หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 439 ผู้สืบทอด
ตอนที่ 439 – ผู้สืบทอด
ฝูเหยาจื่อ ผู้ฝึกเซียนอันดับหนึ่งของอวิ๋นจงในตำนาน ไร้สำนักแต่กลับมีณานศักดิ์สิทธิ์อันน่าทึ่ง ท่องไปทั่วอวิ๋นจง ตัวคนเดียวต่อสู้สิบประมุขมารใหญ่โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ สุดท้ายยิ่งแปลงเทพจากไป กลายเป็นตำนานชั่วนิรันดร์ของอวิ๋นจง
บุคคลเช่นนี้พูดกับตนเองว่ามาเป็นผู้สืบทอดของข้าเถอะ มีคนสักกี่คนที่จะสามารถต้านทานสิ่งล่อใจได้ ถึงจะเป็นผู้ฝึกมารก็เต็มใจจะสละระดับการฝึกตนแล้วฝึกตนใหม่เลยกระมัง
โม่เทียนเกอยอมรับว่านางรับการล่อใจอย่างนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อฝูเหยาจื่อกับนางมีรากวิญญาณต้นกำเนิดเหมือนกัน
ถึงแม้ว่านางจะมีซือฟุแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ถึงแม้จะสืบทอดเป็นทายาทของฝูเหยาจื่อ โรงเรียนเสวียนชิงยังคงเป็นสำนักของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ยังคงเป็นซือจุนของนาง
“ผู้อาวุโส ผู้เยาวเต็มใจจะเป็นผู้สืบทอดของท่านมาก” โม่เทียนเกอกล่าวอย่างระมัดระวัง “แต่ว่า สัจธรรมของโลกฝึกเซียนที่ท่านบอกให้ข้าเสาะหาหมายความว่าอะไร”
“ฮ่า……” ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ “ปฐมกาลมีหน้าตาอย่างไร เทพเหตุใดต้องจากไป ปีศาจวิญญาณเซียนมารเหตุใดต้องแบ่งแยก ปฐมกาลกับโบราณกาลเหตุใดจึงเสื่อมสูญ คุณธรรมสมัยโบราณกับคุณธรรมสมัยนี้มีอะไรแตกต่างกัน เหตุใดหลายปีขนาดนี้ไม่มีคนบรรลุแจ้งแล้ว หนทางที่พวกเราฝึกตนเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริง ๆ หรือ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ถามว่า “คำถามเหล่านี้ เจ้าไม่อยากรู้หรือ”
โม่เทียนเกอเงียบงัน คำถามที่ฝูเหยาจื่อถาม ทุก ๆ ข้อล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางในตอนนี้จะตอบได้ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่นางในปัจจุบันนี้จะสามารถเสาะพบคำตอบ แต่ว่า หากมีวันหนึ่งที่นางผูกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ มีความหวังแปลงเทพ เช่นนั้น พวกนี้จะเป็นคำถามที่นางต้องไปค้นหาคำตอบ เพราะว่าถึงเวลานั้น นางจำเป็นจะต้องไปค้นหาสัจธรรมของโลก เสาะหาเส้นทางบรรลุแจ้ง
“พวกนี้ ผู้เยาว์จะต้องไปสำรวจไม่ช้าก็เร็ว แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้” โม่เทียนเกอกล่าวเช่นนี้
ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ “ดูท่า เหล่าฟูไม่ได้มองคนผิด” หยุดไปครู่หนึ่ง เขาเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าก็มีความทะเยอทะยานนี้ เช่นนั้นก็เต็มใจเป็นผู้สืบทอดของข้าแล้ว?”
