หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 413 หนทางโง่เขลา
ตอนที่ 413 – หนทางโง่เขลา
ผู้อาวุโสเหลียงมองดูเจ้าเมืองเหมยที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าโดยความหวาดกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าเอ่ยวาจา
ในฐานะเจ้าแห่งเมืองหนึ่ง เจ้าเมืองเหมยนับว่าเป็นคนไม่เลว ในยามปกติมอบหมายพวกเขาเหล่าผู้อาวุโสไปดูแลเมืองซิงลั่ว ไม่เคยระแวง แล้วก็ไม่เกรี้ยวกราดใส่ลูกน้อง แต่ว่า ผู้ฝึกมารที่ฝึกฝนศาสตร์มารโดยมากแล้วจะมีอารมณ์รุนแรงกว่าผู้ฝึกตนสายธรรมะ หากเรื่องราวผิดพลาดก็จะไม่เกรงอกเกรงใจพวกเขา! ถึงแม้ในตอนนี้เรื่องราวนี้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาเหล่าผู้อาวุโสไม่มาก แต่ว่า บนโลกนี้มีถ้อยคำหนึ่งที่เรียกว่าระบายโทสะ
ดูถึงท้ายที่สุด บนใบหน้าของเจ้าเมืองเหมยเต็มไปด้วยความโกรธแล้ว กำมือ ปราณมารหนึ่งก้อนระเบิดออกไป เนินเขาเล็ก ๆ ในที่ไม่ห่างไกลทลายราบเป็นหน้ากลอง
ทักษะเวทของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ถึงแม้ว่าจะส่งมือส่ง ๆ พลังอำนาจก็น่าทึ่งถึงสิบส่วน เสียงดังลั่นนี้ ผู้อาวุโสก่อเกิดตานหลายคนของเมืองซิงลั่วที่อยู่รอบ ๆ ล้วนตระหนกจนสะดุ้ง มองดูเจ้าเมืองเหมยเผยแววหวาดกลัว
โชคดี ครั้งนี้เจ้าเมืองเหมยไม่ได้ระบายโทสะใส่พวกเขาเลย เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ผ่อนคลายอารมณ์แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ดูท่าในการจัดการกับผู้เยาว์ไม่กี่คนนี้ เปิ่นจั้วจะต้องลงมือด้วยตัวเอง!”
ในหมู่ผู้อาวุโสเมืองซิงลั่ว ผู้อาวุโสเหลียงนับได้ว่าเป็นคนสนิทหมายเลขหนึ่งของเจ้าเมืองเหมย ได้ยินประโยคนี้ของเจ้าเมืองเหมยแล้วถามออกมาทันควันว่า “ท่านเจ้าเมือง เกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ”
เจ้าเมืองเหมยเหลือบมองกระจกในมือ เอ่ยว่า “ผู้เยาว์ไม่กี่คนนั้นกำลังพยายามทำลายกำแพงอาคมที่เปิ่นจั้วตั้ง”
“อะไรนะขอรับ” ผู้อาวุโสเหลียงประหลาดใจ “พวกเขาแค่ก่อเกิดตาน จะสามารถทำลายกำแพงอาคมของท่านเจ้าเมืองได้อย่างไร นี่มิใช่การเอาไข่กระทบหินหรือ”
วาจานี้ของผู้อาวุโสเหลียงพูดได้ว่าไม่มีความหมายประจบเอาใจสักครึ่งส่วนแต่กลับยกย่องเจ้าเมืองเหมยอย่างไม่เผยร่องรอย ทำให้เจ้าเมืองเหมยรู้สึกชอบใจยิ่ง แต่ก็แค่ทำให้เขาชอบใจเท่านั้น
มิผิด ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน พูดตามเหตุผลแล้วยากมากที่จะทำลายกำแพงอาคมของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ความห่างของระดับชั้นมิได้ก้าวข้ามได้อย่างง่ายดายขนาดนั้นเลย แต่ว่า หากในนี้มีคนที่เชี่ยวชาญวิชาม่านพลังถึงสิบส่วนก็ไม่เหมือนกันแล้ว
“หึ! ผู้เยาว์ไม่กี่คนนี้ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั่วไป ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดว่าพวกเราโชคดีหรือว่าไม่ดี” หากสามารถกลืนคนเหล่านี้ลงไปทั้งหมด เช่นนั้นความแข็งแกร่งของปีศาจแรกเริ่มก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่ย่อมเป็นโชคดี แต่หากเพราะว่าคนไม่กี่คนนี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นเขาก็จะขาดทุนแล้ว!
