หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 419 เรื่องของผู้ฝึกมาร
ตอนที่ 419 – เรื่องของผู้ฝึกมาร
เมื่อไปถึงที่พำนักเซียนมาร โม่เทียนเกอจ่ายศิลาวิญญาณเช่าถ้ำพำนักชุดหนึ่งได้อย่างราบรื่น
ผู้ดูแลของที่พำนักเซียนมารพอเห็นพวกนางก็เชิญทั้งสองคนเข้าห้องรับรองพิเศษ จากนั้น เห็นว่าพวกนางเป็นผู้ร่วมทางกันสองคน ระดับการฝึกตนก็ค่อนข้างสูง จึงเสนอให้เช่าถ้ำพำนักระดับสูงที่ตั้งอยู่บนเขาด้านหลังเมืองกุ่ยฟาง ถึงราคาจะแพงหน่อย แต่เงียบสงบถึงสิบส่วน จะไม่ถูกรบกวนง่าย ๆ อีกทั้งถ้ำพำนักเหล่านี้ยังสามารถสร้างม่านพลังสกัดกั้นปราณมารตามความต้องการของแขก มีผู้ฝึกตนระดับสูงที่มาจากภายนอกมากมายชอบเช่าถ้ำพำนักอย่างนี้
โม่เทียนเกอรู้สึกว่า สถานการณ์อย่างของนางกับเนี่ยอู๋ชางต้องการที่ที่เงียบสงบจริง ๆ จึงฟังคำแนะนำของผู้ดูแลคนนั้น ถึงอย่างไรเงินเล็กน้อยนั่น นางยังจ่ายออกมาได้
หลังจากตัดสินใจเรื่องที่พักชั่วคราว โม่เทียนเกอไม่ได้พาเนี่ยอู๋ชางไปทันที ทว่าถามไถ่เรื่องอื่น
“ผู้ดูแล ข้ามาเมืองกุ่ยฟางครั้งแรก ไม่เข้าใจสถานการณ์มากนัก จะอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่”
ผู้ดูแลคนนี้ก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นสูง ยังไม่ได้สร้างฐานพลัง ได้ยินผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่งไต่ถาม ไหนเลยจะกล้าละเลย กล่าวอย่างสุภาพทันทีว่า “ไม่ทราบผู้อาวุโสอยากรู้อะไรขอรับ ขอเพียงผู้เยาว์ทราบจะต้องบอกโดยไม่มีปิดบัง”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ กล่าวว่า “ไม่ได้หนักหนาขนาดนี้หรอก เพียงแต่ว่า เดิมทีข้าเป็นผู้ที่ฝึกตนอย่างมุมานะ ออกมาท่องเที่ยวภายนอกน้อยมาก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มายังเมืองกุ่ยฟาง ไม่เข้าใจสถานการณ์ ดังนั้นจึงถาม ๆ ดูเท่านั้น ผู้ดูแลไม่ต้องเก็บงำ ในเมืองกุ่ยฟางนี้มีอะไรให้สังเกต เพียงบอกข้ามาก็พอ”
ได้ยินวาจานี้แล้ว ผู้ดูแลโค้งกายเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเกรงใจแล้ว เป็นแค่ความลำบากเพียงยกมือ” ผู้ดูแลนี้หยุดชั่วครู่ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “คิดว่าผู้อาวุโสจะต้องรู้แล้วว่า เมืองกุ่ยฟางเราเป็นหนึ่งในสามแดนมารใหญ่ในอวิ๋นจง เจ้าเมืองประมุขมารกุ่ยฟาง จัดเป็นสามประมุขมารใหญ่ของอวิ๋นจง ความแข็งแกร่งไม่สามัญ เทียบกับแดนมารใหญ่อีกสองแดน คุณลักษณะที่ใหญ่ที่สุดของเมืองกุ่ยฟางเราก็คืออิสรภาพ ในเมืองกุ่ยฟางเรา ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกมารหรือว่าผู้ฝึกตนสายธรรมะล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม อีกทั้ง เมืองกุ่ยฟางเราไปมาอิสระ ไม่ว่าผู้ฝึกตนแบบไหนเข้าเมืองเพียงต้องบอกสาเหตุ ตอนจากไปก็ไม่โดนคำถามไร้เหตุผล แน่นอนว่า ผู้ฝึกตนที่เคลื่อนไหวในขอบเขตเมืองกุ่ยฟางต้องรักษากฎสองข้อ หนึ่งคือไม่สามารถทำลายผลประโยชน์ของเมืองกุ่ยฟาง สองคือไม่อาจลงไม้ลงมือทำร้ายผู้อื่นในเมือง ขอเพียงทำสองข้อนี้ จะไม่ถูกจำกัดอย่างสิ้นเชิงในเมืองกุ่ยฟาง”