คำถามถามมาชัด ๆ แล้ว โม่เทียนเกอไหนเลยจะยังปฏิเสธ นางเอ่ยว่า “ผู้เยาว์เต็มใจ”
ได้ยินนางตกปากรับคำ ฝูเหยาจื่อยิ้มอย่างอบอุ่น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะเป็นทายาทผู้สืบทอดของข้าฝูเหยาจื่อแล้ว”
โม่เทียนเกอเปลี่ยนคำเรียกขานอย่างชาญฉลาดทันที “ศิษย์คารวะซือจุน”
ขณะนี้ทั้งสองล้วนอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ เป็นเพียงจิตหยั่งรู้หนึ่งสาย การคารวะที่ว่านี้เป็นเพียงแถลงการณ์ชนิดหนึ่ง ฝูเหยาจื่อก็ย่อมจะเข้าใจ เพียงเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์แล้ว เช่นนั้น เรื่องของเจ้าควรจะอธิบายกับเหวยซือให้ชัดเจนหรือไม่”
โม่เทียนเกอตะลึงไป จู่ ๆ ค้นพบว่าตนเองแม้แต่ชื่อแซ่ยังไม่เคยแจ้งต่อฝูเหยาจื่อ หน้าแดงด้วยความอับอายทันที “ศิษย์เสียมารยาทแล้ว ซือจุนโปรดอย่าตำหนิ”
ฝูเหยาจื่อยังคงยิ้มบาง ไม่ได้กล่าวโทษเลย
เมื่อรู้สึกได้ว่าซือจุนท่านนี้เป็นคนที่อุปนิสัยอ่อนโยน โม่เทียนเกออดรู้สึกประหลาด ๆ ไม่ได้ ซือฟุสองท่านของนาง นิสัยต่างกันคนละขั้วจริง ๆ ท่านหนึ่งเย่อหยิ่งจนหางชี้ฟ้า ท่านหนึ่งกลับเฉื่อยชาเรื่องใด ๆ ล้วนไม่อยู่ในสายตา
“ซือฟุ เรื่องของศิษย์ ข้าจะรายงานต่อท่านโดยละเอียด เพียงแต่ เปลี่ยนสถานที่ได้หรือไม่”
“อ้อ?” ฝูเหยาจื่อแสดงออกถึงความฉงน
โม่เทียนเกอลังเล “ที่นี่เป็นห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของศิษย์……”
ฝูเหยาจื่อชะงักไป ร้อง “อ้อ” คำหนึ่ง ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ซ่อนตัวอยู่หลังตานเถียน เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เร้นลับที่สุดแล้วก็เปราะบางที่สุดของผู้ฝึกตน แม้แต่ศิษย์อาจารย์สามีภรรยาอันใกล้ชิดที่สุดก็มักจะไม่ให้อีกฝ่ายเข้าไปข้างในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของคนอื่น เป็นข้อห้ามของผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง
เห็นฝูเหยาจื่อไม่ได้ตอบทันที โม่เทียนเกอถามอีกว่า “หรือว่าซือฟุได้แต่คงอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของศิษย์เจ้าคะ” นี่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างนี้นี่ไม่ใช่ตัวจริงของฝูเหยาจื่อ ทว่าเป็นเพียงจิตหยั่งรู้สายใยหนึ่งของเขาเท่านั้น
“นี่กลับไม่ใช่” ฝูเหยาจื่อยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าว “เหวยซือเข้าห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของเจ้าเพียงเพื่อทดสอบเจ้า ในเมื่อเจ้ายอมรับเหวยซือแล้ว แน่นอนว่าสามารถออกไป”