สถานที่ลับ “โบราณกาล” แห่งนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาปลอมออกมา แต่ว่าสิ่งของข้างในกลับเป็นสินค้าจริงราคายุติธรรม เขาย้ายออกมาจากในสถานที่ลับโบราณกาลของจริงแห่งนั้นมาถึงในถ้ำหมีจงแห่งนี้อย่างปลอดภัยก็เพื่อฟูมฟักปีศาจแรกเริ่ม หากถูกทำลายไปอย่างนี้……หึ! เขาไม่สามารถยอมให้เรื่องประเภทนี้เกิดขึ้น!
โม่เทียนเกอมองคนหลายคนที่นั่งกระจัดกระจายอยู่เบื้องหน้า ใคร่ครวญเงียบ ๆ
ท้ายที่สุดพวกเขายังหาคนสุดท้ายไม่เจอ โพรงถ้ำแห่งนี้ใหญ่เกินไป ทางแยกมากเกินไป ในสถานการณ์ที่ทุกคนใช้โอสถเกินตัว ไม่อาจค้นหาต่อไปอีกแล้ว
ในพวกเขาแปดคน จินสือสามคนใช้โอสถหมดสิ้นไปแล้ว สถานการณ์ของยงฉิวสองคนก็ไม่ได้ดีกว่าสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ในช่วงที่พวกเขาเจอกับหุ่นเชิดได้เหน็ดเหนื่อยเกินตัว ทำให้ตอนนี้มีอาการบาดเจ็บบนร่าง ตอนนี้มีเพียงนาง, เนี่ยอู๋ชาง, เจี้ยนซินสามคนที่ยังรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้โดยสมบูรณ์
ในสถานการณ์ประเภทนี้ เจี้ยนซินเสนอแนะออกมาหนึ่งอย่าง ในเมื่อเวลาไม่ยินยอม เช่นนั้นก็ทุบหม้อข้าวจมเรือ ทำลายโพรงถ้ำนี้ ออกไปจากที่นี่!
เมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ โม่เทียนเกอขมวดคิ้วอย่างหนัก ไม่ใช่ว่าข้อเสนอนี้ทำไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ทว่าการทำลายโพรงถ้ำนี้มันง่ายเหมือนที่ปากพูดหรือ ตัวประหลาดนั้นก็อยู่ในโพรงถ้ำนี้ วิกฤตการณ์อยู่เบื้องหน้า เกรงแต่ว่าพวกเขายังไม่ทันทำลายโพรงถ้ำ ตัวประหลาดนั้นก็เสาะหามาถึงพวกเขาแล้ว!
