หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 431 การต่อสู้ของพุทธมาร
ตอนที่ 431 – การต่อสู้ของพุทธมาร
โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นดูว่าเสียงมาจากไหน
ไม่นานหลังจากนั้น กลางท้องฟ้าอันมีปราณมารอยู่หนาแน่นมีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
“จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย……” เนี่ยอู๋ชางพึมพำกับตัวเอง สายตาจ้องไปที่ร่างของผู้ฝึกตนที่นำอยู่ข้างหน้า
หากมิใช่พวกนางมั่นใจว่าคนผู้นี้เป็นระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย จะไม่นึกเด็ดขาดว่าเขาก็คือเจ้าเมืองของเมืองกุ่ยฟาง หนึ่งในสามประมุขมารใหญ่สายมารของอวิ๋นจง ประมุขมารกุ่ยฟาง
ประมุขมารกุ่ยฟางผู้นี้ดูไปแล้วมีอายุสามสี่สิบปี แต่งชุดเขียวเรียบง่าย รูปร่างผอมเพรียว หน้าขาวไร้หนวด ท่าทางสง่างาม บนตัวไร้ปราณมาร แต่กลับภูมิฐานเป็นบัณฑิต ประดุจเซียนเซิงสอนหนังสือทางโลก
แต่ทว่า พลังสภาวะบนตัวเขากลับกล้าแข็งไร้ที่เปรียบ เทียบกับอู๋หมิงเจินเจ่อแล้วไม่ด้อยกว่าสักนิด ที่เมืองกุ่ยฟาง นอกจากประมุขมารกุ่ยฟาง ผู้ใดจะสามารถมีพลังสภาวะเช่นนี้ อีกอย่าง โม่เทียนเกอเห็นหยางเฉิงจีที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่แวบแรกแล้ว
“ที่แท้เป็นสหายเต๋ากุ่ยฟาง” พริบตาที่ค้นพบว่าประมุขมารกุ่ยฟางปรากฏตัว อู๋หมิงเจินเจ่อก็เก็บแหฟ้าตาข่ายดิน ขณะนี้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ประนมมือคารวะ “พระเฒ่าเพียงผ่านทาง ยังมีธุระติดตัว กลับไม่สะดวกจะไปพบสหายเต๋ากุ่ยฟาง”
“ฮี่ ๆ!” ประมุขมารกุ่ยฟางน้ำเสียงแหบแห้ง สายตาจับอยู่ที่เหล่าผู้ฝึกพุทธที่อยู่ด้านล่างอย่างเย็นชา “ภิกษุเฒ่าอู๋หมิง ด้วยศักดิ์ผู่จี้เจินเจ่อของท่าน พาศิษย์มากขนาดนี้เข้าเมืองกุ่ยฟางของข้า ไม่มาทักทาย คล้ายจะไม่สมเหตุสมผลกระมัง”
เมืองของสายมารกับเมืองของสายธรรมะไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะอาณาจักรตงถังหรือว่าอาณาจักรหนานโจวล้วนมีราชวงศ์ ยิ่งมีจวนข้าหลวง แม้แต่เมืองฝึกเซียนอย่างเมืองเทียนเสวี่ยก็มีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก พวกเขาปกครองปุถุชน ดูแลกิจการทางโลก เมืองเทียนเสวี่ยเป็นเขตอิทธิพลของสกุลหลิง แต่ในนามแล้วใคร ๆ ก็สามารถไป ๆ มา ๆ แต่เมืองของสายมารกลับสร้างขึ้นจากน้ำมือของเจ้าเมือง เป็นของเจ้าเมืองทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับราชวงศ์ของอาณาจักรเป่ยหลิน
ดังนั้น เมืองกุ่ยฟางอันที่จริงแล้วเป็นดินแดนส่วนตัวของประมุขมารกุ่ยฟาง อู๋หมิงเจินเจ่อมาถึงเมืองกุ่ยฟางกลับไม่ทักทายประมุขมารกุ่ยฟาง อีกทั้งไม่ได้เข้าประตูเมือง เรียกได้ว่าเป็นการปีนกำแพงลอบเข้าเคหสถานของผู้อื่น ประมุขมารกุ่ยฟางจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร
แต่ว่า โม่เทียนเกออยากรู้มาก ประมุขมารกุ่ยฟางจะพูดอย่างไรก็เป็นหนึ่งในสามประมุขมารใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วเมืองกุ่ยฟางก็ยังเป็นดินแดนส่วนตัวของเขา เหตุใดอู๋หมิงเจินเจ่อพาเหล่าศิษย์เข้าเมืองกุ่ยฟาง เขากลับทราบเรื่องในภายหลังเล่า หรือว่าอู๋หมิงเจินเจ่อมีทักษะลับอะไรกำบังจิตหยั่งรู้ของประมุขมารกุ่ยฟาง? แต่ว่า ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย แม้จะช้าไปบ้าง สุดท้ายแล้วยังเร่งรุดมาถึงก่อนที่อู๋หมิงเจินเจ่อจะจากไป
อู๋หมิงเจินเจ่อกลับยังคงยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าไม่มีแววละอายใจสักครึ่งส่วน “สหายเต๋ากุ่ยฟางไยจะต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้เล่า พระเฒ่าพาศิษย์จากไปเป็นอย่างไร”
“หึ!” ประมุขมารกุ่ยฟางเอ่ยเสียงเย็น “ภิกษุเฒ่า ท่านช่างคำนวณนักนะ! อยากไปรึ? ทิ้งสิ่งของเอาไว้แล้วค่อยว่ากัน!”