“อ้อ?” โม่เทียนเกอจิตใจสั่นไหว เมืองของผู้ฝึกมารถึงกับเปิดกว้างขนาดนี้ด้วยหรือ “หากมีคนไม่ปฏิบัติตามกฎเล่า”
ผู้ดูแลได้ยินแล้วหัวเราะ สีหน้าถึงกับไม่เข้ากับเรื่อง สีหน้าภาคภูมิใจ “ผู้อาวุโสห่วงเกินไปแล้วขอรับ ทั่งทั้งอวิ๋นจง ใครจะไม่รู้ว่าระดับการฝึกตนของเจ้าเมืองเราลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึง อีกอย่าง เจ้าเมืองจัดการเรื่องราวยุติธรรมเป็นที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่คำนึงถึงระดับการฝึกตนสูงต่ำ เพียงพูดไปตามความเป็นจริง ขอเพียงรักษากฎก็จะสามารถได้รับการปกป้องของเจ้าเมือง ไม่รักษากฎก็จะถูกฆ่าตายคาที่ ดังนั้น เมืองกุ่ยฟางเรามีผู้ฝึกตนมากมายหลากหลายประเภท มีผู้ฝึกตนมากมายที่กระทำผิดภายนอกเลือกจะมาหลบภัยชั่วคราวที่เมืองกุ่ยฟาง แต่ว่า ถึงแม้ในเมืองจะรวบรวมพวกโหดเหี้ยมไม่น้อย คนพวกนี้ก็ไม่กล้าทำเกินเลยที่เมืองกุ่ยฟางเรา”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้……” ฟังอย่างนี้แล้ว เมืองกุ่ยฟางแห่งนี้กลับเป็นที่ซ่อนตัวที่ยอดเยี่ยมยิ่ง นางเปะปะมาถึงสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดพอดี
“พูดอย่างนี้ พวกข้าอยู่ที่นี่ชั่วคราวก็จะไม่มีคนมารบกวนถึงประตูแล้ว?”
“นี่ย่อมแน่นอนขอรับ” ผู้ดูแลกล่าว “หากผู้อาวุโสไม่ต้องการให้มีคนรบกวน เพียงต้องตั้งกำแพงอาคมเล็ก ๆ ไว้นอกถ้ำพำนักเพื่อปฏิเสธเครื่องรางถ่ายทอดเสียงเท่านั้น อย่างนี้ คนอื่นจะรู้เจตนาของผู้อาวุโส จะไม่มารบกวนถึงประตู”
“เช่นนั้นก็ดี” โม่เทียนเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง หยิบศิลาวิญญาณหนึ่งถุงเล็กออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ วางไว้บนโต๊ะ “ในนี้เป็นศิลาวิญญาณสองพันก้อน เช่าสามปีไปก่อน เจ้าจัดเตรียมเถอะ”
ผู้ดูแลเห็นนางมือเติบอย่างนี้ อดดีใจไม่ได้ หัวเราะซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ขอรับ ขอรับ ผู้อาวุโสโปรดตามข้ามา ผู้เยาว์จะพาผู้อาวุโสไปเลือกถ้ำพำนัก”
“อืม” โม่เทียนเกอผงกศีรษะนิด ๆ ยังคงพยุงเนี่ยอู๋ชางเดินตามผู้ดูแลออกจากห้องรับรองพิเศษ ออกจากโรงเตี้ยม
คงจะเป็นเพราะว่าโม่เทียนเกอจ่ายศิลาวิญญาณง่ายดายเกินไป ผู้ดูแลนี้มอบข่าวสารมากมายมาตลอดทาง ตั้งแต่การต่อสู้ภายในของศิษย์หลายคนของประมุขมารกุ่ยฟางไปจนถึงข่าวชาวบ้าน ขอเพียงนางแสดงออกมาว่าสนใจสักเล็กน้อยก็บอกอย่างไม่มีกั๊ก
ยังจำได้ว่าตอนแรกที่พบหยางเฉิงจีในกลุ่มของหลิงอวิ๋นเฮ่อ ถึงโม่เทียนเกอจะไม่ได้พูดออกจากปาก ในใจกลับแอบประหลาดใจว่า ด้วยศักดิ์ฐานะของหยางเฉิงจีไม่จำเป็นต้องละโมบต่อรางวัลอะไรของหลิงอวิ๋นเฮ่อเลย วันนี้ฟังจากที่ผู้ดูแลคนนี้พูดจึงรู้ว่าหยางเฉิงจีก็มีความลำบากที่ยากจะเอื้อนเอ่ยด้วย
