หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 420 ปีศาจแรกเริ่มตื่น
ตอนที่ 420 – ปีศาจแรกเริ่มตื่น
ถ้ำพำนักที่ที่พักเซียนมารปล่อยเช่าเป็นอย่างที่ผู้ดูแลว่าไว้จริง ๆ คุณภาพสูงเยี่ยม สภาพแวดล้อมเงียบสงบ หลังจากโม่เทียนเกอเห็นแล้วก็รู้สึกว่าไม่เลว จึงเลือกมาหนึ่งชุดอย่างสุ่ม ๆ เข้าอาศัย จากนั้น แจ้งต่อผู้ดูแลนั้นว่าพวกนางสองคนต้องการฝึกตนเงียบ ๆ รักษาบาดเจ็บ ก่อนที่ถ้ำพำนักจะหมดเวลาเช่าไม่ต้องมารบกวน
ผู้ดูแลรับคำรัว ๆ ว่าคนของโรงเตี๊ยมจะไม่มารบกวนเด็ดขาด หากผู้อาวุโสมีเรื่องอะไรสั่งการให้ไปหาคนที่โรงเตี๊ยมหรือว่าส่งข้อความให้พวกเขาก็พอ
โม่เทียนเกอรู้สึกพึงพอใจมาก ให้รางวัลกับผู้ดูแลเป็นศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่งแล้วส่งเขาออกไป
หลังจากนั้น นางตั้งกำแพงอาคมรอบถ้ำพำนัก แสดงออกมาว่าไม่ยินดีให้คนมารบกวน แล้วจึงปิดถ้ำพำนัก ตัดขาดจากโลกเป็นการชั่วคราว
ถ้ำพำนักนี้ใหญ่มาก ห้องฝึกตนห้องหลอมโอสถห้องอสูรวิญญาณทุกสิ่งสรรครบครัน อีกทั้งยังมีห้องฝึกตนหลายห้อง โม่เทียนเกอโยนเนี่ยอู๋ชางเข้าไปในห้องฝึกตนหนึ่งในนั้นง่าย ๆ ให้ดูแลตัวเอง ตนเองสุ่มเลือกอีกห้อง จากนั้นตั้งม่านพลังสกัดกั้นปราณมารที่ผู้ดูแลทิ้งไว้ให้ แล้วเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
ในเมื่อเนี่ยอู๋ชางสามารถรอดมาได้ห้าปี เช่นนั้นปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มเหล่านี้กว่าครึ่งได้ถูกนางกำราบแล้ว ไม่ต้องกังวลใจเลย นางสิ้นเปลืองความพยายามรอบนี้ วิ่งมาเช่าถ้ำพำนักถึงเมืองกุ่ยฟาง เพียงเพราะว่าอธิบายเรื่องของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ยาก อีกอย่าง พลังวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนกับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มมีความขัดแย้งกัน กลับไม่เหมาะสมกับเนี่ยอู๋ชางเท่าเมืองกุ่ยฟาง
นอกจากนี้ ข่าวสารที่ได้ยินจากทางผู้ดูแลโรงเตี๊ยมทำให้โม่เทียนเกอวิตกอยู่บ้าง
เจ้าเมืองเหมยยังมีชีวิต เรื่องนี้นางไม่นับว่าแปลกใจจนเกินไปเลย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจ้าเมืองเหมยก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ สู้ไม่ได้ก็หนีได้เสมอ ด้วยความสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ หนีไปถึงสถานที่หนึ่งแล้วซ่อนตัวเอาไว้ อยากจะหาก็หาไม่เจอ
ถึงแม้ว่าขณะนี้เจ้าเมืองเหมยผู้นี้ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรต่อพวกนาง แต่ว่า เนี่ยอู๋ชางกลืนกินปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่เขาบ่มเพาะมาอย่างยากลำบาก ส่วนนางก็พาเนี่ยอู๋ชางหนี ส่งผลให้เจ้าเมืองเหมยล้มเหลวในก้าวสุดท้าย จากนายแห่งเมืองเมืองหนึ่งกลายเป็นสุนัขที่สูญเสียเจ้าของ ความแค้นนี้สามารถเรียกได้ว่าแค้นถึงตายเลย มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนหนึ่งเป็นศัตรูมิใช่เรื่องดีจริง ๆ
แต่ทว่า ขณะนี้กังวลใจไปก็ไร้ประโยชน์ โม่เทียนเกอเพียงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วปล่อยวางเอาไว้ด้านข้าง
สำหรับบุญคุณความแค้นภายในเหล่านั้นของเมืองกุ่ยฟาง นางไม่สนใจเลย ตอนนั้นกับหยางเฉิงจีเป็นเพียงความสัมพันธ์ผิวเผิน อย่าว่าแต่ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นางไม่มีอารมณ์จะไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน
เรื่องนี้ทำให้นางคิดถึงหลิงอวิ๋นเฮ่อขึ้นมา ตอนนั้นที่แยกกับหลิงอวิ๋นเฮ่อได้ตกลงกันว่าสามเดือนให้หลังจะไปรับรางวัล ใครจะคิดว่าพวกนางสองคนพอออกจากหุบเขาไร้กังวลก็ตกลงสู่หลุมพรางของเจ้าเมืองเหมย ผ่านมาจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ได้ไปสกุลหลิง แต่ทว่า ด้วยนิสัยใจคอของหลิงอวิ๋นเฮ่อคงไม่ถึงขนาดเบี้ยวรางวัลกระมัง?
