หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 427 กลับเมืองกุ่ยฟาง
ตอนที่ 427 – กลับเมืองกุ่ยฟาง
“อยากจะกำราบปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ……” เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจ ลืมตาขึ้น
โม่เทียนเกอจากไปได้หลายวันแล้ว นางยังคงกักตนทุกวัน พยายามอย่างหนักที่จะควบคุมปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มเหล่านี้มาใช้งาน แต่ว่า ตั้งแต่ห้าวันก่อนที่นางฟื้นจนถึงตอนนี้ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่สยบได้น้อยจนน่าสมเพช ด้วยความเร็วอย่างนี้ นางคำนวณว่าเวลาที่ตนเองกักตนยังต้องดำเนินต่อไป อาจจะต้องเป็นร้อยปีให้หลังจึงสามารถออกจากการกักตน
นางมิใช่ว่าทนความเปล่าเปลี่ยวไม่ได้ สามารถมีชีวิตอยู่ข้างคนอย่างซงเฟิงซ่างเหรินมาหนึ่งร้อยกว่าปี ยังมีอะไรที่ไม่สามารถทนได้เล่า เพียงแต่ ปัญหานี้แก้ไขไม่ได้หนึ่งวันก็ยากจะสงบใจไปอีกหนึ่งวัน
มีหนทางอะไรที่สามารถย่นระยะเวลานี้ไหม เนี่ยอู๋ชางคิดเงียบ ๆ
ทันใดนั้น นางสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องฝึกตน เปิดประตูศิลาของถ้ำพำนัก
“ข้ากลับมาอีกแล้ว!” โม่เทียนเกอยืนอยู่นอกถ้ำพำนัก คล้ายกับว่ากำลังอยากจะส่งข้อความให้นาง พอเห็นนางก็ผายมือออกอย่างจนใจอยู่บ้าง
เนี่ยอู๋ชางประหลาดใจ “ท่านมิใช่ไปหาหลิงอวิ๋นเฮ่อหรือ ธุระเสร็จแล้วหรือ”
“ดูท่าทางอย่างนี้ของข้าเหมือนธุระเสร็จแล้วไหมล่ะ” นางถอนหายใจ เดินเข้าถ้ำพำนัก “ไม่รังเกียจที่ข้าจะพักอยู่ที่นี่ต่อไปกระมัง” ผู้ที่จ่ายค่าเช่าถ้ำพำนักครั้งก่อนคือเนี่ยอู๋ชาง
“ตามสบาย” เนี่ยอู๋ชางพูด ปิดประตูศิลา เปิดกำแพงอาคม ถามอีกว่า “เกิดอะไรขึ้น”
จัดเสื้อผ้ารินชา นั่งลงข้างโต๊ะศิลา โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ข้ากลับไปไม่ได้เล้ว”
“เอ๊ะ?” เนี่ยอู๋ชางตะลึง แสดงความไม่เข้าใจ “หมายความว่าอะไร”
“ข้ากลับเทียนจี๋ไม่ได้แล้ว” โม่เทียนเกอพูด
“……” เนี่ยอู๋ชางอึ้งไปครึ่งค่อนวันจึงได้สติกลับมา นางพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ความหมายของท่านคือจะพูดว่า ทางที่ท่านมาผ่านไม่ได้แล้วหรือ”
มาที่เทียนจี๋อย่างไร โม่เทียนเกอไม่เคยบอกกับเนี่ยอู๋ชางอย่างละเอียดเลย เนี่ยอู๋ชางก็ทราบว่าเรื่องอย่างนี้กว่าครึ่งเป็นความลับ นางก็ไม่ถามมากความ ถึงจะไม่รู้สายสนกลในเลย แต่เห็นท่าทางของโม่เทียนเกอที่วางใจเสมอมา นางเดาว่าทางของนางจะต้องปลอดภัยมาก แต่ว่า ตอนนี้โม่เทียนเกอถึงกับพูดว่านางกลับไปไม่ได้แล้ว?
