หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 421 เวลาผันผ่าน
ตอนที่ 421 – เวลาผันผ่าน
โม่เทียนเกออึ้งไปครู่ใหญ่จึงเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา พุ่งไปดู ประตูศิลาป่นเป็นผง รวมทั้งกำแพงอาคมที่ปากประตูก็ถูกทำลายไปด้วย
ประตูศิลาก็ช่างเถอะ แม้แต่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังก็สามารถบดขยี้ แต่ว่ากำแพงอาคมนี้กลับเป็นสิ่งที่นางตั้งขึ้นกับมือ ถึงจะไม่ใช่ม่านพลังชั้นยอดอะไร แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั่ว ๆ ไปไม่อาจทำลายนะ!
นางเนี่ยอู๋ชางอย่างไม่อาจจะเชื่อ “เมื่อครู่ท่านทำอะไร”
เนี่ยอู๋ชางยังคงสติหลุดลอย งึมงำว่า “ข้า……ก็แค่ยื่นมือผลักออกไป” พอพูดประโยคนี้จบ นางมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้างแล้ว ก้มหน้ามองดูมือของตนเอง ไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแค่บนนั้นแทรกซึมไปด้วยปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มเท่านั้นเอง
“……” ไม่ว่าอย่างไร ตัวของเนี่ยอู๋ชางตอนนี้ยังอยู่ที่ระดับก่อเกิดตานขั้นกลาง สิ่งที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างนี้มีเพียงปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนตัวนาง โม่เทียนเกอมองอยู่ครึ่งค่อนวัน ยิ้มขื่นแล้วส่ายหน้า “ดีแล้วล่ะ ถึงท่านจะพบกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็จะไม่ถึงกับแล้วแต่ความเมตตาของผู้อื่นแล้ว”
ความเคลื่อนไหวอย่างนี้ถึงจะเทียบไม่ได้กับความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แต่ว่ามีพลังสภาวะที่สามารถเทียบเคียงแล้ว เพียงแต่ พลังที่กล้าแข็งเกินไปไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี พลังที่กล้าแข็งต้องการภาชนะบรรจุที่กล้าแข็งเท่า ๆ กัน ภาชนะอันนี้ก็คือร่างกาย, ชีพจรปราณ, ตานเถียนของผู้ฝึกตน เนี่ยอู๋ชางในปัจจุบันนี้ถึงจะมีพลังอย่างนี้ แต่ยังเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง นี่มิใช่เรื่องดีล้วน ๆ โดยเด็ดขาด หากออกแรงขึ้นมามีความเป็นไปได้มากว่าจะตัวระเบิดตาย
เนี่ยอู๋ชางไยจะไม่เข้าใจหลักเหตุผลนี้ นางตะลึงไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ตอนนี้เสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่ดูว่าต้องทำอย่างไร” ว่าแล้วก็ก้มหน้ามองดูมือของตนเองอีก โบกมือเบา ๆ เกิดเสียงดังสนั่น หินขนาดมหึมาก้อนหนึ่งของปากประตูถ้ำพำนัก ถูกตีจนป่นเป็นผง
เมื่อเห็นฉากนี้ เนี่ยอู๋ชางหมดความกระตือรือร้นไปบ้าง ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ นางยังจะขยับตัวได้อย่างไร หรือว่าอนาคตนางต้องเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธ์เป็นผู้ฝึกมารไปแล้วจริง ๆ
โม่เทียนเกอถามว่า “ร่างกายท่านเป็นอย่างไร”
“ตอนนี้ข้าไม่ได้ใช้ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มสักเท่าไหร่ ไม่ได้รู้สึกอะไร” จากนั้นก้มหน้าถอนหายใจว่า “ดูท่า ข้าต้องอยู่ที่นี่นานแล้วล่ะ”
“อะไรนะ”