หยางเฉิงจีถึงจะเป็นศิษย์ที่รักถนอมที่สุดของประมุขมารกุ่ยฟาง แต่กลับอยู่ลำดับท้ายสุด เบื้องหน้ามีซือเกอซือเจี่ยหลายคน ในนี้ยังมีสองคนที่ก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว กำลังจะเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ ประมุขมารกุ่ยฟางตั้งแต่รับเขาเข้าสำนักก็รักถนอมถึงขีดสุด ไม่เพียงสั่งสอนด้วยตนเอง ยังประทานสมบัติให้เขามากมายอย่างที่คนอื่นไม่เคยเห็น นี่ย่อมทำให้ศิษย์คนอื่นตาแดงไม่รู้แล้ว
หยางเฉิงจีถึงจะเลื่อนระดับรวดเร็ว แต่ถึงที่สุดแล้วอายุเยาว์ ไม่เทียบเท่ากับซือเกอซือเจี่ยที่เติบใหญ่แล้วคนอื่นซึ่งมีคนสนิทของตนเองแต่แรก ด้วยเหตุนี้จึงค่อนข้างได้รับความทุกข์ทรมานในทางลับ เรื่องเหล่านี้ประมุขมารกุ่ยฟางกลับจะไม่ออกหน้าแทนเขา รักถนอมก็ส่วนรักถนอม หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยนี้ก็แก้ไขไม่ได้ เช่นนั้นศิษย์คนนี้ที่โปรดปรานก็ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว
ปัจจุบันนี้ประมุขมารกุ่ยฟางอายุมากแล้ว ถึงจะไม่มีร่องรอยของการสิ้นอายุขัย แต่เหล่าศิษย์ที่อยู่เบื้องล่าง ผู้ที่ไม่เต็มใจจะถูกกีดกันออกไปมีมาก คนจำนวนมากเริ่มขยับ ติดต่อผูกสัมพันธ์ไปทั่ว หวังว่าจะสามารถสืบทอดตำแหน่งของซือฟุ
แต่ เมืองกุ่ยฟางในเมื่อเป็นหนึ่งในสามแดนมารใหญ่ของอวิ๋นจง แล้วจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองง่ายดายปานนี้ได้อย่างไรกันเล่า สุดท้ายประมุขมารกุ่ยฟางหงุดหงิด ประกาศทั่วทั้งเมืองว่าตอนที่เขาสละตำแหน่ง ในศิษย์ของเขา ระดับการฝึกตนของใครสูงที่สุด คนนั้นก็จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมือง — ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับเงื่อนไขนี้คือจะต้องเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ สมมติว่าไม่มีใครเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ เช่นนั้น ผู้ฝึกตนที่มาจากภายนอกสามารถอาศัยความแข็งแกร่งช่วงชิงตำแหน่งเจ้าเมือง
หลังจากที่ประมุขมารกุ่ยฟางประกาศคำสั่งนี้ เหล่าศิษย์ของเขาจึงได้หยุดเสียที แต่ละคนเริ่มฝึกตนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ในนี้ย่อมเป็นศิษย์คนโตที่สุดสองคนของเขาที่ได้เปรียบที่สุด พวกเขาก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว จิตวิญญาณใหม่เป็นแค่อีกก้าวเดียว
แต่ทว่า หยางเฉิงจีกลับมีพรสวรรค์สูงที่สุด ในเวลาเดียวกับที่เหล่าซือเกอซือเจี่ยของเขาพวกนั้นฝึกตนอย่างเอาเป็นเอาตายก็ไม่ลืมที่จะดึงขาหลังของเขาไปด้วย หยางเฉิงจีถึงจะมีคุณสมบัติเหนือกว่า แต่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ชิงอำนาจ ด้วยเหตุนี้ได้แต่จงใจเลี่ยงหลบ ออกจากเมืองกุ่ยฟางไปท่องเที่ยว
ฟังเรื่องพวกนี้จบแล้ว โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายจนเกินไปเลย มีอำนาจก็จะมีการแย่งชิงอำนาจ แม้แต่โรงเรียนเสวียนชิงที่ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลากลมเกลียวกันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างสิ้นเชิง อย่าว่าแต่การเป็นเจ้าเมืองของเมืองกุ่ยฟางที่สั่งคนได้ทั้งเมืองเลย สิ่งที่นางใคร่รู้คือ ทำไมเรื่องเหล่านี้ ผู้ดูแลโรงเตี้ยมที่ระดับการฝึกตนแค่หลอมรวมพลังวิญญาณคนนี้ถึงกับทราบกระจ่างขนาดนี้เล่า
