฟาดนี้ สายตาของผู้ฝึกมารคนนี้นิ่งงันไป คนทั้งคนยืนอยู่กับที่ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เนี่ยอู๋ชางโผเข้าใกล้ดุจสายลม หมัดหนึ่งหมัดที่เจือพลังปราณอันแข็งกร้าวชกออกไป
“อุ๊ก” ผู้ฝึกมารอ้าปากกระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ แต่ยังไร้เสียงไร้วาจา แม้แต่เสียงร้องโหยหวนยังไม่ร้องออกมาก็เหินออกไปแล้ว เขาผอมเสียจนแทบจะเหลือแค่กระดูก เวลานี้ก็คล้ายกับท่อนไม้หุ้มเสื้อผ้าท่อนหนึ่ง หัวตกลงไปแล้วก็ไม่ขยับอีก
“ตายแล้วหรือ” สัมผัสได้ว่าปราณมารบนร่างผู้ฝึกมารคนนี้ค่อย ๆ สลายออกไป โม่เทียนเกอตะลึง
เนี่ยอู๋ชางขึ้นหน้าไปดู พยักหน้า “ตายแล้ว”
“……” โม่เทียนเกออึ้งไปครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างสงสัยว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน เมื่อครู่แกร่งออกขนาดนั้น……”
“ข้าคิดว่า น่าจะเกี่ยวกับที่เขากลายเป็นอย่างตอนนี้กระมัง” เนี่ยอู๋ชางพูด “ผู้ฝึกมารคนนี้ข้าจำได้ ตอนนั้นเคยเห็นที่ห้องโถงใหญ่ เขาเพียงระดับก่อเกิดตานขั้นต้น”
โม่เทียนเกอคิดแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่แท้เป็นเช่นนี้” พูดอย่างนี้ เจ้าเมืองเหมยคนนี้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปกับหุ่นไม้มาก บนนั้นไม่รู้ว่ามีทักษะลับกำแพงอาคมอย่างไร เปลี่ยนคนให้กลายเป็นสภาพนี้ ระดับชั้นแกร่ง ความแข็งแกร่งกลับอ่อน อย่างนี้จึงป้อนให้ตัวประหลาดตัวนั้นได้สะดวก
โชคดีที่พวกนางไม่ได้ใช้หุ่นไม้นั่นตั้งแต่เริ่มแรก ถ้าไม่อย่างนั้น ถึงจะไม่กลายเป็นผีดิบ กลายเป็นโง่เขลาก็ซวยแล้ว
คนทั้งสองถอนหายใจโล่งอกคนละคำ เก็บกวาดสถานที่ ไปเสาะหาคนอื่นต่อไป
คนเจ็ดคนที่ต้องหาถูกพวกนางฆ่าไปหนึ่งคนแล้ว อย่างนั้นคนอื่น ๆ เล่า ยังสบายดีอยู่หรือไม่ หรือว่าก้าวตามรอยเท้าของผู้ฝึกตนคนนี้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว
ครึ่งชั่วยามมาถึงแล้ว พวกนางไม่เสาะหาคนอื่นอีก ถ่ายทอดเสียงตกลงตำแหน่งใหม่กับคนอีกสองกลุ่ม หลังจากพบหน้ากันแล้ว โม่เทียนเกอบอกเรื่องที่พวกนางเจอกับพวกเขา ให้พวกเขาเพิ่มความตื่นตัว จากนั้นแยกกันไปหาคนอีกรอบ
ครึ่งชั่วยามนี้คนอีกสองกลุ่มไม่ได้เจอเรื่องอะไรทั้งนั้น เช่นนี้ผู้ที่ต้องหายังมีอีกหกคน
พร้อมกับที่เวลาผ่านไปทีละนิด ๆ พวกจินสือสามคนเริ่มกระวนกระวาย โอสถของพวกเขาน้อยที่สุด หากถึงตอนสุดท้ายยังไร้ผล เช่นนั้นพวกเขาก็จะเป็นพวกที่ถูกสละทิ้งเป็นอันดับแรก
ครึ่งวันให้หลัง ด้านยงหรูอวี้ถ่ายทอดเสียงมา กลายเป็นว่าพวกเขาเจอกับผู้ฝึกมารสองคนที่กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว ผู้ฝึกมารสองคนนี้เป็นอย่างเดียวกับที่พวกโม่เทียนเกอเจอ ไม่ส่งเสียงสักคำก็ลงมือโจมตี
ไม่นานให้หลัง พวกจินสือสามคนเจออีกคน
ในโพรงถ้ำนี้ปรากฏการสังหารอย่างชุลมุน
…………….
“เจ้าเมืองขอรับ” นอกสถานที่ลับ ข้าง ๆ ม่านพลังเคลื่อนย้าย ผู้อาวุโสเหลียงมองดูท้องฟ้าที่เกือบมืด ร้องเรียกเสียงต่ำ ๆ
เจ้าเมืองเหมยที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเนินเล็กไม่แม้แต่จะลืมตา เพียงร้องหึในจมูกคำหนึ่ง “มีเรื่องอะไร”
ผู้อาวุโสเหลียงใบหน้าเจือความวิตก ถามว่า “จะวันหนึ่งแล้ว ยังไม่ยุติ จะเกิดเรื่องเหนือคาดอะไรหรือไม่ขอรับ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าเมืองเหมยจึงได้กล่าวช้า ๆ ว่า “เรื่องเหนือคาด น่าจะมีนิดหน่อย แต่ว่า ผลลัพธ์ล้วนเป็นเช่นกัน”
ผู้อาวุโสเหลียงไม่เข้าใจ “เพราะอะไรขอรับ จากที่บริวารเห็น ในผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านั้น มีบางคนที่ดูจัดการไม่ง่าย พวกเขาไม่ได้แขวนผลึกมารไว้เลย ความแข็งแกร่งก็มาก หากว่าสังหารคนอื่นเสียหมด จะไม่เป็นการสิ้นเปลืองความคิดรอบนี้ของท่านเจ้าเมืองโดยเปล่าประโยชน์หรือขอรับ”
การใช้ฝีมือพิเศษแปลงที่นี่เป็นสถานที่ลับ “โบราณกาล” เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แล้วก็การหลอมสร้างผลึกมารเหล่านั้นออกมา และยังการลวงผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมากขนาดนั้น เรื่องเหล่านี้ ทุก ๆ อย่างล้วนยุ่งยากมาก อีกทั้งเรื่องราวติดต่อตามกัน ไม่มีช่องว่างให้ความผิดพลาด
แผนการอันกระชับแน่นเช่นนี้เป็นเพราะว่าเจ้าเมืองอยากประสบผลสำเร็จในคราเดียว ไม่สามารถลักตัวคนส่งเดช เพราะว่า ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเป็นกำลังหลักของสำนักใหญ่ หากเสียไปคนสองคนก็จะได้รับความสำคัญ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาจะออกหน้า ถึงเวลาจะพาความยุ่งยากมาให้เมืองซิงลั่ว ส่วนการจับตัวผู้ฝึกตนไร้ความสำคัญมาป้อนก็ไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเขาเลือกการหลอกลวง ลวงผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านี้มาไว้ด้วยกัน เตรียมการทั้งหมดเป็นอย่างดี กักขังทั้งหมดป้อนให้ปีศาจแรกเริ่มของเจ้าเมือง ถึงเวลาเจ้าเมืองจะกลายเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดในรวดเดียว รอจนสำนักใหญ่เหล่านั้นค้นพบก็มาไม่ทันแล้ว!
แผนการนี้รอบด้านมากแน่นหนามาก แต่เป็นเพราะรอบด้านเกินไปแน่นหนาเกินไป หากเกิดเรื่องเหนือคาด สำหรับเจ้าเมืองหรือว่าเมืองซิงลั่วล้วนเป็นหายนะในหายนะ หากปีศาจแรกเริ่มไม่ได้เติบโตไปถึงระดับที่เพียงพอ ถึงเวลาข่าวหลุดออกไป ไม่ว่าจะสายธรรมะหรือสายมารล้วนจะเปิดฉากฆ่าฟันเมืองซิงลั่ว
ผู้อาวุโสเหลียงไม่อาจไม่กังวลเรื่องนี้ พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทของเจ้าเมือง หากล้มเหลว เจ้าเมืองก็อาจจะหนีออกไปได้ พวกเขากลับจะต้องกลายเป็นเบี้ยพลีชีพแน่นอน
ตอนที่ผู้อาวุโสเหลียงกำลังปั่นป่วนในใจ เสียงอันแหลมเล็กแบบเด็กหนุ่มของเจ้าเมืองเหมยดังขึ้นมาว่า “เจ้ากลัวหรือ”
ผู้อาวุโสเหลียงผงะ เอ่ยเสียงต่ำว่า “บริวารกังวลใจเล็กน้อย……”
“หึ!” เจ้าเมืองเหมยร้องหึอย่างไม่พอใจคำหนึ่ง กล่าวว่า “มีอะไรให้กังวลใจ เรื่องนี้อยู่ในกำมือของเปิ่นจั้วแต่แรกแล้ว! ในคนเหล่านี้ มีสี่คนที่ไม่ได้แขวนผลึกมาร ความแข็งแกร่งของพวกเขาค่อนข้างแกร่ง คนก็ตื่นตัวมาก เข้าถ้ำหมีจงแล้วจะต้องค้นพบว่าไม่ถูกต้อง แต่ว่า แล้วอย่างไรเล่า ภายในถ้ำหมีจง เปิ่นจั้วได้เตรียมการไว้พร้อมแต่แรกแล้ว พวกเขาหนีออกมาไม่ได้เด็ดขาด ถึงพวกเขาจะสังหารคนอื่นก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าภายในถ้ำหมีจง พลังวิญญาณและปราณมารจะไม่สลายไป สุดท้ายแล้วล้วนจะถูกปีศาจแรกเริ่มของเปิ่นจั้วดูดกลืน!”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้……” ผู้อาวุโสเหลียงผ่อนลมหายใจเบา ๆ ถ้ำหมีจงนี้เป็นการตระเตรียมด้วยตัวของเจ้าเมืองเอง ข้างในสรุปว่าเป็นอย่างใด เขาก็ไม่ทราบชัด
“สำหรับสี่คนนั้น รอปีศาจแรกเริ่มของเปิ่นจั้วแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง พลังวิญญาณของพวกเขาเผาผลาญหมดสิ้น ยังคงไม่รอดพ้นความตาย!”
“ที่แท้ท่านเจ้าเมืองคำนวณเอาไว้แต่แรกแล้ว กลับเป็นบริวารมากเรื่องไป” ได้ยินวาจานี้ ผู้อาวุโสเหลียงวางใจได้ในที่สุด ไม่ว่าจะอย่างไร คนเหล่านี้ก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เป็นผู้ที่สู้เจ้าเมืองไม่ได้
เจ้าเมืองเหมยยิ้มอย่างพอใจในตัวเอง ไม่พูดจาอีก แต่ว่า เวลาก็นานอยู่สักหน่อยจริง ๆ ตัวเขาเองก็อยากรู้มากว่าข้างในสรุปแล้วเกิดเรื่องอะไร เขาใคร่ครวญแวบเดียวแล้วยกมือขึ้น ล้วงกระจกโบราณขนาดเท่าฝ่ามือออกมาหนึ่งบาน ปราณมารในมือควบรวม ผลักเบา ๆ ใส่หน้ากระจก บนหน้ากระจกปรากฏฉากเหตุการณ์ในโพรงถ้ำทันที
“หืม!” เจ้าเมืองเหมยมองอยู่ครู่หนึ่ง อดส่งเสียงประหลาดใจไม่ได้ “ผู้เยาว์ก่อเกิดตานไม่กี่คนนี้ยังแกร่งกว่าที่เปิ่นจั้วจินตนาการไว้อีก……”
………………..
*ถ้ำหมีจงแปลว่าถ้ำหลงทาง
ตอนที่ 412 – ยังมีอีกสองคน