เนี่ยอู๋ชางกลับมีความสุขกับข้อเสนอนี้ถึงสิบส่วน เหตุการณ์เบื้องหน้าที่รุกไม่ได้ถอยไม่ได้นี้ทำให้นางอัดอั้นนัก นางเต็มใจจะเสี่ยง
ส่วนคนอื่น ๆ ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่นก็ยอมรับความเห็นของเจี้ยนซินโดยดุษฎี
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอได้แต่ยอมรับ ถึงนางจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำไม่ง่ายเลย แต่เรื่องราวมาจ่อหน้า นอกจากนี้ก็ไม่มีหนทางที่คิดได้แล้ว ถึงนี่จะเป็นหนทางโง่เขลา แต่อย่างน้อยสามารถทดลองดู มิสู้เสี่ยงกันสักตั้ง
กำลังคิดอยู่ เจี้ยนซินลืมตา อ้าปากถามว่า “ทุกคนล้วนพักผ่อนพอแล้วไหม”
ทุกคนหยุดปรับลมหายใจ ยงหรูอวี้พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางก็พยักหน้า
มู่ซีลังเลนิดหน่อย กล่าวว่า “ข้ากับอวี้กุยสองคนไม่มีโอสถแล้ว……” พูดถึงตรงนี้ เขามองดูปฏิกริยาของทุกคนอย่างกังวลอยู่บ้าง
สถานการณ์ประเภทนี้ในตอนนี้ การไม่มีโอสถก็หมายความว่าพวกเขาไม่อาจฟื้นฟูปราณมาร เช่นนั้น พอปราณมารหมดสิ้น พวกเขาก็จะเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์สักนิดต่อกลุ่ม……
โม่เทียนเกอเข้าใจว่ามู่ซีห่วงอะไร นางมองเจี้ยนซินและพวก เพียงเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เดินไปทีละก้าวเถอะ ถึงเวลาค่อยว่ากัน”
จินสือเหลือบมองพี่น้องสองคน ถอนหายใจอย่างจนใจ ความแข็งแกร่งไม่ดี โอสถไม่พอ พวกเขาสามพี่น้องในกลุ่มเล็ก ๆ นี้ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงแล้ว หนึ่งวันก่อน พวกเขาผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั้งสิ้นสิบห้าคนเข้ามายังที่นี่ ในนี้เป็นผู้ฝึกมารสิบคน มีเพียงห้าคนเป็นผู้ฝึกเต๋า แต่ตอนนี้ผู้ฝึกเต๋ามีชีวิตอยู่ทั้งหมด ผู้ฝึกมารกลับเหลือเพียงพวกเขาสามคน และยังตกเป็นฝ่ายตั้งรับ…… ไม่อาจไม่พูดว่า ผู้ฝึกมารถึงความแข็งแกร่งจะแกร่งกล้า แต่ในด้านความสามารถรับเหตุเปลี่ยนแปลงกลับไม่สู้ผู้ฝึกเต๋า
“ไปเถอะ” เจี้ยนซินลุกขึ้นมาก่อน นำทุกคนเดินไปที่ทางเส้นหนึ่ง ในหมู่คนที่นี่ เขาระดับการฝึกตนสูงที่สุด แล้วยังมีความคิดความเห็นในการจัดการเรื่องราวยิ่ง เลยกลายมาเป็นผู้นำของทุกคนอย่างทันไม่รู้เนื้อรู้ตัว
โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางล้วนไม่แสดงความไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ อย่างหนึ่งคือพวกนางยอมรับคนที่มีความสามารถแท้จริง เจี้ยนซินแสดงพลังในการตัดสินใจอันเหนือล้ำของเขาออกมาแล้ว สองคือพวกนางล้วนไม่มีหนทางที่ดีกว่า ความสงบนิ่งที่เจี้ยนซินแสดงออกมาทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขากลุ่มเล็ก ๆ มั่นคงได้พอดี
เดินไปไม่ไกลมาก เจี้ยนซินหยุดอยู่ตรงหน้าทางเดินหนึ่งเส้น “ที่นี่ล่ะ”
“ทำไมเป็นที่นี่” เนี่ยอู๋ชางถาม นางสัมผัสไม่ได้จริง ๆ ว่าทางเดินนี้กับอันอื่นมีอะไรแตกต่างกัน
เจี้ยนซินไม่ได้ตอบทันที ทว่าหันเหสายตาไปบนร่างโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว สะบัดแนเสื้อ ล้วงผังปากั้วไท่จี๋ออกมา บนผังมีแสงวิญญาณเคลื่อนคล้อย ติดตามการไหลของพลังวิญญาณด้านบน โม่เทียนเกออดร้อง “หืม” อย่างประหลาดใจไม่ได้
“ทำไมหรือ” เนี่ยอู๋ชางถาม
โม่เทียนเกอส่ายหน้า เก็บผังปากั้วไท่จี๋ เอ่ยว่า “การเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณที่นี่รุนแรงกว่าที่อื่น หากในโพรงถ้ำนี้ถูกคนตั้งกำแพงอาคมดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจออกไป เช่นนั้นเป็นไปได้มากว่าที่นี่จะเป็นจุดที่ตั้งแห่งหนึ่ง”
“อ้อ……” เนี่ยอู๋ชางไม่ได้เข้าใจเต๋าแห่งม่านพลังกำแพงอาคมมาก เพียงตอบรับคำหนึ่ง
โม่เทียนเกอมองเจี้ยนซินด้วยสายตาชื่นชม “สหายเต๋าเจี้ยนซินความแข็งแกร่งไม่สามัญโดยแท้ ถึงกับดูตำแหน่งสำคัญออกมาในแวบเดียว!” ภายนอกพูดอย่างนี้ ในใจนางกลับแอบตื่นตัว นางยอมรับกับตัวเองว่าถึงฝีมือการตั้งม่านพลังจะไม่ดีพอ แต่ความสำเร็จด้านวิชาม่านพลังกลับไม่แพ้อาจารย์ม่านพลังโดยเฉพาะ แต่ว่าที่นี่ เนื่องจากระดับการฝึกตนที่ผูกมัด การเสาะหาตำแหน่งกำแพงอาคมของโพรงถ้ำนี้ยังคงมีใจแต่ไร้กำลัง เจี้ยนซินผู้นี้ถึงกับแข็งแกร่งขนาดนี้เลย?