เมื่อทราบข้อสงสัยของนาง ผู้ดูแลยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสไม่ทราบ ที่เมืองกุ่ยฟางเรา พวกนี้ล้วนเป็นความลับที่เปิดเผย ไม่มีสักกี่คนที่ไม่รู้” ว่าแล้วยังเอ่ยอย่างปริวิตกว่า “อันที่จริง พวกเราล้วนกังวลใจมาก หากเจ้าเมืองนั่งละสังขารจริง ๆ วันเวลาดี ๆ ของเมืองกุ่ยฟางเราเกรงว่าก็จะถึงจุดจบแล้ว”
“เพราะอะไร” โม่เทียนเกอยิ้มเอ่ย “การก่อตั้งเมืองกุ่ยฟางก็มิใช่เรื่องวันสองวัน ไหนเลยจะล้มง่ายขนาดนั้น”
ผู้ดูแลกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเป็นผู้ฝึกเต๋า อาจจะไม่ได้ทราบเรื่องของผู้ฝึกมารเรากระจ่างชัดมาก ผู้ฝึกมารเราบูชาความแข็งแกร่งส่วนบุคคลที่สุด ดังนั้น พวกเราไม่มีสำนักให้พูดถึงเลย มีเพียงการแบ่งเป็นเมือง อีกอย่าง ในหนึ่งเมือง โดยทั่วไปแล้วจะมีเพียงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หนึ่งคนขึ้นเป็นเจ้าเมือง เจ้าเมืองพูดคำใดก็จะเป็นกฎเหล็กของแดนมาร เมืองกุ่ยฟางเราก็ก่อตั้งโดยอาศัยกำลังของเจ้าเมืองประมุขมารกุ่ยฟางคนเดียว หากเจ้าเมืองนั่งละสังขาร ผู้รับหน้าที่เจ้าเมืองไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเราก็จะกลายสภาพจากหนึ่งในสามแดนมารใหญ่เป็นแดนมารเล็กที่ผู้ใดก็รังแก”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” เรื่องนี้นางคล้ายจะเคยได้ยินมา ถึงแม้ขนาดของสายมารจะเล็กกว่าสายธรรมะอยู่บ้าง แต่แดนมารใหญ่สามเล็กเจ็ดทั้งสิบของอาณาจักรเป่ยหลินจะมีเพียงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ไม่กี่คนเช่นนี้ได้อย่างไร คาดว่าสาเหตุคือหลังผู้ฝึกมารเลื่อนเป็นจิตวิญญาณใหม่ก็จะอยากตั้งเมือง เพลิดเพลินกับเกียรติยศของหมื่นคนกราบกราน หรือไม่ก็ไร้ความสนใจต่อเรื่องนี้สักนิด มุ่งมั่นอยู่กับการมีพลังที่กล้าแกร่งยิ่งขึ้น
เช่นนี้แล้ว เมืองแห่งหนึ่งมีพลังอันน่าเกรงขามมากเท่าใด ทั้งหมดตัดสินที่ความแข็งแกร่งของเจ้าเมือง หากว่าความแข็งแกร่งของเจ้าเมืองสู้ไม่ได้ก็ได้แต่ยอมจำนนต่อผู้อื่น ในสถานการณ์ประเภทนี้ ประมุขมารกุ่ยฟางพอนั่งละสังขาก็จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเมืองกุ่ยฟาง หากคนคนนี้ความแข็งแกร่งไม่พอ เมืองกุ่ยฟางก็จะถดถอยจากหนึ่งในสามแดนมารใหญ่อย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่ว่าถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นแย่งชิงไป
คิดอย่างนี้แล้ว คำสั่งนั้นของประมุขมารกุ่ยฟางชาญฉลาดอย่างยิ่ง ในศิษย์ของเขา หากมีคนเลื่อนเป็นจิตวิญญาณใหม่ย่อมสามารถครอบครองเมืองกุ่ยฟาง แต่หากไม่มีใครมีความสามารถนี้ เมืองกุ่ยฟางที่เป็นเนื้อติดมันชิ้นโตอย่างนี้จะดึงดูดผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ทรงพลังคนอื่นอย่างแน่นอน ถึงเวลา ถึงแม้เหล่าศิษย์ของเขาจะไม่ภาคภูมิใจนัก สุดท้ายแล้วเมืองกุ่ยฟางก็จะรักษาไว้ได้