ในเมื่อเส้นทางหายไปแล้ว นี่ก็ไม่ถือว่าเป็นความลับ โม่เทียนเกอบอกเรื่องของทางเส้นนั้นรวมทั้งการที่เกาะหนานจี๋หายไปกับนางอย่างตรงไปตรงมาและครบถ้วน
รอจนนางพูดจบ เนี่ยอู๋ชางไร้วาจาไปเนิ่นนาน เส้นทางที่คงอยู่มาตลอดห้าพันปี ถึงกับพังไปหลังนางวิ่งมาที่อวิ๋นจงได้ไม่กี่ปี นางยังสามารถพูดอะไรได้ นี่โชคร้ายถึงขอบเขตหนึ่งแล้ว
ครู่ใหญ่ให้หลัง เนี่ยอู๋ชางถามว่า “เช่นนั้นตอนนี้ท่านวางแผนว่าจะทำอย่างไร”
โม่เทียนเกอยิ้มขม “ยังสามารถทำอย่างไรเล่า ได้แต่เสาะหาทางอื่น ไม่สามารถรั้งอยู่ที่อวิ๋นจงไปได้ตลอดหรอกนะ”
“อืม ท่านไม่ใช่ข้า……” เนี่ยอู๋ชางคิด “หากหาไม่เจอ ท่านวางแผนจะข้ามทะเลใต้แล้ว?”
“ใช่ ดังนั้นข้าจะวิ่งกลับมาหาท่าน หนึ่งคือ อยากจะข้ามทะเลใต้ จะต้องแข็งแกร่งกว่านี้หน่อย สองคือ เรื่องนี้ท่านเคยทำมา มาถามประสบการณ์ของท่านดู”
เนี่ยอู๋ชางไม่ได้ลังเล กล่าวว่า “สาเหตุที่ข้าสามารถมาถึงอวิ๋นจงอย่างปลอดภัย หนึ่งคือโชค สองคืออาศัยสมบัติที่ขโมยมาจากซือฟุ บอกความจริงกับท่านเถอะ ในนี้โชคเป็นปัจจัยที่ใหญ่มาก หากอาศัยอาวุธเวทชิ้นเดียวก็สามารถข้ามทะเลใต้อย่างปลอดภัย อวิ๋นจงและเทียนจี๋ไยจึงไม่มีการไปมาหาสู่กันตั้งหลายปีขนาดนี้เล่า แต่ว่า ถ้าท่านต้องการ ถึงเวลาข้าสามารถให้ท่านยืมอาวุธเวทชิ้นนั้น”
โม่เทียนเกอฟังจนตะลึงไป “นี่……” นางมาถามประสบการณ์ที่เนี่ยอู๋ชางข้ามทะเลใต้ กลับไม่เคยคิดว่านางจะเต็มใจให้ยืมอาวุธเวท สิ่งของอย่างอาวุธเวทเป็นสิ่งล้ำค่าและหวงแหนที่สุดของผู้ฝึกตน แม้กระทั่งระหว่างสหายก็จะไม่ให้ยืม อีกทั้งในเมื่อเนี่ยอู๋ชางอาศัยอาวุธเวทนี้จึงสามารถมาถึงอวิ๋นจงอย่างปลอดภัย แสดงว่าสิ่งนี้แข็งแกร่งถึงสิบส่วน เป็นอาวุธเวทชั้นยอดที่ล้ำค่ายิ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังนางกลับเทียนจี๋ยังไม่รู้ว่าจะมาอวิ๋นจงอีกหรือไม่ หากไม่มา นั่นก็คือการยืมโดยไม่คืนแล้ว
เนี่ยอู๋ชางเห็นสีหน้านี้ของนางก็เข้าใจแล้วว่านางกำลังคิดอะไร กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ท่านไม่ต้องคิดมาก วัตถุนี้อาจจะแข็งแกร่งมาก แต่สำหรับข้าในปัจจุบันนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว” หยุดไปชั่วครู่แล้วเอ่ยอีกว่า “รอจนตอนที่ท่านอยากข้ามทะเลใต้จริง ๆ แล้วค่อยว่ากันใหม่เถอะ เรื่องหลิงอวิ๋นเฮ่อเล่า ท่านไม่เสร็จธุระ หรือว่าเขาไม่ยอมจ่าย?”
“ข้าไม่ได้เจอเขา” โม่เทียนเกอมองเนี่ยอู๋ชาง ยิ้มขื่นอีกรอบ “ท่านคงจะไม่ทราบว่าภายนอกวุ่นวายใหญ่โตแล้วกระมัง”
“อะไรนะ” เนี่ยอู๋ชางประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น”
โม่เทียนเกอถอนหายใจ “เรื่องนี้พูดแล้วซับซ้อน……”
เสียเวลาไปพักหนึ่ง นางบอกเรื่องที่เห็นที่ได้ยินหลังจากออกไปให้เนี่ยอู๋ชางฟังทีละเรื่อง ถึงแม้ส่วนใหญ่ในนั้นล้วนเป็นเพียงข่าวลือและคำกล่าวอ้างของอวิ๋นจง แต่เรื่องเหล่านี้เนี่ยอู๋ชางไม่เคยได้ยินมา ฟังอย่างเพลิดเพลิน
“อวิ๋นจงถึงกับมีตำนานอย่างนี้……” เนี่ยอู๋ชางฟังจบแล้วอัศจรรย์ใจยิ่ง
ถึงดินแดนฝึกเซียนของอวิ๋นจงเทียบกับเทียนจี๋แล้วใหญ่กว่ามาก แต่ในด้านระดับชั้นไม่ได้สูงกว่าผู้ฝึกตนของเทียนจี๋สักเท่าไหร่เลย แต่ว่า ตำนานของห้าปราชญ์นี้หากเป็นความจริง เช่นนั้นประวัติศาสตร์ของอวิ๋นจงก็รุ่งเรืองกว่าเทียนจี๋มาก
ในประวัติศาสตร์ของเทียนจี๋ก็ลือกันแค่สองคนที่แปลงเทพสำเร็จ อีกทั้งยังหาหลักฐานอันใดไม่เจอ แต่ห้าปราชญ์กลับไม่เหมือนกัน พวกเขามีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นสืบทอดบนโลก ส่วนใหญ่ในนั้นยังมีลูกศิษย์สืบต่อกันมาด้วย ความน่าเชื่อถือสูงมาก
“เจดีย์มารสวรรค์ ไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นอาวุธเวทอย่างไรจึงสามารถได้รับการเรียกขานเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์” แม้ว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนี้เป็นเพียงกุญแจเปิดมิติเร้นลับนั้นก็จะต้องไม่ใช่ของสามัญ อีกไปกว่านั้นตามข่าวลือเจดีย์มารสวรรค์นี้เป็นอาวุธเวทที่แข็งแกร่งที่สุดของจอมมาร
“เป็นไร ท่านสนใจหรือ” โม่เทียนเกอเหล่มองนาง “ท่านเป็นผู้ฝึกมารแล้ว หากสามารถได้รับเจดีย์มารสวรรค์นี้ คิดว่าความแข็งแกร่งจะต้องเพิ่มขึ้นมาก ดีเลย!”
“ดีก็ไม่มีประโยชน์” เนี่ยอู๋ชางไม่โง่ กลอกตาใส่นาง “อย่าว่าแต่สภาพในตอนนี้ของข้าไม่เหมาะจะออกไปเดินข้างนอก ถึงจะสามารถ ข้าสามารถช่วงชิงกับผู้ฝึกตนเหล่านั้นหรือ มิสู้ดูอยู่ข้าง ๆ ไม่ไปข้องเกี่ยว ทรัพย์สมบัติดีอีกแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าชีวิต”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว โม่เทียนเกอยิ้มและไม่พูดอีก กับจุดนี้ นางและเนี่ยอู๋ชางค่อนข้างเห็นสอดคล้องกัน พวกนางมิใช่ผู้ฝึกตนที่ใกล้สิ้นอายุขัยแล้วไร้ความหวังในการเลื่อนระดับ ไยจะต้องเสี่ยงชีวิตไปแย่งชิงความเป็นไปได้อันน้อยนิดนี้เล่า ยังมิสู้ฝึกตนไปตามขั้นตอนยังเลื่อนระดับเร็วกว่า
แยกจากนั้นยังไม่นานเท่าไร ทั้งสองคนล้วนไม่มีความรู้สึกพบหน้าใหม่หลังจากกันนาน พูดเรื่องพวกนี้จบแล้วก็กลับไปสู่สภาพก่อนหน้า ต่างคนต่างกลับห้องฝึกตน ต่างคนต่างทำธุระของตน
โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนตั้งกำแพงอาคม เข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ปล่อยอสูรวิญญาณสามตัวออกมา ให้พวกมันเล่นอย่างอิสระ ตนเองนั้งอยู่ในห้องฝึกตน ครุ่นคิดเงียบ ๆ
อสูรวิญญาณสามตัวของนาง เสี่ยวฝานถึงจะพูดได้ แต่ไร้เดียงสาเกินไป เฟยเฟยฉลาดพอ แต่นิสัยคล้ายมนุษย์เกินไป ไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลย เช่นนี้ เรื่องการกลับเทียนจี๋ได้แต่ให้นางใคร่ครวญเอาเอง
คิดอยู่พักหนึ่ง อดคิดไปถึงความวุ่นวายของอวิ๋นจงครั้งนี้ไม่ได้
ตามข่าวลือห้าปราชญ์ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนอกจากยังมีแหฟ้าตาข่ายดิน นางล้วงแหฟ้าตาข่ายดินอันนั้นของตนเองออกมาอีกครั้ง แต่ยิ่งดูยิ่งรู้สึกพิกล วัตถุนี้พลังสภาวะไม่แกร่งจริง ๆ แต่พลังวิญญาณบนนั้นร้ายกาจจริง ๆ นางลองใช้พลังวิญญาณของตนเองไปโจมตี แต่ผลลัพธ์กลับเป็นการทิ้งรูปปั้นดินลงในทะเล ไม่ส่งผลสักเศษเสี้ยว
อย่าบอกนะว่าวัตถุนี้เป็นแหฟ้าตาข่ายดินของฮุยอินต้าซือในข่าวลือ? เป็นไปไม่ได้กระมัง หากเป็นเช่นนี้ก็เหลือเชื่อเกินไปแล้ว นี่เป็นเพียงอาวุธเวทหนึ่งชิ้นที่นางเก็บมาโดยไม่ตั้งใจ จะเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธไปได้อย่างไรเล่า อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังอยู่ในมือของผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังสองคน
หากเสาะหาผู้ฝึกพุทธคนนั้นที่นางปล่อยไป ไม่แน่ว่าจะสามารถทำความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น น่าเสียดาย คนคนนั้นมีศักดิ์ฐานะภูมิหลังใด นางไม่ได้ถามเลย
ดูไปสักพัก ยังคงเก็บแหฟ้าตาข่ายดินกลับไป ลังเลชั่วครู่ แล้วกลับล้วงกระบี่ผุขึ้นสนิมเขลอะเล่มหนึ่งออกมา
นี่ก็คือกระบี่ฝูเซิงแลกมาจากมือประมุขมารเสวียนเยว่ตอนนั้น กระบี่นี้ถึงจะขึ้นสนิมเขลอะ แต่พลังสภาวะไม่สามัญ พลังแห่งวายุอัสนีเคลื่อนไหวอย่างซ่อนเร้นในนั้น แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของสามัญเลย
แต่ว่า กระบี่นี้ถูกปราณมารกัดกร่อนร้ายแรงเกินไปแล้ว มองไม่เห็นพลังวิญญาณสักเศษเสี้ยว ตัวกระบี่ล้วนทื่อด้านไร้ประกาย หากดูไม่ละเอียดเกรงว่าจะถูกผู้คนถือเป็นกระบี่ผุหนึ่งเล่ม
คิดสักพัก โม่เทียนเกอลุกขึ้น เดินเข้าห้องหลอมอาวุธ
เมื่อเห็นแผนผังอันคุ้นเคยในห้องหลอมอาวุธ โม่เทียนเกอยืนนิ่ง อดหวนคิดถึงฉากที่เคยหลอมสร้างพัดแห่งสวรรค์และโลกาที่ห้องหลอมอาวุธกับฉินซีไม่ได้
ทักษะการหลอมอาวุธของนางไม่ได้ดีเท่าไหร่ ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ทุกชิ้นตรงนี้ล้วนออกมาจากมือของฉินซี เวลานั้น พวกเขาสองคนถูกขังอยู่ที่นี่หลายปี ทุก ๆ วันถกว่าจะหลอมสร้างพัดแห่งสวรรค์และโลกาอย่างไร การทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า……
อันที่จริง ตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน น้อยมากที่จะหวานใส่กัน เวลามากกว่านั้นพวกเขาเอามาถกประสบการณ์ แลกเปลี่ยนความคิด ถึงจะไม่ได้หวานพอ แต่วันเวลาอย่างนี้ หวนคิดขึ้นมาแล้วกลับมีความสุขเต็มเปี่ยม
คู่เต๋าคู่เต๋า คู่ครองที่เสาะหาเซียนถามไถ่เต๋าร่วมกัน นี่ก็พอแล้ว ท่านและข้า จะอยู่เคียงคู่ไม่พรากจากในวันเวลาอันแสนยาวนานได้อย่างไร
จากเทียนจี๋สิบปี พวกเขาแยกจากกันสิบปีแล้ว อันที่จริงเวลาที่โม่เทียนเกอคิดถึงไม่ได้มากเลย แต่ขณะนี้ตัวอยู่ในสถานที่ที่พวกเขาเคยอยู่ร่วมกัน ลูบไล้อุปกรณ์ที่เขาเคยใช้ ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกได้ถึงความคิดถึงอันพลุ่งพล่านฉุดกระชากตนเองจมดิ่งลงไป
หลายปีขนาดนี้ไม่ได้กลับไป เขายังสบายดีอยู่หรือ ออกจากการกักตนแล้วหรือไม่ จะห่วงนางหรือไม่ ถ้ารู้ว่านางกลับไปไม่ได้ เขาจะมาหานางหรือไม่
ฉากเหล่านั้นที่เคยอยู่เคียงข้างกันผุดขึ้นในสมองไม่หยุด
ฉินซือเกอที่เย็นชาและเงียบขรึมผู้นั้น อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งที่พานางหนีจากเขาอวิ๋นอู้ สหายในสองเดือนนั้น ฉินซือเกอที่เสี่ยงอันตรายไปช่วยชีวิตนางผู้นั้น อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งที่เห็นนางแล้วแต่กลับหันหลังให้อย่างเย็นชาผู้นั้น ความเหินห่างสามสิบห้าปีนั้น
เวลานั้น พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองขนาดไหน เรื่องอื่นใดสามารถคำนวณอย่างชาญฉลาด แต่เรื่องความรู้สึกกลับเดาความคิดของอีกฝ่ายส่งเดชตลอด ยึดมั่นศักดิ์ศรีทว่าไม่ยอมปล่อยวางท่าทีแล้วปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ
โชคดี พวกเขาในที่สุดยังเดินมาอยู่ร่วมกัน ไม่ได้ละทิ้งพรหมลิขิตที่สวรรค์ประทานมา หวนคิดถึงตอนนั้น การพบพานของพวกเขาบังเอิญขนาดนี้ หากบิดาไม่ได้ร่วมทางกับเขา ระหว่างพวกเขาจะไม่มีความเกี่ยวข้อง หากท่านอารองไม่ได้พานางจากไป นางที่เยาว์วัยเติบโตขึ้นที่โรงเรียนเสวียนชิงจะต้องเพียงถือว่าเขาเป็นคนรุ่นก่อน หากไม่ใช่ว่าเขาไปเขาอวิ๋นอู้พอดี พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้รู้จักกันด้วยฐานะคนร่วมรุ่น
ขอแค่ขาดไปนิดเดียว พวกเขาก็จะคลาดกันแล้ว โชคดี คนที่บิดาฝากฝังเป็นเขา โชคดี ตอนที่นางเยาว์วัยพวกเขาไม่ได้รู้จักกัน โชคดี ก่อนที่พวกเขาจะพบกันนางก็โตแล้ว
ยิ่งหวนคิดก็ยิ่งคิดถึงเขา
ดังนั้น เทียนจี๋ นางจะต้องกลับไป
………………..
ตอนที่ 428 – กักตนพุ่งสู่ขั้นปลาย