“ถึงข้าจะมีปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่กล้าแข็ง ร่างกายกลับไม่ได้มีระดับชั้นที่เพียงพอ จำเป็นจะต้องกักตนปรับระดับชั้นให้มั่นคง” เนี่ยอู๋ชางฝืนยิ้ม “อาจจะสามปีห้าปี แล้วก็อาจจะสิบยี่สิบปี ถ้าเผื่อโชคร้าย กักตนเป็นร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
โม่เทียนเกอเห็นด้วย “ด้วยความทรงพลังของปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในปัจจุบันนี้ของท่าน ให้ดีที่สุดยังคงเป็นการเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ อย่างนี้จึงจะสามารถดูดซับทั้งหมด” ตัวนางเองถึงจะยังไม่ได้ผูกจิตวิญญาณใหม่ แต่ว่าข้างกายมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สองคน มีความเข้าใจต่อจิตวิญญาณใหม่ยิ่ง ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนตัวเนี่ยอู๋ชางเทียบได้กับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แต่เนื่องจากระดับชั้นของร่างกายนางมีข้อจำกัด ไม่อาจแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ถึงขนาดที่ว่าถ้าฝืนใช้ออกมา ยังจะสร้างความเสียหายให้กับตัวเองด้วย สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ นอกเสียจากชีพจรปราณตานเถียนของตัวนางเองดูดซับได้อย่างสิ้นเชิง จึงจะสามารถแก้ไขวิกฤตนี้
เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า “ข้าก็คิดอย่างนี้ ถึงจะถูกบังคับจนต้องเดินไปบนเส้นทางของผู้ฝึกมาร แต่ข้ายังอยากจะมีชีวิตดี ๆ ฝึกตนต่อไป”
เป็นธรรมะหรือเป็นมารไม่ได้สำคัญเลย โลกในปัจจุบันนี้ ไม่เคยได้ยินว่ามีคนบรรลุแจ้งเป็นแสนกว่าปีแล้ว ถึงเนี่ยอู๋ชางจะกลายเป็นผู้ฝึกมารก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากจนเกินไป รอจนมีวันนี้ที่นางมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุแจ้งจริง ๆ ค่อยครุ่นคิดก็ยังไม่สาย
จากนั้นทั้งสองคนก็หารือกัน ล้วนตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง
เนี่ยอู๋ชางหมายมั่นว่ากำราบปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มเหล่านี้ลงทั้งหมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน สภาพอย่างนางในตอนนี้ออกไปเดินข้างนอกไม่สะดวกมาก ตอนที่ลงมือถ้าเผื่อควบคุมไม่ดีจะทำร้ายตัวเอง ส่วนโม่เทียนเกอ ก่อนที่อาการบาดเจ็บจะหายดี นางก็ไม่ได้เตรียมจะจากไป ตั้งแต่มาถึงอวิ๋นจง เรื่องก็เกิดขึ้นติด ๆ กัน เวลาฝึกตนกลับกลายเป็นไม่มาก รอจนอาการบาดเจ็บดีแล้ว นางจะใช้เวลาพักฟื้นสักช่วงหนึ่ง ปรับระดับการฝึกตนให้มั่นคง จากนั้นไปพบหลิงอวิ๋นเฮ่อ จัดการเรื่องของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ให้เสร็จ ถึงเวลานั้นค่อยครุ่นคิดถึงการกลับไปเทียนจี๋
จากเทียนจี๋มาเจ็ดปีแล้ว หากเสียเวลารักษาบาดเจ็บอีก คาดว่าสิบกว่าปีก็จะผ่านไปแล้ว ท่องเที่ยวอยู่ภายนอก แล้วยังเป็นสถานที่ที่ไกลขนาดนี้ มันไม่เหมาะจริง ๆ ปัจจุบันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ระหว่างนางกับฉินซีมีสาบานเลือด ห้าปีก่อนที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส คิดว่าฉินซีก็จะต้องสามารถสัมผัสได้ แต่เผอิญว่าเขามาไม่ได้สักช่วงเวลาหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะกังวลใจอย่างไรดีเลย