โม่เทียนเกอคิดเช่นนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วก็โยนเรื่องนี้ออกจากสมองเช่นกัน อาการบาดเจ็บบนร่างยังไม่หาย เรื่องของรางวัลภายหลังค่อยว่ากันเถอะ
วันเวลาถัดจากนี้ ไม่มีอะไรแตกต่างจากแต่ก่อน จากนั้นก็จดจ่ออยู่กับการกักตนรักษาบาดเจ็บ ไม่พบคนนอก
ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่มีเนี่ยอู๋ชางแล้ว อสูรวิญญาณทั้งสามมีความสุขมาก วิ่งเล่นสนุกสนานในแปลงสมุนไพรทั้งวัน แม้แต่เสี่ยวฝานยังออกจากลำธารน้อยเป็นครั้งคราว พวกมันทั้งหลายเดิมทีก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ผ่านการฝึกตนช่วงนี้แล้วก็คล้ายจะมีสัญญาณของการเลื่อนระดับ เริ่มเสาะหาหญ้าวิญญาณที่เหมาะสมมากินอีกครั้ง
ในแง่ความเร็วในการฝึกตนของอสูรวิญญาณ พวกมันสามตัวเร็วเกินไปแล้ว แต่อสูรวิญญาณเลื่อนขั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างผู้ฝึกตนมนุษย์ โม่เทียนเกอก็เลยปล่อยพวกมันไป ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วพวกมันก็ไม่ได้เร็วไปกว่าตนเอง
ผ่านไปอีกหลายเดือน โม่เทียนเกอกำลังอยู่ในระหว่างปรับลมหายใจ จู่ ๆ สัมผัสได้ว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง
นางหยุดรักษาบาดเจ็บ ลืมตา คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
พอออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนก็สัมผัสได้ถึงปราณมารอันแข็งแกร่งและไพศาลทันที ทันทีที่นางปรากฏตัว ปราณมารเหล่านั้นก็ไม่แยแสม่านพลังสกัดกั้นปราณมาร ถาโถมเข้าใส่นาง เกรี้ยวกราดไร้ที่เปรียบ
โม่เทียนเกอตะลึง ศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดปล่อยพลังวิญญาณคุ้มครองกาย เพิ่งจะก้าวออกจากห้องฝึกตนของตัวเอง
บนเส้นทางไปห้องฝึกตนของเนี่ยอู๋ชาง ปราณมารยิ่งมายิ่งหนาแน่น ถึงจะไม่เท่ากับผู้ฝึกมารจิตวิญญาณใหม่เหล่านั้น แต่ก็ห่างกันไม่ไกลนัก อันที่จริงแล้วปราณมารบริสุทธิ์กว่าสักหน่อยด้วย
รอจนเหยียบเข้าไปในห้องฝึกตนของเนี่ยอู๋ชาง นางผงะไปอย่างสิ้นเชิง
เนี่ยอู๋ชางขณะนี้กำลังนั่งขัดสมาธิบนเตียงศิลา หลับตาปรับลมหายใจ ทั่วร่างของนางห้อมล้อมไปด้วยปราณมารอันเข้มข้น ปราณมารเหล่านี้ดุจจะมีชีวิต วนรอบตัวนางเป็นวงอย่างไม่เร็วไม่ช้า ส่วนพลังสภาวะบนร่างนางก็เหนือกว่าก่อเกิดตานขั้นกลางไปไกลแล้ว ถึงขนาดที่ว่าสูงกว่าก่อเกิดตานขั้นปลายไปมาก เพียงห่างจากจิตวิญญาณใหม่แค่หนึ่งก้าวเท่านั้น
อย่าบอกนะว่าเนี่ยอู๋ชางเลื่อนระดับแล้ว? นางมองอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับส่ายหน้า ไม่ถูก นี่มิใช่การเลื่อนระดับ เป็นเพราะว่าปราณมารเหล่านี้ทรงอานุภาพเกินไป ดังนั้นจึงมีพลังสภาวะที่แข็งแกร่งเช่นนี้