โม่เทียนเกอถอนหายใจโล่งอก ถึงจะรับปากเป็นผู้สืบทอดของฝูเหยาจื่อแล้ว แต่ระหว่างพวกเขาถึงอย่างไรยังไม่มีความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์มากนัก ให้อีกฝ่ายอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของตนเองอย่างนี้ สัญชาตญาณนางรู้สึกไม่ปลอดภัย
“ซือฟุ เช่นนั้นถัดจากนี้……”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “ข้าจะถอยออกไปจากห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของเจ้าก่อน ถึงเวลาเจ้าสำรวมจิตย่อมจะตื่นขึ้นมา”
“เจ้าค่ะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง จิตหยั่งรู้ของฝูเหยาจื่อหายไปจากในห้วงมหรรณพแห่งความรู้อย่างช้า ๆ ดังคาด โม่เทียนเกอสำรวมจิตทันที เข้าสู่สภาวะจิตนิ่งปราณสงบ
“ชิ้ง……” จู่ ๆ ได้ยินเสียงอาวุธแหลมคมข้างหู โม่เทียนเกอลืมตา เห็นฟ้าดินเบื้องหน้า ข้างหูได้ยินเสียงลมหวีดหวิว ถอนหายใจโล่งอก
นางไม่ได้เข้าไปในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ด้วยตนเอง ทว่าถูกฝูเหยาจื่อพาเข้าไป ความรู้สึกประเภทนี้ไม่ดีเลย หากถูกขังอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของตนเองแล้วออกมาไม่ได้ เช่นนั้นเปิ่นจุนก็จะหลายเป็นคนตายที่ยังมีชีวิตแล้ว
“เป็นไร ไม่มีปัญหากระมัง” เสียงของฝูเหยาจื่อดังนั้น พร่าเลือนกว่าในห้วงมหรรณพแห่งความรู้อยู่บ้าง
โม่เทียนเกอก้มศีรษะลงมอง เสียงดังมาจากกระบี่ฝูเซิง นางถามว่า “ซือฟุ ท่านสิงสถิตอยู่บนกระบี่ได้หรือ”
“แน่นอน กระบี่นี้เป็นสิ่งที่ข้าเคยชำระเป็นพิเศษในปีนั้น เพื่อที่จะบรรจุจิตหยั่งรู้” ฝูเหยาจื่อหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ศิษย์เอ๋ย จิตหยั่งรู้ของเหวยซือถูกเจ้ากระตุ้นขึ้นมาแล้ว สรุปว่าสามารถคงอยู่ได้นานเท่าใดไม่แน่ชัดเลย เจ้ายังคงรีบหน่อยเถอะ”
ได้ยินประโยคนี้แล้ว โม่เทียนเกอคิดได้ในทันที ของอย่างจิตหยั่งรู้ หลังออกจากร่างกายย่อมมีสักวันที่จะหายไป ถึงจะมีอันที่สามารถเก็บไว้ได้นานมาก แต่กลับไม่ใช่จะคงอยู่ตลอดกาล
ขณะนี้ นางไม่กล้าเสียเวลาอีก เริ่มเล่าเรื่องของตนเองให้ฝูเหยาจื่อจนหมดสิ้น
ฝูเหยาจื่อถามอย่างละเอียดยิบถึงสิบส่วน ตั้งแต่ที่นางย่างก้าวบนเส้นทางฝึกเซียนจนถึงอวิ๋นจงอันไกลโพ้น ไม่มีที่ไม่ถามละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของศาสตร์แห่งต้นกำเนิด เมื่อได้ยินว่าโม่เทียนเกอเคยพบผู้ฝึกตนระดับแปลงเทพสองคน ได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดจากที่นั่น อดทอดถอนใจไม่ได้ว่านางช่างโชคดี
ผู้ฝึกตนแปลงเทพ ถึงแม้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จำนวนมากล้วนทราบว่าบนโลกนี้มีผู้ฝึกตนแปลงเทพอยู่ แต่ผู้ที่เคยพบกลับมีไม่กี่คน ไม่รู้เพราะอะไร หลังจากผู้ฝึกตนแปลงเทพล้วนจะเลือกถอยห่างจากโลก ไม่ไปมาหาสู่กับชนชาวโลกอีก อาจจะเพราะว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาไปถึงจุดสูงสุดแล้ว เรื่องบนโลกนี้ก็ไม่สามารถดึงดูดพวกเขาได้อีกแล้วกระมัง
โม่เทียนเกอสามารถได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดที่ผู้ฝึกตนแปลงเทพประทานให้ โชคดีถึงขีดสุดจริง ๆ ไม่เหมือนกับเขา มีเพียงวิชาเวทที่ขาดวิ่นหนึ่งเล่ม เหน็ดเหนื่อยทุกข์ทนสารพัน สำรวจสถานที่ลับที่เหลืออยู่จากยุคโบราณกาล ระดับการฝึกตนจึงสามารถคืบหน้าไปทีละก้าว
การพูดนี้ พูดไปหนึ่งวันเต็ม
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอทบทวนทั้งชีวิตของตนเองโดยละเอียดขนาดนี้ วันนี้มาคิดย้อนกลับไปอีกรอบ ถึงกับมีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนเดิม ราวกับเป็นคนนอกไปมองดูชีวิตของคนอื่น
หลังจากพูดจบ กระบี่ฝูเซิงเงียบไป
โม่เทียนเกอรออยู่นาน ก็ไม่เห็นฝูเหยาจื่อจะเปล่งเสียง อดไม่สบายใจนิดหน่อยไม่ได้ อ้าปากเรียก “ซือฟุ……”
“หืม?” บนกระบี่ฝูเซิงมีเสียงเบา ๆ ดังขึ้นมา
“เรื่องที่ศิษย์ได้ประสบ หรือว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมเจ้าคะ”
ฝูเหยาจื่อเงียบงันไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “นี่ก็ไม่ใช่ เพียงแต่ ศาสตร์แห่งต้นกำเนิดที่เจ้าฝึกเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนแปลงเทพสั่งสอนให้ เหวยซือกลับไม่รู้ว่ายังจะสามารถสอนอะไรเจ้า”
ศาสตร์แห่งต้นกำเนิดที่จงมู่หลิงสั่งสอน เดิมก็เป็นฉบับสมบูรณ์ ยิ่งบวกกับการทบทวนปรับปรุงด้วยตัวเขาเอง ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญ ส่วนฝูเหยาจื่อ ถึงแม้อวิ๋นจงเล่าขานว่าเขาก็แปลงเทพแล้ว แต่จิตหยั่งรู้สายนี้กลับเป็นสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ตอนอยู่จิตวิญญาณใหม่ วิชาเวทของเขาย่อมเทียบที่จงมู่หลิงสอนไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฝูเหยาจื่อเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศาสตร์แห่งต้นกำเนิดข้าจะไม่สอนเจ้าแล้ว แต่ว่า สามารถสอนเจ้าเรื่องหลักการฝึกตนและณานศักดิ์สิทธิ์วิชาต่อสู้จำนวนหนึ่ง”
โม่เทียนเกอได้ยินแล้วยินดีอย่างยิ่ง นางมีบันทึกไท่หยวนของจงมู่หลิงและศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของโม่เหยาชิง ไม่ได้มีความกระตือรือร้นต่อวิชาเวทเลย ส่วนฝูเหยาจื่อ ลือกันว่าเขามีณานศักดิ์สิทธิ์โดดเด่นเป็นเอกในอวิ๋นจง จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางก็สามารถลุยเดี่ยวสู้กับสิบประมุขมารใหญ่ ช่างน่าทึ่งเพียงใด หากสามารถให้เขาสั่งสอนหลักการของเวทต่อสู้ ความแข็งแกร่งของนางจะต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก!
“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะซือฟุ!”
