หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 432 วิกฤตที่หลบซ่อน
ตอนที่ 432 – วิกฤตที่หลบซ่อน
ประมุขมารกุ่ยฟางกับอู๋หมิงเจินเจ่อและคนอื่น ๆ ล้วนจากไปแล้ว โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางกลับยังคงกังวลเรื่องนี้
ถึงจะพูดว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอย่างประมุขมารกุ่ยฟางไม่เห็นพวกนางในสายตาเลย แต่คนอื่น ๆ ของเมืองกุ่ยฟางกลับไม่จำเป็น ประมุขมารกุ่ยฟางชนะในรอบนี้ก็แล้วไป ถ้าแพ้ เกรงแต่ว่าพวกศิษย์และลูกน้องของเขาจะมาสร้างปัญหาให้พวกนาง
ทั้งสองคนล้วนไม่ได้กลับห้องฝึกตน นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ตรงข้ามกันอย่างเงียบงัน
ผ่านไปพักหนึ่ง ทั้งสองล้วนสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองไปทางด้านนอกถ้ำพำนัก พวกนางล้วนสัมผัสได้ถึงความอันน่าตระหนกที่ส่งมาจากนอกเมืองกุ่ยฟาง เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทั้งสองลงมือกันแล้ว
“พลังของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย ถึงเมืองกุ่ยฟางจะมีกำแพงอาคมคุ้มครองเมืองก็กั้นไม่อยู่!” เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจเอ่ย
แม้แต่พวกนางยังได้รับผลกระทบ ทราบได้ว่าแรงกดดันจากการลงมือของทั้งสองคนมีพลังรุนแรงขนาดไหน
เนี่ยอู๋ชางพูดไม่ผิด เพราะว่าแรงกดดันที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคนลงมือ เมืองกุ่ยฟางกำลังตกลงไปสู่ห้วงความตื่นตระหนก
ผู้ฝึกตนระดับต่ำและปุถุชนนับไม่ถ้วนกระอักโลหิต ยากจะปกป้องตัวเอง ได้แต่หลบเข้าไปในม่านพลังที่จวนเจ้าเมืองตั้งขึ้น ส่วนเหล่าผู้ฝึกตนระดับสูงไม่มีสักคนที่ไม่หยุดการกักตน เดินออกไปนอกถ้ำพำนัก จ้องมองไปทางนอกเมืองอย่างวิตกกังวล
ความวุ่นวายครั้งนี้ดำเนินไปเป็นเวลาสามวัน สามวันให้หลัง ความผันผวนนอกเมืองจึงยุติลงในที่สุด
“ประมุขมารกุ่ยฟาง แพ้แล้ว” เนี่ยอู๋ชางลืมตาขึ้นเอ่ย
โม่เทียนเกอรู้ว่านางมีสมบัติอยู่กับตัว ความเฉียบคมที่มีต่อปราณมารอยู่ในระดับน่าทึ่ง นางพูดอย่างนี้ต้องเป็นความจริงเสียแปดส่วน
“พวกเราต้องไปจากที่นี่หรือไม่”
เนี่ยอู๋ชางลังเลเมื่อได้ยิน “พูดตามเหตุผล หาถ้ำพำนักที่เงียบสงบอีกแห่งไว้กักตนจะดีกว่า แต่ว่า สถานการณ์ของข้ากับท่านไม่เหมือนกัน เพิ่งจะเลื่อนขึ้นขั้นปลาย ปราณมารไม่เสถียรนัก……”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้เร่งด่วนอะไร หลังเลื่อนขั้นจะเสียเวลาสักหน่อยรักษาระดับให้เสถียร” นางใคร่ครวญสักครู่หนึ่ง “อันที่จริงพวกเราไม่จำเป็นต้องร้อนรนขนาดนี้ เรื่องนี้กับพวกเรามีความเกี่ยวข้องกันไม่มากเลย ถึงจะมีคนมาหาเรื่องก็จะไม่เกินเลยไป”
“อืม” เนี่ยอู๋ชางตอบรับอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พูดตามเหตุผล ถึงนางจะเป็นก่อเกิดตานขั้นปลายแล้ว แต่สำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอย่างประมุขมารกุ่ยฟาง ไม่ได้มีคุณค่าเลย และด้วยวิธีการที่ประมุขมารกุ่ยฟางปกครองเมืองกุ่ยฟาง น่าจะไม่ถึงขนาดมาระบายความโกรธบนตัวนาง เหล่าศิษย์และลูกน้องของเขาก็น่าจะไม่ทำเกินเลยไป หาเป็นเช่นนี้ นางไม่ถือสาที่จะอดทน
โม่เทียนเกอมองนาง ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายไม่ได้พูดอะไร เรื่องนี้ เดิมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนี่ยอู๋ชาง หากมิใช่ทั้งสองคนพักอยู่ด้วยกันก็จะไม่ลามไปถึงนาง แต่พวกนางได้มาพบกันใหม่ในที่แปลกถิ่น แล้วยังผูกมิตรกันมาหลายปีขนาดนี้ ต่างก็เห็นอีกฝ่ายเป็นสหายกันไปแล้ว หากนางเปล่งวาจาขออภัยกลับจะเห็นเป็นคนนอกเกินไป
“จริงสิ ท่านได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธอะไรนี่มาได้อย่างไร หลายปีนี้ก็ไม่เห็นท่านจะเอ่ยถึง?” เนี่ยอู๋ชางถามอย่างฉงน
เรื่องนี้ โม่เทียนเกอได้แต่ยิ้มขม “หากมิใช่พวกเขามาหาถึงหน้าประตู ข้ายังจะไม่รู้จริง ๆ ว่าสิ่งของนี้ถึงกับเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธ หากข้ารู้จะต้องปิดบังชื่อแซ่เอาไว้ ไยจะปล่อยให้พวกเขาไล่สืบมาถึงที่นี่เล่า”
จากนั้น นางก็เล่าเรื่องนั้นเมื่อสี่สิบปีก่อนให้เนี่ยอู๋ชางฟังอย่างย่อ ๆ หนึ่งรอบ เมื่อรู้แจ้งถึงเหตุและผล การที่ผู้ฝึกตนสำนักพุทธเหล่านั้นไล่สืบมาถึงที่นี่ นางก็ไม่ประหลาดใจสักนิด ปีนั้นยึดแหฟ้าตาข่ายดินมาแล้ว ภายหลังพักอยู่ที่เมืองเทียนเสวี่ยระยะหนึ่ง แล้วไปยังหุบเขาไร้กังวล จากนั้นเป็นเมืองซิงลั่ว สุดท้ายพักเท้าที่เมืองกุ่ยฟาง ในหลายปีนี้ ถึงนางจะมีหลายปีที่ร่องรอยไม่แน่นอน แต่ไม่เคยปลอมตัวเปลี่ยนชื่อเลย เข้าออกสถานที่สาธารณะก็ไม่ได้จงใจหลบเลี่ยง ในเมื่อวัดหัวเหยียนเป็นสำนักใหญ่ คิดจะเสาะหาตนย่อมมีช่องทาง
เนี่ยอู๋ชางฟังจนจบ กล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ดูท่าเจวี๋ยอู้ผู้นั้นไม่ธรรมดา ศิษย์ทั่วไปจะเอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ออกไปข้างนอกตามใจได้อย่างไร อีกทั้งปีนั้นเขาถูกไล่ออกมา ปัจจุบันนี้กลับติดตามอู๋หมิงเจินเจ่อ ไม่เพียงเลื่อนขึ้นเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แต่ยังมีหน้ามีตายิ่ง เกรงว่าเรื่องในปีนั้นจะเกี่ยวกับศึกภายในของวัดหัวเหยียน”
“อืม” โม่เทียนเกอเองเป็นศิษย์สำนักใหญ่ กับเรื่องศึกภายในของสำนักใหญ่ประเภทนี้รู้มากกว่าเนี่ยอู๋ชางอยู่มาก นางแทบจะสามารถอนุมานเรื่องที่เจวี๋ยอู้ประสบในปีนั้นได้เลย อยู่ว่างไม่มีธุระก็สามารถไปไต่ถามดูได้ว่าหลายปีนี้วัดหัวเหยียนเกิดเรื่องอะไรขึ้น
พูดเรื่องนี้จบ ทั้งสองคนล้วนไม่พูดจาแล้ว แต่ยังไม่มีเจตนาจะกลับห้องฝึกตน
ห้าปราชญ์กับตำนานห้าปราชญ์ เดิมทีสำหรับพวกนางแล้วเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นกลับเป็นเรื่องใกล้แค่เอื้อม เกือบจะถูกม้วนเข้าไปด้วยแล้ว
โดยเฉพาะโม่เทียนเกอยิ่งจิตใจหนักอึ้ง เดิมนางนึกว่าแหฟ้าตาข่ายดินเป็นของเลียนแบบ ผลคือกลับเป็นของจริง อย่างนั้นกระบี่ฝูเซิงเล่า นางถามอู๋หมิงเจินเจ่อว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นประกอบด้วยอะไรบ้างก็เพราะว่ามีลางสังหรณ์อันรุนแรง
และคำตอบของอู๋หมิงเจินเจ่อก็ทั้งอยู่ในความคาดหมายและเหนือความคาดหมาย
ที่อยู่ในความคาดเหมายเป็นเพราะว่า นางสังหรณ์ว่ากระบี่ฝูเซิงก็อาจจะใช่ ถึงกับใช่จริง ๆ ที่เหนือความคาดหมายก็เพราะว่า เดิมนึกว่าตำนานวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าอยู่ไกลลิบจากนาง ผลคือที่แท้ในมือนางถึงกับมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์สองชิ้น!
จากนั้นนางคิดได้ทันทีว่า ในมือนางมีกระบี่ฝูเซิง คนที่ทราบมีไม่น้อย วันนั้นแลกกระบี่ฝูเซิงมาจากมือของประมุขมารเสวียนเยว่ นอกจากนางยังมีผู้ฝึกตนรวมเจ็ดคนในที่เหตุเกิด ผู้ฝึกตนเหล่านั้นกระจายอยู่ทั่วอวิ๋นจง ไม่น้อยที่เป็นศิษย์สำนักใหญ่……
“แย่แล้ว!” จู่ ๆ คิดอะไรได้ โม่เทียนเกอลุกพรวด หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
“ทำไมหรือ” เนี่ยอู๋ชางมองนางอย่างไม่เข้าใจ
“หยางเฉิงจี” โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเอง “หยางเฉิงจีเขารู้……”
เนี่ยอู๋ชางขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของนาง “ท่านจะบอกว่าหยางเฉิงจีรู้จักพวกเราหรือ นี่เป็นเรื่องใหญ่อะไร พวกเราไม่ได้มีความแค้นกับเขากระมัง”
“ไม่ใช่” โม่เทียนเกอส่ายหน้าสีหน้าซีดเผือด “ท่านจำได้ไหมว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นที่อู๋หมิงเจินเจ่อพูดประกอบด้วยอะไรบ้าง”
“ย่อมจำได้ นอกจากเจดีย์มารสวรรค์และแหฟ้าตาข่ายดิน ยังมีไข่มุกเทพต้องห้าม, บันทึกไร้นาม, กระบี่ฝูเซิง —- ท่านว่าไข่มุกเทพต้องห้ามนั่นจะเป็นอันนั้นในมือหลิงอวิ๋นเฮ่อหรือไม่” นางคิดแล้วส่ายหน้า “น่าจะไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง ไข่มุกเทพต้องห้ามหากเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์จะให้ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่งเอาออกจากสำนักส่งเดชได้อย่างไร”
“ไข่มุกเทพต้องห้ามของหลิงอวิ๋นเฮ่อใช่หรือไม่ข้าไม่สน” โม่เทียนเกอนั่งลงไปใหม่ กุมหน้าผาก “สิ่งที่ข้าอยากจะแจ้งต่อท่านคือ กระบี่ฝูเซิงอยู่ในมือข้า”
“โครม!” ถ้วยชาที่เนี่ยอู๋ชางเพิ่งจะหยิบขึ้นมาหล่นลงบนโต๊ะ นางเงยหน้าควับจ้องมองโม่เทียนเกอ หรี่ตาลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพูดว่าอะไรนะ”
“ข้าพูดว่า หนึ่งในวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้น กระบี่ฝูเซิงอยู่ในมือข้า” โม่เทียนเกอพูดซ้ำทีละคำช้า ๆ “และเรื่องนี้ หยางเฉิงจีรู้”
ไม่ต้องพูดอะไรมากอีก ใบหน้าของเนี่ยอู๋ชางซีดเผือดในพริบตา “พูดอย่างนี้ พวกเขา……” พูดยังไม่ทันจบ นางคว้าแขนเสื้อของโม่เทียนเกออย่างปุบปับ “เช่นนั้นยังจะรออะไร ฉวยที่พวกเขายังไม่มา ไปสิ!”
“ไป?” โม่เทียนเกอยิ้มขม “มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายนั่งประจำการ เมืองกุ่ยฟางจึงเป็นแหฟ้าตาข่ายดินที่แท้จริง จะไปไหน” คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว เข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่อย่างนี้ นางก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาว่าจะอธิบายกับเนี่ยอู๋ชางอย่างไรอีก
เนี่ยอู๋ชางฟังแล้วปล่อยมืออย่างหดหู่ “มิผิด หากพวกเขาสังเกตเห็นแล้ว เช่นนั้นพวกเรา…… เดี๋ยวนะ!” นางเงยหน้าขึ้น ถามว่า “ตอนที่อู๋หมิงเจินเจ่อตอบคำถามนี้ หยางเฉิงจีไม่อยู่ ใช่หรือไม่”
“มิผิด” โม่เทียนเกอลังเลชั่วขณะ “แต่ว่า อู๋หมิงเจินเจ่อรู้ ประมุขมารกุ่ยฟางหรือว่าจะไม่รู้เล่า”
“เช่นนั้นท่านคิดดู เริ่มแรกสุดที่หยางเฉิงจีรู้ว่าในมือท่านมีกระบี่ฝูเซิง ตอนนั้นเขามีปฏิกิริยาเป็นพิเศษอะไรไหม”
โม่เทียนเกอคิดแล้วส่ายหน้า “กระบี่ฝูเซิงเป็นสิ่งที่ข้าแลกกลับมาจากในมือของผู้ฝึกมารคนหนึ่ง ตอนนั้นที่นั่นมีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหลายคน หากพวกเขารู้จะปล่อยให้ข้าแลกไปได้อย่างไร กระบี่ฝูเซิงในตอนนั้นในสายตาของพวกเขาเป็นแค่สมบัติโบราณที่สูญเสียพลังอำนาจในวันวานแต่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มากเท่านั้น”
เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจโล่งอก “ท่านดู หยางเฉิงจีตอนนั้นไม่รู้ เห็นได้ว่าก่อนหน้านั้นประมุขมารกุ่ยฟางไม่ได้บอกเขาเลย ไม่แน่ว่าถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้นะ”
“……” โม่เทียนเกอครุ่นคิดเงียบ ๆ ในช่วงเวลานี้ ประมุขมารกุ่ยฟางสรุปว่าได้บอกกับหยางเฉิงจีหรือไม่ ยังยากที่จะบ่งบอกจริง ๆ หลายสิบปีที่ผ่านมา เจดีย์มารสวรรค์ชักนำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วอวิ๋นจง ตำนานของห้าปราชญ์แห่งอวิ๋นจงจึงมีผู้คนรู้เป็นวงกว้างด้วยเหตุนี้ ในสถานการณ์ประเภทนี้ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นที่เดิมที่ลึกลับถึงสิบส่วนกลายเป็นเรื่องน่าสนใจที่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจงเล่าลือกันปากต่อปากอย่างสนุกสนานผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายที่ล่วงรู้ความลับเหล่านั้นแจ้งให้รุ่นหลังทราบเพราะเหตุนี้ มิใช่เป็นไปไม่ได้
— ไม่ถูก หากหยางเฉิงจีทราบอยู่ก่อนว่ากระบี่ฝูเซิงเป็นหนึ่งในวัตถุศักดิ์สิทธิ์ แล้วนางยังอยู่ที่เมืองกุ่ยฟาง จะรอจนถึงวันนี้ก็ไม่มาร้องขอถึงหน้าประตูได้อย่างไร เช่นนั้นแปลว่า เรื่องนี้หยางเฉิงจีไม่รู้เสียแปดส่วน
คิดถึงตรงนี้ จิตใจของโม่เทียนเกอสงบลงเล็กน้อย จนถึงขณะนี้ ไม่มีคนมารบกวนนาง อย่างน้อยที่สุดแปลว่าผู้ฝึกตนหลาย ๆ คนที่ตอนนั้นรู้ว่าในมือนางมีกระบี่ฝูเซิงไม่รู้เลยว่ากระบี่ฝูเซิงก็เป็นหนึ่งในห้าวัตถุศักดิ์สิทธิ์
แต่ เรื่องนี้กลับกระตุ้นเตือนนางแล้ว คนเหล่านี้ตอนนี้ไม่รู้ ภายหลังเล่า ในเจ็ดคนนั้นไม่ได้ขาดศิษย์สำนักใหญ่ ในนั้นยังมีบุคคลอย่างหานซื่อจือที่เจ้าเล่ห์และมีศักดิ์ฐานะ มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับความลับของสำนัก ถึงเวลานั้น รู้ว่าในมือนางมีกระบี่ฝูเซิง จะต้องไม่เกรงใจ มาปล้นถึงหน้าประตู
“พูดอย่างนี้ ข้าน่าจะยังปลอดภัยเป็นการชั่วคราว แต่ถัดจากนี้จะต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายปลอมแปลงชื่อแซ่”
เมื่อเห็นนางเข้าใจแล้ว เนี่ยอู๋ชางก็ผ่อนคลายลง ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านยังจะปลอมแปลงชื่อแซ่? ชื่อนี่ก็ปลอม!”