โม่เทียนเกอรู้สึกว่าประมุขมารกุ่ยฟางท่านนี้ไม่เพียงแข็งแกร่ง สมองก็เป็นเลิศ เทียบกับเจ้าเมืองเหมยของเมืองซิงลั่วคนนั้นไม่รู้ว่าแกร่งกว่ากี่เท่า มิน่าเล่าสามารถก่อตั้งแดนมารที่กล้าแข็งเยี่ยงนี้
คิดถึงเจ้าเมืองเหมย นางอดถามมิได้ว่า “ผู้ดูแล ใกล้ ๆ เมืองกุ่ยฟางยังมีแดนมารอะไรหรือ”
ผู้ดูแลนำทางพลางตอบพลางว่า “มีขอรับ ที่ใกล้พวกเราที่สุดน่าจะเป็นเมืองซิงลั่ว แต่ว่านั่นเป็นแค่แดนมารเล็ก ๆ เท่านั้นขอรับ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่”
สีหน้าของผู้ดูแลนี้ก็ดุจเดียวกับคำที่เขาพูด ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ ท่าทางไม่ได้เห็นเมืองซิงลั่วในสายตาเลย ดูท่าความแข็งแกร่งของเมืองกุ่ยฟางทำให้เหล่าผู้ฝึกตนของเมืองกุ่ยฟางสายตากลายเป็นสูงมากไปด้วย เมืองซิงลั่วแล้วอย่างไรเล่า ก็คือมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่นั่งประจำการ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานจำนวนมากรวมตัว ผลคือในสายตาผู้ดูแลแค่ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณ่คนนี้ก็คือคำพูดประโยคเดียวอย่างนี้ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่
“ผู้อาวุโสสนใจเมืองซิงลั่วหรือขอรับ” ผู้ดูแลกล่าวต่อไปอีก “เมืองซิงลั่วนี่ล่มสลายลงไปเมื่อห้าปีก่อน ภายในหนึ่งวัน จวนเจ้าเมืองถูกคนของเมืองเย่เซียวถล่มจนราบ ปัจจุบันนี้มีเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่กี่คนดูแลสถานการณ์ ไม่มีอะไรให้ดูจริง ๆ ขอรับ”
“อ้อ?” โม่เทียนเกอสนใจขึ้นมา “เหตุใดคนของเมืองเย่เซียวต้องล้างบางผู้ฝึกตนของเมืองซิงลั่วเล่า ข้าจำได้ว่า เมืองเย่เซียวก็เป็นหนึ่งในสามแดนมารใหญ่ ทว่าเมืองซิงลั่วเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ไม่คุ้มค่าให้ช่วงชิงกระมัง”
ผู้ดูแลพูดว่า “เรื่องนี้ ไม่กี่ปีมานี้ลมฝนคลุ้มคลั่ง ไม่ชัดเจนแล้วว่าสรุปเกิดเรื่องอันใด แต่ทว่า ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์เคยได้ยินว่า เจ้าเมืองของเมืองซิงลั่วไม่รู้คิดจะฝึกวิชาชั่วร้ายอะไร ถึงกับหลอกผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบกว่าคนไปเซ่นสังเวย ในนั้นมีผู้ฝึกตนคนหนึ่งเป็นคนของเมืองเย่เซียว หลังจากเรื่องราวเปิดเผย เจ้าเมืองของเมืองเย่เซียวโกรธแค้นก็เลยล้างบางเมืองซิงลั่ว”
“อย่างนี้เอง……” โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเอง ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร นางที่เป็นคนวงในย่อมทราบชัดที่สุด ตามที่ผู้ดูแลคนนี้พูด น่าจะเป็นว่าในผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านั้นที่ถูกลวงมีคนของเมืองเย่เซียว เมืองซิงลั่วจึงโชคร้ายครั้งใหญ่
ผู้ดูแลนี้พูดจนเกิดความสนใจ กล่าวต่ออีกว่า “ผู้เยาว์ได้ยินว่า ตอนนั้นจวนเจ้าเมืองของเมืองซิงลั่ว ไม่มีสักคนที่รอดพ้น ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานถูกสังหารสิ้น มีแค่เจ้าเมืองผู้นั้นที่ระดับจิตวิญญาณใหม่แล้ว ไม่อยู่ในเมืองแต่แรก กลับหนีรอดไปได้”
………………..
ตอนที่ 420 – ปีศาจแรกเริ่มตื่น