ตัวประหลาดนั่นเดิมเป็นสิ่งที่เจ้าเมืองเหมยเตรียมให้ตนเอง ด้วยฐานะของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของเขา ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มเหล่านี้ที่สามารถทำให้เขาเลื่อนระดับมิใช่เรื่องเล็กน้อยเด็ดขาด ถึงแม้ว่าส่วนที่เนี่ยอู๋ชางกลืนกินจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่มันก็เกินไปกว่าระดับชั้นของตัวนางแล้ว ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่มากขนาดนี้ทำให้นางครอบครองพลังสภาวะที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ ไม่นับว่าเหนือความคาดหมายเลย
เพียงแต่โม่เทียนเกออดคิดขึ้นมาไม่ได้ถึงอารมณ์อันรุนแรงพิสดารนั้นของซงเฟิงซ่างเหริน ยังมีรูปลักษณ์ที่มิใช่คนมิใช่ผีนั้น เนี่ยอู๋ชางปัจจุบันนี้ได้เหยียบไปบนเส้นทางอย่างนี้แล้ว จะกลายเป็นอย่างเขาด้วยหรือไม่
นางกำลังคิดอย่างนี้ เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ ลืมตา ยิ้มบาง ๆ ให้นาง
รอยยิ้มนี้ทำให้จิตใจอันตึงเครียดของโม่เทียนเกอผ่อนคลายลงไปทันที ดูท่าจะเหมือนกับแต่ก่อน ไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง
“ที่แท้ท่านตื่นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง”
เนี่ยอู๋ชางยืดเอว ปราณมารรอบกายโคจรตามการขยับของนางทันที “เหนื่อยมาก ข้าหลับไปนานเท่าไหร่”
“ห้าปี” เห็นนางแสดงกริยาเป็นปกติ โม่เทียนเกอทราบว่านางไม่มีอุปสรรคหนักหนาอะไร จึงวางใจแล้ว
“ที่แท้ห้าปีแล้ว……” บนใบหน้าของเนี่ยอู๋ชางคล้ายจะมีแววทอดถอน ผ่านไปพักหนึ่งจึงยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร ปราณมารเหล่านี้ถึงข้าจะยังไม่สามารถดูดซับทั้งหมด แต่ว่าควบคุมได้แล้ว ถัดจากนี้เพียงต้องดูดซับพวกมันให้หมดช้า ๆ ก็พอ”
“เช่นนั้นก็ดี” เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่เป็นไร โม่เทียนเกอก็จะไม่กังวลอะไรแทนนางอีก มองดูเนี่ยอู๋ชางที่อยู่เบื้องหน้าโดยละเอียด นางอดเอ่ยมิได้ว่า “ลักษณะปัจจุบันนี้ของท่าน ดูท่าจะเป็นผู้ฝึกมารเต็มตัวแล้ว…… แต่ไม่รู้ว่าปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มมีผลร้ายอะไรหรือไม่ ท่านจะกลายเป็นอย่างซือฟุท่านหรือไม่”
คำถามนี้ทำให้เนี่ยอู๋ชางตกตะลึงไปชั่วขณะ ครึ่งค่อนวันให้หลัง นางก้มหน้าลงดูมือของตนเอง บนมือของนางเดิมมีบาดแผลที่ถูกน้ำดำในหุบเขาไร้กังวลกัดกร่อน ผ่านการชำระล้างของปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มห้าปีนี้ไป บาดแผลนี้มองไม่เห็นไปนานแล้ว พลังกัดกร่อนที่เหลืออยู่นั้นก็ถูกปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มกลืนกินจนเกลี้ยงเกลา
ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้เป็นลมปราณทรงพลังชั้นหนึ่งของโลกโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นปราณตายหรือปราณโสมมนั้นล้วนไม่อาจเทียบเคียง
“ข้าก็ไม่รู้” เนี่ยอู๋ชางสีหน้าเฉยเมย กล่าวอย่างนิ่งสงบ “แต่ก่อนนี้ข้าไม่ได้เป็นผู้ฝึกมารของแท้ เพียงมีพลังวิญญาณกับปราณมารปะปนกันในกาย ดังนั้นเป็นเต๋ามิใช่เต๋ามารมิใช่มาร บัดนี้ดูแล้ว ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้ยังนับว่าสงบเสงี่ยม ไม่มีร่องรอยกัดกร่อนร่างกายเลย แต่พอระดับการฝึกตนเพิ่มสูงขึ้นอีกก็พูดได้ยากแล้ว”
นางลังเลครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่อไปอีกว่า “สาเหตุที่ซือฟุข้ากลายเป็นอย่างนี้เป็นเพราะว่าเขาฝึกมหาเวทปีศาจแรกเริ่มเร็วเกินไปคือตอนที่เขาอยู่ระดับสร้างฐานพลัง ก็เพราะละโมบต่อความก้าวหน้ามาก ธาตุไฟเข้าแทรก ส่วนข้าปัจจุบันนี้ระดับก่อเกิดตานแล้ว ก่อนหน้านี้ชีพจรปราณก่อเกิดตานล้วนทนทานเพียงพอ ครั้งนี้ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพวกนี้เข้าโจมตี ไม่ได้ถูกกัดกร่อนเลย พูดตามเหตุผล ข้าน่าจะดีกว่าเขาหน่อย”
ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังไม่มั่นใจว่าตนเองจะกลายเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ถึงอย่างไร คนที่ฝึกมหาเวทปีศาจแรกเริ่มอะไรนี่มีน้อยเกินไป ไม่มีตัวอย่างที่สามารถเปรียบเทียบได้เลย
โม่เทียนเกอก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตั้งแต่ที่มาถึงอวิ๋นจง ข้างกายนางไร้สหายสักคน บังเอิญว่าในเวลานี้นางได้พบกับเนี่ยอู๋ชาง ในช่วงเวลานี้ ทั้งสองคนประสบกับเรื่องราวมากขนาดนี้มาด้วยกัน นางนับเนี่ยอู๋ชางเป็นสหายไปแล้ว ขณะนี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าไปกับนาง
ก่อนหน้านี้นางเพิ่งจะตัดสินใจว่าอยากกลายเป็นผู้ฝึกเซียนที่แท้จริง แต่แล้วเพราะเหตุผลอย่างนี้ ไม่อาจไม่ดูดปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มเข้าไป กลายเป็นผู้ฝึกมาร และตอนนี้นางยังต้องเผชิญหน้ากับอนาคตที่อาจจะกลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่คน
ตลอดมานี้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าชีวิตของตนเองถึงจะยังนับว่าราบรื่น แต่ก่อนที่จะอายุยี่สิบปีกลับลำบากและลุ่ม ๆ ดอน ๆ จนกระทั่งขณะนี้นางจึงรู้สึกว่าตนเองโชคดีขนาดไหน อย่างเช่นเนี่ยอู๋ชาง เกิดมาก็สูญเสียมารดา เติบโตมาภายใต้ความเกลียดชังและทารุณกรรมของซือฟุ สุดท้ายหนีออกมา อยากจะมีชีวิตของตนเอง กลับถูกบังคับให้ยอมรับอนาคตอย่างนี้อีก ในหนึ่งร้อยกว่าปีที่นางมีชีวิตมานี้ ความทุกข์ทรมานที่ได้รับมากมายเพียงใด โชคชะตาไม่ยุติธรรมกับนางจริง ๆ
“ไม่ต้องมองข้าอย่างนี้” ขณะนี้เนี่ยอู๋ชางกลับยิ้มออกมา “นี้สรุปแล้วจะเป็นอย่างไรก็สุดรู้ บางทีข้าจะได้อาศัยปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มกลายเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดในก้าวเดียวแล้วทำทุกอย่างได้ตามใจก็ได้นะ ถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะมีคนเท่าใดอิจฉาข้า!”
“……” สุดท้ายโม่เทียนเกอไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจออกมา ด้วยนิสัยที่มุ่งมั่นเยี่ยงนี้ของเนี่ยอู๋ชาง ไม่จำเป็นต้องเห็นอกเห็นใจ “มหาเวทปีศาจแรกเริ่มนั่น ท่านรู้ไหม”
เนี่ยอู๋ชางไม่ได้ลังเล “ก่อนที่ข้าจะจากมาได้ขโมยสมบัติมากมายของซือฟุ ในนั้นมีมหาเวทปีศาจแรกเริ่มที่เขาหยั่งรู้ออกมา แต่ว่า มหาเวทปีศาจแรกเริ่มนี้สุดท้ายแล้วมีส่วนที่ผิดพลาดละเลยหรือไม่กลับบอกได้ยาก ถึงอย่างไรปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนตัวข้าเพียงพอให้ข้าดูดซับไปอีกหลายปี ข้าคิดว่าจะกำราบปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มเหล่านี้ไปก่อนช้า ๆ แล้วค่อยดูว่ามหาเวทปีศาจแรกเริ่มสามารถฝึกได้หรือไม่ ข้าไม่อยากกลายเป็นอย่างซือฟุจริง ๆ นิสัยวิปลาส ไม่ใช่คนไม่ใช่ผี”
โม่เทียนเกอพยักหน้าเงียบ ๆ ในสถานการณ์ปัจจุบันอย่างนี้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” เนี่ยอู๋ชางเก็บความหม่นหมองนิด ๆ นี้ มองไปรอบ ๆ เอ่ยอย่างอยากรู้ว่า “พวกเราอยู่ที่ไหน คนพวกนั้นเล่า ถึงตอนแรกเริ่มข้าจะฝากชีวิตไว้กับท่าน แต่คิดไม่ถึงว่าท่านจะสามารถหนีออกมาได้จริง ๆ ช่างทำให้ข้าประหลาดใจโดยแท้”
โม่เทียนเกอก็เผยรอยยิ้ม “ตอนแรกที่สามารถหนีออกมาก็พึ่งพาโชค……” นางเล่าเรื่องในปีนั้นอย่างละเอียด เพียงเปลี่ยนการหนีเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นการซ่อนกายในหมอกหลงทิศ และเจ้าเมืองเหมยสุดท้ายหาพวกนางไม่เจอ
“สำหรับคนอื่น ข้าก็ไม่รู้อันใด ภายหลัง ข้ามาถึงเมืองกุ่ยฟาง เช่าถ้ำพำนักชุดนี้อยู่ที่นี่แล้วก็ไม่ได้ย่างเท้าออกไปอีกเลย เพียงได้ฟังมาก่อนหน้านี้ว่าจวนเจ้าเมืองของเมืองซิงลั่วถูกเมืองเย่เซียวถล่มในคืนเดียว เจ้าเมืองเหมยนั่นไม่ได้อยู่ในเมืองแต่แรก หนีไปแล้ว”
“เมืองเย่เซียว?” เมืองเย่เซียวครุ่นคิดชั่วขณะแล้วเอ่ยว่า “พูดอย่างนี้ ผู้ที่ถูกหลอกเข้าหลุมพรางกับพวกเราในวันนั้นก็มีผู้ฝึกตนของเมืองเย่เซียวแล้ว?”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น”
ทั้งสองคนคุยเรื่องพวกนี้กันอีก เนี่ยอู๋ชางเข้าใจสถานการณ์ขณะนี้ทั้งหมดแล้ว คิด ๆ แล้วถามว่า “ท่านมีอาการบาดเจ็บบนตัว อยากจะรอให้หายดีอยู่ที่นี่แล้วค่อยไปหรือ”
“ต้องเป็นเช่นนี้ล่ะ” โม่เทียนเกอไม่ลังเล “อวิ๋นจงอันตรายรอบด้าน หากมีอาการบาดเจ็บบนตัวไม่สะดวกจริง ๆ”
“อืม” เนี่ยอู๋ชางแสดงความเห็นด้วย ตนเองยืดตัวอีกรอบ “เอาล่ะ ร่างกายข้ายังไม่ได้ปรับตัวเข้ากับสภาพนี้นัก จะอยู่ที่นี่กับท่านไปอีกสักพัก โอ๊ย ร่างกายแข็งทื่อหมดแล้ว สำหรับพวกข้าผู้ฝึกยุทธ์ การไม่ได้ขยับเขยื้อนห้าปีไม่ใช่เรื่องดีจริง ๆ ข้าไปออกกำลังยืดกล้ามเนื้อและกระดูกหน่อยนะ”
พูดจบ นางลุกจากเตียง อยากจะออกจากถ้ำพำนัก
ถัดจากนั้น โม่เทียนเกอจู่ ๆ สัมผัสได้ถึงพลังสภาวะที่แข็งแกร่งยิ่งโถมเข้ามา จากนั้น ประตูถ้ำพำนักส่งเสียงดังสนั่น
นางหมุนัวมองไปทางประตูถ้ำ ปากอ้าตาค้างทันที
เพียงเห็นเนี่ยอู๋ชางตัวแข็งอยู่ที่นั่น ใบหน้าตกตะลึง มือขวาของนางยังคงอยู่ในท่วงท่าผลักประตู ส่วนกำแพงอาคมที่ตั้งไว้หน้าประตูถ้ำพำนักกับประตูศิลาพังทลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
………………..
ตอนที่ 421 – ยุคสมัยรีบร้อน