“สิ่งของ?” บนใบหน้าอู๋หมิงเจินเจ่อปรากฏสีหน้าประหลาดใจ “สหายเต๋ากุ่ยฟาง ท่านว่าสิ่งของอะไร”
หากไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองส่งมอบแหฟ้าตาข่ายดินให้อู๋หมิงเจินเจ่อกับมือ โม่เทียนเกอแทบจะนึกว่าเขาไม่ได้หยิบอะไรไปเลยจริง ๆ พระชั้นสูงผู้หลุดพ้นที่คิ้วตาปรานีขนาดนี้ ถึงกับทำตัวไร้ความละอายได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติขนาดนี้ ช่างทำให้คนพูดไม่ออกโดยแท้
ประมุขมารกุ่ยฟางได้ยินแล้วสีหน้าดิ่งลง “ภิกษุเฒ่าอู๋หมิง ไว้หน้าแล้วท่านก็อย่าได้ไม่รักดี! ที่นี่คือเมืองกุ่ยฟาง ไม่ใช่เขาไป๋ฝูของพวกท่าน!”
“พระเฒ่าถึงจะชรา ดวงตากลับไม่ได้พร่ามัว ไม่ต้องให้สหายเต๋ากุ่ยฟางเตือน” อู๋หมิงเจินเจ่อตอบอย่างยิ้มแย้ม
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดิ่งลงของประมุขมารกุ่ยฟาง โม่เทียนเกอลากเนี่ยอู๋ชางถอยหลังไปหลายก้าวอย่างระมัดระวัง หลบเข้าไปในถ้ำพำนัก
โชคดี นางมอบแหฟ้าตาข่ายดินออกไปแล้ว สำหรับประมุขมารกุ่ยฟางเป็นเพียงตัวละครเล็ก ๆ ไร้ความสำคัญ แม้แต่หางตายังไม่ชายมองพวกนาง
“ดูท่า พวกเขาจะลงไม้ลงมือกันเสียแปดส่วน” เนี่ยอู๋ชางมองไปข้างนอกอย่างกังวลใจอยู่บ้าง เอ่ยเสียงเบา ๆ
“อืม” โม่เทียนเกอปิดประตูศิลาของถ้ำพำนักอย่างระมัดระวัง ตั้งกำแพงอาคมขนานใหญ่ไว้รอบ ๆ ถ้ำโดยเร็ว
“มีประโยชน์หรือ” เมื่อเห็นการกระทำของนาง เนี่ยอู๋ชางแสดงความกังขา “ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย พวกเขาลงมือกันขึ้นมา ภูเขาทั้งลูกยังทลายราบเป็นหน้ากลองได้”
“พวกเขาจะไม่สู้ที่นี่” โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างเชื่อมั่น “ข้าแค่เผื่อเอาไว้”
“อ้อ ใช่” เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า ที่นี่คือเมืองกุ่ยฟาง ประมุขมารกุ่ยฟางจะลงมือส่งเดชบนดินแดนของตนเองได้อย่างไร ความเคลื่อนไหวที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายตีกันเป็นไปได้ว่าจะทำลายเมืองไปเลย
“ลาหัวล้าน!” เสียงทุ้มต่ำของประมุขมารกุ่ยฟางดังขึ้นมา “ดูท่าพวกเราไม่ตีกันสักยก ท่านก็จะไม่มอบสิ่งของออกมาอย่างว่าง่ายแล้ว!”