แผนการเหล่านี้ โม่เทียนเกอเพียงพูดกับเนี่ยอู๋ชางคร่าว ๆ เนี่ยอู๋ชางย่อมไม่พูดอะไร ขณะนี้ทั้งสองคนถึงจะมีมิตรภาพไม่เลว แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่อาจพรากจาก พวกนางล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่เป็นตัวของตัวเองถึงสิบส่วน ต่างคนต่างมีแผนการของตนเอง ปัจจุบันนี้เพียงบังเอิญมีเป้าหมายเดียวกันเท่านั้น
สำหรับเนี่ยอู๋ชาง ไม่ต้องพูดว่าปัจจุบันนางกับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพัวพันกัน ในเวลาสั้น ๆ ไม่อาจออกจากการกักตน ถึงจะสามารถ นางก็จะไม่กลับเทียนจี๋เด็ดขาด นางสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเยี่ยงนั้นจึงสามารถหนีออกจากเทียนจี๋ แทบจะสิ้นชีพอยู่ในทะเลใต้ นอกจากมีวันหนึ่งกลายเป็นผู้ฝึกตนชั้นยอดระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย นางจะไม่เสี่ยงอันตรายกลับไป ถ้าเผื่อซงเฟิงซ่างเหรินยังมีชีวิตอยู่ ชะตากรรมของนางแค่คิดก็ทราบได้
หลังจากพูดคุยกันสั้น ๆ ทั้งสองคนยังคงอยู่ในถ้ำพำนักนี้ ผ่านวันเวลาที่ไม่รบกวนกันและกัน ต่างคนต่างกักตน ต่างคนต่างรักษาบาดเจ็บ
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกห้าปีแล้ว
ช่วงเวลาห้าปีนี้ ทั้งสองคนแทบจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันเลย มีเพียงตอนที่การเช่าถ้ำพำนักครบกำหนด ผู้ดูแลนั้นมาเคาะประตูเก็บค่าเช่า จึงได้ออกมาจากห้องฝึกตนของแต่ละคน
ประตูศิลาของถ้ำพำนักถูกทำลาย เรื่องนี้ผู้ดูแลคาดว่ารู้อยู่แต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าผู้ที่อยู่ที่นี่เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสองคน ไม่สะดวกจะพูดอะไร ตอนที่มาเก็บค่าเช่า ผู้ดูแลไม่ได้ประหลาดใจสักครึ่งส่วน เพียงถามคำหนึ่งว่าจำเป็นต้องซ่อมแซมหรือไม่ เนี่ยอู๋ชางโยนศิลาวิญญาณหนึ่งกองใส่คนเขาตรง ๆ ถือเป็นค่าเสียหาย นอกจากนี้ยังจ่ายค่าเช่าสิบปี
ผู้ดูแลเห็นแล้ว ไหนเลยจะยังรู้สึกไม่มีความสุข รีบสั่งคนให้มาซ่อมประตูศิลาให้แล้วเสร็จ สองปีให้หลังยังคงเป็นดุจเดิม ไม่เคยมารบกวนถึงหน้าประตู
กับความรู้ความเช่นนี้ของผู้ดูแล โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางล้วนพึงพอใจมาก สำหรับพวกนางแล้ว ขณะนี้การมีที่พักอาศัยอันเงียบสงบเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ห้าปีให้หลัง โม่เทียนเกอหยุดการฝึกตน ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
เมื่อสัมผัสได้ถึงลมปราณของนาง ประตูศิลาของห้องฝึกตนของเนี่ยอู๋ชางเปิดขึ้นมาเอง
ไม่ได้พบกันสองปี เนี่ยอู๋ชางสำรวจโม่เทียนเกอโดยละเอียดหนึ่งรอบ ทั้งชื่นชมทั้งใคร่รู้ “ท่านรักษาตัวหรือ สองปีก่อนข้าเห็นว่าอาการบาดเจ็บท่านเพิ่งหาย ทำไมระดับการฝึกตนก้าวหน้าไวขนาดนี้เล่า”
ไม่แปลกที่เนี่ยอู๋ชางจะประหลาดใจ หลังจากนางได้สติ อาการบาดเจ็บของโม่เทียนเกอยังไม่หายดี หลังจากนั้นผ่านไปสามปีจึงเห็นว่าอาการบาดเจ็บของนางหายเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตอนนี้เวลาเพียงสองปี ถึงกับก่อเกินตานขั้นกลางมาเกินครึ่งทางแล้ว ความเร็วฝึกตนเช่นนี้เกินจริงไปแล้ว!