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณเร็วเกินไป” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “สิ่งที่ข้าหลงเหลือเอาไว้ในปัจจุบันเป็นเพียงจิตหยั่งรู้สายหนึ่ง ความสามารถยังไม่เท่าครึ่งเดียวกับเปิ่นจุน สิ่งที่สามารถสอนเจ้ามีจำกัด”
ถึงจะเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอก็ไม่ได้ผิดหวังเลย “ณานศักดิ์สิทธิ์ของซือฟุ สามารถฝึกได้ครึ่งหนึ่ง ผลประโยชน์ก็มหาศาลแล้ว อย่าว่าแต่ ศิษย์เห็นว่าตนเองมิใช่คนที่โง่เขลา แล้วก็มีณานศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง ตราบใดที่สามารถผสานณานศักดิ์สิทธิ์ของซือฟุ ความแข็งแกร่งย่อมจะเพิ่มขึ้น หากเพียงฝึกฝนณานศักดิ์สิทธิ์ของซือฟุกลับจะถอยหลังแล้ว”
“อ้อ?” วาจานี้ของนางทำให้ฝูเหยาจื่อประหลาดใจ แล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าช่างเฉลียวฉลาด เหวยซือปลาบปลื้มนัก”
ฝูเหยาจื่อใคร่ครวญอีกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ระดับการฝึกตนปัจจุบันนี้ของเจ้าห่างจากก่อเกิดตานเต็มขั้นเพียงเส้นบาง ๆ แต่ถ้าอยากจะพุ่งทะลวงจิตวิญญาณใหม่กลับยังไม่พอ ในช่วงเวลานี้ เหวยซือจะช่วยให้เจ้าไปถึงขั้นเต็มสมบูรณ์ก่อน รักษาระดับให้มั่นคง จากนั้นไปทะเลกุยสวี เสาะหาวาสนา จะสามารถก้าวเข้าระดับจิตวิญญาณใหม่ในก้าวเดียว”
“ทะเลกุยสวี?” เมื่อได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกออดคิดถึงตำนานของห้าปราชญ์ไม่ได้ นางอดถามไม่ได้ว่า “ซือฟุ อวิ๋นจงเล่าลือว่าท่านกับผู้อาวุโสอีกสี่ท่านเรียกรวมเป็นห้าปราชญ์ ต่างคนต่างตกทอดสมบัติหนึ่งชิ้น เป็นกุญแจเปิดสถานที่อันลึกลับที่ทะเลกุยสวี เป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ”
“อ้อ? เรื่องนี้ทุกวันนี้ยังมีคนรู้หรือ” ฝูเหยาจื่อประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยว่า “มิผิด เรื่องนี้เป็นความจริง แต่ว่า ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เล่าลือกันหรอก”
“เช่นนั้น……”
กำลังจะถามต่อไปอีก ฝูเหยาจื่อตัดบทนางว่า “เรื่องนี้ค่อยพูดกันวันหลัง ถึงเวลาแล้ว เหวยซือย่อมจะบอกเจ้า ตอนนี้ยังคงเพิ่มพูนระดับการฝึกตนของเจ้าก่อนเถอะ หากไปถึงขอบเขตก่อเกิดตานเต็มขั้น มีเหวยซือช่วยเหลือ เจ้าค่อยสามารถไปที่ทะเลกุยสวีสักรอบ”
โม่เทียนเกอกลืนคำพูดที่กำลังจากเอ่ยจากปากกลับลงไป ตอบรับว่า “เจ้าค่ะ”
มีความช่วยเหลือจากจิตหยั่งรู้ของฝูเหยาจื่อ สถานที่อันลึกลับของทะเลกุยสวี นางจะต้องสามารถแบ่งน้ำแกงหนึ่งถ้วยได้แน่นอน จึงไม่จำเป็นต้องร้อนรนไป ปัจจุบันนี้ยังคงเชื่อฟังอย่างว่าง่าย เพิ่มพูนความแข็งแกร่งโดยเร่งด่วนก่อน
วันคืนถัดจากนั้น ฝูเหยาจื่อสั่งสอนณานศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้ของตนเองมาทีละอย่าง โม่เทียนเกอกลับไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ฝึกฝนตามภายใต้การชี้แนะของเขา
เมื่อรู้ถึงการคงอยู่ของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ฝูเหยาจื่อตะลึงลานถึงสิบส่วน คร่ำครวญซ้ำ ๆ ว่านางมีวาสนาปานฝืนลิขิตสวรรค์ มิน่าเล่าอายุน้อย ๆ ก็มีระดับการฝึกตนเยี่ยงนี้ ปีนั้นหากเขามีวาสนาเยี่ยงนี้ จะเสียเวลาไปหลายปีขนาดนั้นได้อย่างไร
ในสภาพแวดล้อมที่พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมอย่างที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลักการจำนวนมากของฝูเหยาจื่อ ฝึกฝนแล้วง่ายขึ้นหลายส่วน
เวลาดุจวารี เคลื่อนคล้อยไม่หยุดหย่อน โม่เทียนเกอภายใต้การชี้แนะของฝูเหยาจื่อ ฝึกตนพลาง เรียนรู้ณานศักดิ์สิทธิ์พลาง เวลาผ่านไปอีกหลายปี
ในช่วงเวลานี้ โม่เทียนเกอมีสมาธิอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในอาชีพการฝึกเซียนของนางยังไม่เคยมีเวลาที่มีคนชี้แนะโดยเฉพาะ แม้แต่ซือฟุประมุขเต๋าจิ้งเหอ เนื่องการข้อจำกัดของวิชาเวท ได้แต่ชี้นำอย่างช้า ๆ ทว่าไม่อาจสั่งสอนด้วยตนเอง
บางครั้งบางคราตอนที่ว่าง คิดถึงสัมผัสสะท้อนของสาบานเลือดก็จะรู้สึกกระวนกระวาย โชคดีที่สายสัมพันธ์ระหว่างสาบานเลือดไม่ได้ขาดไป แล้วก็ไม่ได้มีสัมผัสสะท้อนที่รุนแรงเยี่ยงนั้นอีก คิดว่าอาการบาดเจ็บของฉินซีจะต้องค่อย ๆ หายดีแล้วกระมัง
แต่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วปัจจุบันนี้เขาอยู่ที่ไหน เมื่อไรตนเองจะสามารถไปเสาะหาเขา……
……………….
พระเอกที่ค่าตัวแพงที่สุดที่ในชีวิตนักอ่านก็คือฉินซีนี่แหละค่ะ เวลาอ่านนิยายหรือการ์ตูนที่คนอ่านบ่นว่าพระเอกค่าตัวแพงแล้วอยากชี้นิ้วให้มาดูเรื่องนี้มาก
เกลียดการแปลศัพท์เต๋าจริง ๆ เรื่องนี้ศัพท์เต๋าเยอะมาก ๆ ด้วยสิคะ ไม่รู้ว่าแปลผิดแปลถูกไรมั่ง ที่เครียดสุดคือ “ณานศักดิ์สิทธิ์ (神通)”….ก่อนหน้านี้เคยแปลเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ด้วย แต่แปลไปแปลไปรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วอะซิส….. แต่สายไปแล้ว แปลมางี้เป็นร้อย ๆ ตอนแล้ว นึกคำไม่ออกด้วย อีกคำที่โผล่มาในตอนนี้คือ “สำรวมจิต (抱元守一)” กับ “จิตนิ่งปราณสงบ (宁神静气)” นี่ก็แปลแบบกึ่งมั่ว 555 (ในเลขห้าเต็มไปด้วยน้ำตา) ไม่นับก่อนหน้านี้ที่มีพูดถึงเครื่องแต่งกายนักพรตเต๋า แต่อย่างน้อยพวกนั้นก็พอจะกูเกิ้ลได้อะนะ…. ปล. วิชาเวทกับ “ศาสตร์” ในศาสตร์แห่งต้นกำเนิด เป็นคำเดียวกันค่ะ แต่ว่าเป็นคนละตัวกับ “ศาสตร์” ในศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ แต่ว่าอันนี้เราใช้ศัพท์ตามลำนำสตรีฯ มาน่ะ อยากถามคนแปลมากว่าทำไมพี่ไม่แปลให้มันเสมอต้นเสมอปลายคะ…….
ตอนที่ 440 – พันธมิตรสามสำนัก