เจี้ยนซินมองนางแวบหนึ่ง สายตาคล้ายสัมผัสได้ ยิ้มบางกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญเต๋าแห่งม่านพลังเลย เพียงแต่ในมือมีสมบัติชิ้นหนึ่ง แต่ก่อนนี้ด้วยกำลังของคนคนเดียวไม่อาจต่อต้านได้ ปัจจุบันนี้พวกเรามีกันแปดคน กลับสามารถลองสักตั้ง” พูดจบ น้ำเสียงเปลี่ยนไป “เอาล่ะ เรื่องราวตึงเครียด พวกเราอย่าเสียเวลาอีกเลย ตัวประหลาดนั่นสามารถไล่ตามมาได้ทุกเมื่อ”
“อืม” โม่เทียนเกอพยักหน้า เก็บพัดแห่งสวรรค์และโลกา ล้วงกระบี่บินหนึ่งเล่มออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ
“สหายเต๋าเจี้ยนซิน ต้องทำอย่างไร” เนี่ยอู๋ชางกระชับถุงมือ ถามออกมา
เจี้ยนซินมองผนังศิลาที่อยู่เบื้องหน้า กล่าวว่า “ระดับชั้นไม่ดีพอ ได้แต่ใช้กำลังเข้าทำลาย ทุกคนเพียงหันหน้าหาผนังศิลานี้แล้วโจมตีไปก็พอ เมื่อกำลังสะสมถึงระดับหนึ่งจะสามารถฝืนทำลายจุดที่ตั้งอันนี้ได้ กำแพงอาคมทั้งหมดจะปรากฏช่องโหว่ ถึงเวลา พวกเราจะฉวยโอกาสหนีออกไป”
“เข้าใจแล้ว” เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า ชกหมัดออกมาเป็นคนแรก
ผนังศิลาสั่น ส่งเสียงดังสนั่นคล้ายกับจะแตกหัก แต่หลายอึดใจให้หลังกลับยังคงอยู่อย่างมั่นคง
“ต่อ” เจี้ยนซินพูด จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ กระบี่ยาวบนแผ่นหลังหลุดจากฝัก ปรากฏแสงเจิดจ้า ปราณกระบี่อันแหลมคมพุ่งปะทะหน้า
โม่เทียนเกอตะลึงเล็กน้อย ปราณกระบี่ที่แหลมคมเช่นนี้ เจี้ยนซินผู้นี้ที่แท้เป็นผู้ฝึกกระบี่
ไม่รู้เพราะอะไร ผู้ฝึกกระบี่ของอวิ๋นจงน้อยกว่าเทียนจี๋มาก อาจเป็นเพราะว่าผู้ฝึกกระบี่เลื่อนระดับไม่ง่ายและผู้ฝึกตนของอวิ๋นจงแสวงหาระดับชั้นที่สูงขึ้นไปยิ่งว่าเทียนจี๋กระมัง?