อู๋หมิงเจินเจ่อยังคงมีน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน “สหายเต๋ากุ่ยฟาง วัตถุนี้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธข้า ท่านได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร วันนี้หากไว้หน้าให้พระเฒ่า วันหน้าวัดหัวเหยียนเราจะติดค้างน้ำใจท่านหนึ่งอย่าง อย่างนี้ไม่ดีหรือ”
“หึ!” ประมุขมารกุ่ยฟางเอ่ยเสียงเย็นว่า “พูดได้ช่างน่าฟัง! เจดีย์มารสวรรค์นั่นก็เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์สายมารของพวกเรา พวกท่านสำนักพุทธยังมิใช่มาแย่งเหมือนกัน?”
ฟังจากน้ำเสียงนี้ ประมุขมารกุ่ยฟางโกรธหนักมาก หรือว่าที่เขาชิงเจดีย์มารสวรรค์ไม่ได้ในครั้งนี้มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้ฝึกตนสำนักพุทธด้วย
“สหายเต๋ากุ่ยฟาง!” อู๋หมิงเจินเจ่อลากเสียงยาว ราวกับว่ากำลังโน้มน้าวอย่างอดทนมาก “เรื่องของเจดีย์มารสวรรค์ ถึงตอนสุดท้ายมันหลุดการควบคุมไปแล้ว พวกเราก็ช่วยไม่ได้นะ! ตอนนี้เรื่องมันจบแล้ว จะเถียงกันอีกก็ไม่มีส่วนช่วยต่อเรื่องราวไม่ใช่หรือ”
“ภิกษุเฒ่ารูปนี้ ดูท่าทางอย่างกับพระชั้นสูงผู้หลุดพ้น ทำไมไร้ความละอายได้ขนาดนี้” เนี่ยอู๋ชางพูดเสียงเบา ๆ ตอนนี้นางก็นับว่าเป็นผู้ฝึกตนสายมาร กับพฤติกรรมประเภทนี้ของอู๋หมิงเจินเจ่อ ทนดูไม่ได้จริง ๆ
โม่เทียนเกอยิ้ม “นั่นต้องดูว่ากับใคร อย่างพวกเราผู้ฝึกตนเล็ก ๆ เขาไม่ถือสาที่จะแสดงท่วงท่าของผู้อาวุโสผู้สูงส่งสักหน่อย แต่ต่อหน้าผู้ฝึกตนร่วมระดับชั้น หากยอมให้หนึ่งก้าว สิ่งที่ยอมให้จะเป็นผลประโยชน์สำคัญแล้ว”
เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า ถอนหายใจเอ่ยว่า “แม้ว่าศีลสำนักพุทธจะเคร่งครัดกว่า สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตน ต่อหน้าผลประโยชน์ น้อยคนที่จะไม่ต้องการแย่งชิงสักรอบ”
โม่เทียนเกอไม่เอ่ยวาจา เทียบกับมรรคาอื่น คำสอนของสำนักพุทธอ่อนโยนกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่จะอ่อนโยนอีกแค่ไหนก็มีขีดจำกัด อู๋หมิงเจินเจ่อไม่ถือสาที่ผู้เยาว์อย่างนางถกเงื่อนไขต่อหน้าตนเอง แล้วก็เต็มใจจะให้ประโยชน์กับนาง เพราะว่าสำหรับเขา นางยังต่ำต้อยเกินไป คนจะไปถกเถียงกับมดได้อย่างไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนระดับสูงอย่างประมุขมารกุ่ยฟางกลับจะไม่ถอยแม้ครึ่งก้าว สิ่งของที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเห็นเข้าตา เขาให้ไม่ได้ หากถอยหลังแล้ว สิ่งที่สูญเสียก็คือผลประโยชน์ของตนเองรวมทั้งวัดหัวเหยียนทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลัง
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย! ท่านลอบเข้าเมืองกุ่ยฟางข้า อย่าคิดจะเอาสิ่งของจากไป!” ประมุขมารกุ่ยฟางหมดความอดทนแล้ว พร้อมกับที่พูดวาจานี้ออกมา ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน
โชคดี โม่เทียนเกอได้ตั้งกำแพงอาคมไว้ก่อนแล้ว แรงกดดันนี้อ่อนโทรมลงไปไม่น้อย อีกอย่าง พวกนางสองคน ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของโม่เทียนเกอฝึกไปถึงระดับที่สูงล้ำแล้ว เนี่ยอู๋ชางก็มีปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มอันแข็งแกร่งอยู่กับตัว จึงล้วนไม่ได้รับผลกระทบอะไร
“สหายเต๋ากุ่ยฟาง อย่าได้ร้อนรนขนาดนี้ อยู่ ๆ ก็ตี ๆ ฆ่า ๆ แย่ขนาดไหน ครั้งก่อนที่ทะเลกุยสวี พวกเราสองฝ่ายล้วนสูญเสียไม่น้อย กำลังเป็นช่วงพักฟื้น เสียแรงไปอย่างนี้คุ้มแล้วหรือ”
“ท่านพูดได้ช่างหน้าฟัง!” ประมุขมารกุ่ยฟางกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ตัวท่านเองได้วัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธ ย่อมพึงพอใจเต็มเปี่ยม เปิ่นจวินหากปล่อยท่านลอบเข้าเมืองกุ่ยฟางข้า แล้วยังเอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์หนึ่งชิ้นออกไปจากในเมืองกุ่ยฟาง ยังจะมีหน้ามีตาอันใดอยู่บนโลก! ลาหัวล้านเฒ่า ให้ตัวเลือกท่านสองอย่าง หนึ่งคือออกจากเมืองแล้วพวกเราสู้กันดี ๆ หนึ่งยก หากท่านชนะ พวกท่านมีอิสระที่จะไปจะมา เปิ่นจวินจะไม่พูดมากอีกสักคำ หากท่านแพ้ เช่นนั้นก็ทิ้งสิ่งของเอาไว้อย่างว่าง่าย ท่านยังคงสามารถพาเหล่าศิษย์ของท่านจากไปอย่างปลอดภัย สองคือ เปิ่นจวินจะกระตุ้นกำแพงอาคมใหญ่ของเมืองกุ่ยฟางตรง ๆ ถึงเสี่ยงที่จะล้างเมืองก็จะต้องรั้งตัวพวกท่านศิษย์อาจารย์เอาไว้ทั้งหมด! ว่าอย่างไร เลือกมาสักอันเถอะ”
พูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงของกลายเป็นดำมืด เห็นได้ชัดว่าในใจของเขาเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยวางแล้ว
ตัวเลือกสองอย่างนี้เรียบง่ายมาก หนึ่งคือสู้หนึ่งยกกำหนดผลแพ้ชนะ หรือไม่ก็ไม่ตายไม่เลิกรา
ที่โม่เทียนเกอเดาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลย ที่นี่คือเมืองกุ่ยฟาง ประมุขมารไม่มีทางไม่แยแสสักนิด ดังนั้นเขาเสนอวิธีแก้ไขอย่างที่หนึ่งออกมา เช่นนี้แล้ว เมืองกุ่ยฟางสามารถไร้ความเสียหาย อู๋หมิงเจินเจ่อก็ไม่ต้องแบ่งแยกจิตใจห่วงความปลอดภัยของเหล่าศิษย์ เพียงแต่ว่า ใครแพ้ก็จะเสียวัตถุศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งไม่สามารถกลับคำ
แต่หากเลือกหนทางที่สองก็จะไม่ตายไม่เลิกรา ประมุขมารกุ่ยฟางเดิมพันด้วยเมืองกุ่ยฟาง อู๋หมิงเจินเจ่อจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของตนเองรวมทั้งเหล่าลูกศิษย์ เมื่อมองแวบแรก หนทางนี้คล้ายจะเป็นประมุขมารกุ่ยฟางสูญเสียร้ายแรงกว่า แต่ว่าเมืองกุ่ยฟายเป็นสถานที่ที่เขาปกครองมาเป็นพันปี จะปล่อยให้คนอื่นไป ๆ มา ๆ ได้หรือ พอเขากระตุ้นกำแพงอาคมใหญ่ของเมืองกุ่ยฟาง ไม่ว่าอู๋หมิงเจินเจ่อจะร้ายกาจอีกแค่ไหนก็เป็นผลลัพธ์ที่หนีไม่รอดเสียแปดส่วน แน่นอนว่า ด้วยมหาณานศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย เมืองกุ่ยฟางรวมทั้งผู้ฝึกตนน้อยใหญ่ในเมืองก็ต้องหายไปจากโลกนี้ด้วยกัน ถึงเวลานั้น แม้ว่าประมุขมารกุ่ยฟางจะรอดชีวิต ได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธ แต่รากฐานพันปีพังทลายในคราเดียว อีกทั้งมีความเป็นไปได้มากว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่แน่ว่าระดับการฝึกตนจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าจะดี
ฝึกตนมาถึงจิตวิญญาณใหม่ไม่ง่ายดาย ที่พุ่งทะลวงถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายยิ่งน้อยกว่าหนึ่งในร้อยของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ผู้ฝึกตนที่ระดับยิ่งสูงยิ่งหวงแหนชีวิต หนทางที่หนึ่งจึงเป็นวิธีที่สมกับประโยชน์ของพวกเขา
แต่ว่า นอกจากนี้ยังต้องดูระดับความมั่นใจในตนเองของอู๋หมิงเจินเจ่อ รวมทั้งความสำคัญของวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธชิ้นนี้ สมมติว่าสำหรับวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธชิ้นนี้ วัดหัวเหยียนไม่เสียดายที่จะใช้กำลังทั้งวัดตามกลับมา เช่นนั้นแม้ว่าอู๋หมิงเจินเจ่อจะสละชีวิตของตนเองรวมทั้งศิษย์เหล่านี้ก็ต้องต่อสู้กับประมุขมารกุ่ยฟางแล้ว
“เฮ้อ สหายเต๋ากุ่ยฟาง……” น้ำเสียงของอู๋หมิงเจินเจ่อจนใจยิ่ง “จะต้องไม่เหลือทางถอยเช่นนี้เลยหรือ”
“หึ! ไม่ต้องพูดไร้สาระ เลือกมาเลย!”
ถัดจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอีก พวกโม่เทียนเกอสองคนกลับสัมผัสได้ว่าแรงกดดันยิ่งมายิ่งกล้าแข็ง ถึงตอนท้าย กล้าแข็งถึงขนาดที่พวกนางสองคนล้วนรู้สึกอึดอัด ภายนอกมีเสียงกระอักโลหิตจากศิษย์คนอื่นที่รับแรงกดดันไม่ไหวเป็นครั้งคราว
“ในเมื่อสหายเต๋ากุ่ยฟางตัดสินใจเช่นนี้ พระเฒ่าก็ไม่ควรจะพูดอะไรมาก เชิญเถอะ” ครั้งนี้ น้ำเสียงของอู๋หมิงเจินเจ่อกลายเป็นเคร่งขรึมสำรวม
โม่เทียนเกอและเนี่ยอู่ชางล้วนหัวใจเต้นสะดุด หรือว่าสิ่งที่อู๋หมิงเจินเจ่อเลือกคือหนทางที่สอง? ถ้าเป็นอย่างนี้ พวกนางหลบอยู่ในถ้ำพำนักนี่ก็จะต้องตายแล้ว!
ยังไม่ทันได้สื่อสารกันก็ได้ยินเสียงของประมุขมารกุ่ยฟางว่า “ภิกษุเฒ่า ดูท่าท่านยังมีความรับผิดชอบนิดหน่อย ไปเถอะ!”
พอพูดจบ พลังอันกล้าแข็งสายหนึ่งในนั้นก็จากไปไกลในพริบตา
ทั้งสองคนถอนหายใจโล่งอก ดูท่าสิ่งที่อู๋หมิงเจินเจ่อเลือกจะเป็นหนทางที่หนึ่ง วิกฤตที่จ่ออยู่ตรงหน้านี้ในที่สุดก็นับว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางแล้ว
จากนั้น ลมปราณที่ปากประตูก็จากไปทีละสาย สุดท้ายว่างเปล่าไร้ผู้คน
โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสบตากัน ทั้งสองคนล้วนถอนหายใจยาว ๆ เป็นหายนะที่ไม่ได้ก่อขึ้นโดยแท้!
……………….
ตอนที่ 432 – วิกฤตที่หลบซ่อน