โม่เทียนเกอเพียงตอบอย่างเรียบง่ายว่า “ช่วงเวลาสิบปีนี้ ข้าไม่ได้เอาแต่รักษาบาดเจ็บเท่านั้น” ตอนที่อาการบาดเจ็บทุเลา นางก็เริ่มกินโอสถจำนวนมาก เพิ่มพูนระดับการฝึกตน ส่วนสาเหตุที่ทำอย่างนี้ก็เพราะว่านางเตรียมจะออกจากการกักตนแล้ว ความแข็งแกร่งยิ่งแกร่ง เรื่องที่ต้องทำถัดจากนี้จะยิ่งราบรื่น เรื่องที่เหลืออยู่มีไม่มาก เรื่องแรกคือไปพบหลิงอวิ๋นเฮ่อ จบเรื่องของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ จากนั้นกลับไปยังเทียนจี๋ นอกจากนี้ ถ้าหากเป็นไปได้ นางยังเตรียมที่จะไปสำนักตานเสียสักรอบ ไต่ถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโม่เหยาชิงสักหน่อย
โม่เหยาชิงจากไปห้าร้อยปีแล้ว บุญคุณความแค้นระหว่างนางกับสำนักตานเสียจบไปตั้งแต่ตอนที่นางไปจากอวิ๋นจงแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอย่อมจะไม่ไปพัวพันกับเรื่องนี้ บุญคุณความแค้นของบรรพบุรุษไม่ถึงคราวที่นางที่เป็นชนรุ่นหลังหลายพันปีจะออกความเห็น อย่าว่าแต่หลายปีขนาดนี้ ศิษย์ของสำนักตานเสียก็เปลี่ยนไปไม่รู้กี่รุ่นแล้ว ไม่จำเป็นต้องจริงจังจริง ๆ
โม่เทียนเกอพูดอย่างนี้จบ เนี่ยอู๋ชางมองนาง ตกอยู่ในห้วงคิด ผ่านไปพักใหญ่ นางเอ่ยว่า “ท่านอยากไปแล้วหรือ”
“อืม” นางออกจากการกักตนขณะนี้เพราะต้องการจะบอกลาเนี่ยอู๋ชาง จากเทียนจี๋ไปสิบกว่าปีแล้ว ถึงเวลากลับไปแล้ว
เนี่ยอู๋ชางไม่ได้รู้สึกเหนือคาดเลย เพียงแต่ยังคงรู้สึกถึงความใจหายอย่างรางเลือน นางถอนหายใจ เอ่ยว่า “ก็ใช่ ท่านไม่เหมือนข้า ไม่ว่าจะไปไกลเท่าใดยังต้องกลับไป”
“……” ความเศร้าสร้อยในน้ำเสียงของนาง โม่เทียนเกอฟังออกแล้ว แต่ว่า เรื่องประเภทนี้นางปลอบไม่ได้
ถึงแม้จะมีนิสัยเข้ากันกับเนี่ยอู๋ชาง แต่ว่าเส้นทางชีวิตของพวกนางไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง นางอยู่ที่เทียนจี๋ มีสำนักอาจารย์ มีซือจุน มีคู่ครอง มีญาติ ไม่ว่าจะจากไปไกลอีกเท่าไรก็ต้องกลับไป ที่นั้นมีรากเหง้าของนาง แต่เนี่ยอู๋ชางตรงกันข้าม นางไม่สามารถกลับไปยังเทียนจี๋โดยเด็ดขาด ที่อวิ๋นจง นางก็ไร้ญาติขาดมิตร เป็นเช่นจอกแหน สิ่งเดียวที่สามารถทำให้นางยืนหยัดได้ก็คือจิตใจมุ่งมั่นที่จะฝึกตนต่อไป
ผู้ฝึกตนก็เป็นคน พวกเขาเทียนกับปุถุชนแล้วชืดชาต่ออารมณ์ทางโลกกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถละทิ้งไปได้โดยสิ้นเชิง
“ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกหลายปีข้ายังจะมาที่อวิ๋นจง ถึงเวลายังมีโอกาสได้พบกันอีก” เนิ่นนานให้หลัง โม่เทียนเกอเพียงพูดประโยคนี้ออกมา