ในสองคิดวุ่นวายหนึ่งรอบ การกระทำในมือกลับไม่ได้หยุด โม่เทียนเกอล้วงกระบี่บินออกมาฟันใส่ผนังศิลาไปพร้อมกัน
ยงฉิวสองคนและจินสือสามคนเห็นดังนั้นแล้วไม่มีสักคนที่วางตัวเป็นคนนอก แต่ละคนใช้ความสามารถโจมตีผนังศิลาสุดชีวิต
ก่อนหน้านี้พวกเขาเจอกับตัวประหลาดมาหลายครั้งแล้ว ทุก ๆ ครั้งล้วนหนีรอดปลอดภัย แต่พลังวิญญาณกลับเสียไปตลอด แทบจะทุก ๆ หนึ่งหรือสองชั่วยาม ตัวประหลาดนั้นก็จะหาพวกเขาเจออย่างแม่นยำ สำหรับพวกเขาห้าคน ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มสุดชีวิตอย่างแท้จริง พวกเขาไม่ใช่โอสถใช้หมดสิ้นก็มีอาการบาดเจ็บบนร่าง หากไม่สามารถทำลายกำแพงอาคมก่อนที่ตัวประหลาดจะเสาะหามา เช่นนั้นชะตาที่รอพวกเขาอยู่ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ส่วนสำหรับโม่เทียนเกอ, เนี่ยอู๋ชาง, เจี้ยนซินสามคน พวกเขาห้าคนถูกกลืนกิน ตัวประหลาดก็จะยิ่งแข็งแกร่ง พวกเขาก็ยิ่งหนีออกไปไม่ง่าย
ทุก ๆ คนล้วนทุ่มสุดชีวิต ไม่เสียดายพลังวิญญาณของตนเองสักนิด
“พี่ใหญ่ ข้า……ปราณมารของข้าจวนจะหมดแล้ว……” อวี้กุยเก็บอาวุธเวท กล่าวกับจินสือเสียงค่อย
โม่เทียนเกอลังเลนิดหน่อย หยิบขวดหยกหนึ่งใออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ หันกลับไปโยนให้พวกเขา “นี่เป็นโอสถของข้า ถึงจะไม่ใช่โอสถมาร แต่พวกท่านน่าจะสามารถใช้ได้ เอาไปแก้ขัดเถอะ”
จินสือรับมา มองนางอย่างขอบคุณแวบหนึ่ง “ขอบคุณมาก” พวกเขาผู้ฝึกมารดูดซึมพลังวิญญาณถึงจะช้ากว่าปราณมารอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีโอสถมาร การมีโอสถวิญญาณก็สามารถเสริมปราณมารเช่นกัน
คนแปดคน พลังวิญญาณพอใช้หมดก็จะนั่งสมาธิกินโอสถ พอฟื้นฟูแล้วก็ดำเนินการต่อทันที เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิต ใครก็ไม่กล้ารั้งรอสักชั่วขณะ
เกือบจะหนึ่งชั่วยามให้หลัง เสียง “ตูม” ดังขึ้น เนี่ยอู๋ชางชกหมัดออกมา ในที่สุด ผนังศิลาสั่นสะเทือน บนพื้นผิวปรากฏลำแสงสายหนึ่ง แสดงว่าที่นี่มีเขตแดนอันไร้สภาพอยู่
โม่เทียนเกอยินดียิ่ง “สำเร็จแล้ว พวกเราต่อ!” เดิมทีกำแพงอาคมนี้พวกเขามองไม่เห็น เพียงอ้างอิงจากการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณนิด ๆ ประเมินว่าที่นี่น่าจะเป็นจุดตั้งกำแพงอาคมหนึ่งอัน ตอนนี้การปรากฏของลำแสงสายนี้พิสูจน์การประเมินของพวกเขาแล้ว ก็แสดงว่าพวกเขากระทำการครั้งนี้ได้ผลจริง ๆ
เมื่อเห็นความหวังจะได้ออกมา คนอื่น ๆ ก็เผยแววยินดี ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
แต่ทว่าในขณะนี้เอง เนี่ยอู๋ชางกลับหยุดกะทันหัน “ตัวประหลาดนั่นมาแล้ว”
………………..
ตอนที่ – ช่วงเวลาวิกฤติ