โม่เทียนเกอก็ยิ้ม เวลาที่อยู่ภายนอกนางใช้ชื่อจริงไม่มากจริง ๆ ตอนเยาว์วัยเปลี่ยนชื่อเป็นเยี่ยเสี่ยวเทียนเพราะตระกูลบิดา หลังมาถึงอวิ๋นจง ชื่อฉินเวยนี้ก็แปลงมาจากนามเต๋า ถึงแม้ว่านางในตอนนี้จะไม่เหมือนวันวาน แต่การตระหนักถึงวิกฤตยามวัยเยาว์กลับไม่เคยละทิ้งไป
“อันที่จริง ท่านก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป ทักษะปลอมตัว ข้าพอรู้บ้าง สอนท่านได้ หลังจากเรื่องนี้ยุติ ท่านรีบออกจากเมืองกุ่ยฟางให้เร็วที่สุด ปลอมตัวเปลี่ยนชื่อ ซ่อนตัวในโลก คาดว่าพวกเขาเก่งอีกแต่ไหนก็หาท่านไม่เจอ”
“อืม” เมื่อพิจารณาสถานการณ์ขณะนี้ นี่เป็นหนทางที่ค่อนข้างดีแล้ว โม่เทียนเกอคิดไปคิดมา เอ่ยอย่างรู้สึกทอดถอนว่า “แหฟ้าตาข่ายดินก็ช่างเถอะ เดิมเป็นสิ่งที่ข้าได้มาอย่างไม่ตั้งใจ แล้วเจ้าของเดิมก็มาขอถึงหน้าประตู มอบออกไปก็มอบออกไป กระบี่ฝูเซิงนี้กลับเป็นสิ่งที่ข้าแลกมาอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ยินยอมจะให้พวกเขาได้กำไรไปจริง ๆ ไม่อย่างนั้น ขอเพียงมอบสิ่งของก็ไม่เกิดอะไรขึ้นกับข้าแล้ว”
เนี่ยอู๋ชางกลับเม้มปาก “นี่มันคำพูดอะไร ท่านคนนี้อะไร ๆ ก็ดี แต่ไม่มีความทะเยอทะยานเกินไป! มีผลประโยชน์ ไม่เอาก็คือเอาไม่ได้ ไม่แย่งคือแย่งไม่ได้ ใครแกร่งกว่าโชคดีกว่าก็เป็นของคนนั้น ถ้าไม่ใช่หนทางสุดท้าย จะอาศัยอะไรให้ปล่อยไป”
“……” โม่เทียนเกอยิ้มขม ถึงจะบอกว่าไปจากซงเฟิงซ่างเหรินแล้ว แต่วิธีคิดนี้ของเนี่ยอู๋ชางกลับได้รับอิทธิพลของซงเฟิงซ่างเหริน เทียบกับนางแล้ววางอำนาจกว่ามาก อันที่จริงนางก็ไม่ได้ยอมปล่อย เพียงแต่นางกลัวความยุ่งยากมากกว่าเท่านั้น
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร กระบี่ฝูเซิงอยู่ในมือนาง วิกฤตก็จะตามติดนางไปทุกเมื่อ ผ่านไปอีกหลายวัน ถ้าด้านประมุขมารกุ่ยฟางไม่มาก่อปัญหาให้นาง นางจะสามารถไปจากเมืองกุ่ยฟางแล้ว อีกประการ ยังต้องหาโอกาสไปอาณาจักรหนานโจวสักครั้ง เข้าพบอู๋หมิงเจินเจ่อ
ตอนที่มอบแหฟ้าตาข่ายดินให้อู๋หมิงเจินเจ่อ นางยังมีคำถามที่อยากถาม เพียงแต่ไม่สะดวกจะพูดให้ชัดเจน จึงเพียงถ่ายทอดเสียงแจ้งให้ทราบว่าตนเองจะถามเป็นการส่วนตัวอีก ภายหลัง ประมุขมารกุ่ยฟางเร่งรุดมาถึงพอดี อู๋หมิงเจินเจ่อก็ไม่ได้ตอบ แต่ว่า นางมอบแหฟ้าตาข่ายดินออกไปอย่างง่ายดายขนาดนี้ แล้วยังไม่ได้เรียกร้องเกินเลยไป คิดว่าอู๋หมิงเจินเจ่อคงจะไม่ปฏิเสธ
เพิ่งจะคิดอย่างนี้จบ เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ เลิกคิ้ว เอ่ยว่า “มีคนมา”
……………….
ตอนที่ 433 – สหายเก่ามาเยือน