เนี่ยอู๋ชางยิ้ม ๆ ทิ้งอารมณ์เศร้าไว้เบื้องหลัง ถามว่า “ถัดจากนี้ท่านวางแผนไว้อย่างไร”
“อืม……ไปหาหลิงอวิ๋นเฮ่อเอาค่าตอบแทนก่อน ถ้าหากเรื่องราวราบรื่นก็กลับเทียนจี๋” เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ปิดบัง โม่เทียนเกอบอกว่าตรงไปตรงมา
“จริงด้วย ข้าลืมไปเลย หลิงอวิ๋นเฮ่อยังติดค้างหนี้กับพวกเรา” เนี่ยอู๋ชางยิ้ม ถอนหายใจเบา ๆ อีกคำหนึ่ง “น่าเสียดาย ของตอบแทนที่เขารับปากข้า ตอนนี้ข้าไม่ต้องใช้แล้ว”
เรื่องนี้โม่เทียนเกอไม่เคยถามเลย ขณะนี้อดอยากรู้ไม่ได้ “ปีนั้นที่ท่านรับปากคำเชิญของหลิงอวิ๋นเฮ่อ สรุปแล้วต้องการของตอบแทนอะไรหรือ”
“วัตถุศักดิ์สิทธิ์ขจัดมารหนึ่งชิ้น” เนี่ยอู๋ชางไม่ได้ลังเล บอกไปตรง ๆ จากนั้นส่ายหน้ายิ้มขื่น “ตอนนั้นข้าเอ่ยข้อเรียกร้องนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อยังยุ่งยากใจถึงสิบส่วน หากมิใช่ว่าเวลากระชั้นเข้ามา เขาต้องการผู้ช่วยอย่างเร่งด่วน เกรงว่าคงไม่ตกลงจะหยิบออกมา แต่ตอนนี้ข้าได้มาไว้ในมือก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” ปัจจุบันนี้นางเป็นผู้ฝึกมารแล้ว บนร่างมีปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มมากขนาดนั้น ยึดครองชีพจรปราณตานเถียนของนางโดยตรง การจะใช้วัตถุขจัดมารชำระล้างปราณมารบนร่างเป็นเรื่องที่ไม่มีทางสำเร็จ หากดันทุรังกับสิ่งนี้ เกรงว่าระดับการฝึกตนจะถูกทำลายจนหมด
“พูดอย่างนี้ ท่านเตรียมจะไม่ไปแล้วหรือ”
“ข้าคาดว่าอย่างน้อยที่สุดข้ายังต้องกักตนอีกสิบปี” เนี่ยอู๋ชางคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “อย่างนี้เถอะ หากท่านพบหลิงอวิ๋นเฮ่อ แจ้งกับเขาแทนข้าสักคำว่า สิ่งของที่เขารับปากข้า สำหรับข้ามีก็ได้ไม่มีก็ได้ หากวัตถุนี้สำคัญกับเขามาก อย่างนั้นเขาสามารถใช้สิ่งของอื่นมาทดแทน ข้าก็ไม่ได้เรียกร้องให้ระดับความล้ำค่าของมันเหนือกว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ ขอแค่เขาไม่ผิดหนี้ก็พอ หากข้าออกจากการกักตนจะไปเสาะหาเขาเอง”
“ได้” โม่เทียนเกอรับปากทันที แค่ฝากคำพูด ไม่นับว่าเป็นอะไร
เนี่ยอู๋ชางกลับมองนางด้วยสีหน้าซับซ้อนอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงกล่าวว่า “หวังว่าข้ากับท่านจะมีโชคชะตาได้พบกันใหม่นะ”
“……” เนิ่นนานให้หลัง โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ “วางใจเถอะ วันหนึ่งหากข้าผูกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ จะต้องกลับมาหาท่านที่อวิ๋นจง”
………………..
ตอนที่ 422 – วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปรากฏบนโลก