หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 441 กลับตงถัง
ตอนที่ 441 – กลับตงถัง
โม่เทียนเกอลืมตาทั้งคู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติ
นางก้มหน้ามองไปที่มือทั้งคู่ของตนเอง ใสกระจ่างดุจหยก พลังวิญญาณเวียนวน เทียบกับก่อนหน้านี้ยิ่งเข้มข้นขึ้น
ในกระบี่ฝูเซิง เสียงอุทานชื่นชมของฝูเหยาจื่อดังขึ้นว่า “ไม่เลว เพียงเวลาสามปี เจ้าไปถึงสภาวะก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว อีกทั้งระดับเสถียร คุณสมบัติไม่สามัญตามคาด”
โม่เทียนเกอเก็บพลังวิญญาณทั้งร่าง เอ่ยว่า “หากมิได้คำชี้แนะของซือฟุ ศิษย์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงเต็มขั้นอย่างราบรื่นขนาดนี้”
ฝูเหยาจื่อหัวเราะเสียงเบา ไม่ได้พูดอะไร วาจานี้ก็ไม่ใช่การยกยอ หากไม่มีเขาชี้แนะตลอดกระบวนการ ด้วยคุณสมบัติของโม่เทียนเกอ แม้ว่าการเลื่อนขั้นจะมีปัญหาไม่มาก แต่ราบรื่นดุจน้ำมาเกิดคูคลองเยี่ยงนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ ในกระบวนการเลื่อนขั้นครั้งนี้ แทบจะไม่มีการสิ้นเปลืองพลังวิญญาณและโอสถสักนิด อาศัยประสบการณ์และสายตาของฝูเหยาจื่อ ในเวลาที่เหมาะสมที่สุดทำเรื่องที่เหมาะสมที่สุด บรรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
“ซือฟุ ในเมื่อข้าก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว ถัดจากนี้ต้องไปที่ทะเลกุยสวีแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่รีบ” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “ก่อนที่จะไปทะเลกุยสวี เจ้าจะต้องเตรียมสิ่งของเอาไว้ยับยั้งปราณมารจำนวนหนึ่งก่อน”
“เอ๊ะ?” โม่เทียนเกอตะลึง แสดงออกถึงความไม่เข้าใจ “นี่เพราะเหตุใดเจ้าคะ”
ฝูเหยาจื่อเอ่ยว่า “สถานที่มหัศจรรย์แห่งนั้นไม่รู้เพราะเหตุใดถึงมีปราณมารอันกล้าแข็งถึงสิบส่วนคงอยู่ หากไม่มีสิ่งของเอาไว้ยับยั้งปราณมาร ถึงเวลาเลี่ยงไม่ได้ที่จะมือเท้าปั่นป่วน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” โม่เทียนเกอคิดแล้วล้วงร่มปทุมาออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ ถามว่า “ซือฟุ ท่านเห็นว่าวัตถุนี้เป็นอย่างไร”
จิตหยั่งรู้บนกระบี่ฝูเซิงผุดออกมา พันไปบนร่มปทุมา ฝูเหยาจื่อเอ่ยว่า “วัตถุนี้ใช้ปิดกั้นปราณมารมีผลลัพธ์อัศจรรย์ ดียิ่ง แต่ว่า ตามที่เหวยซือเห็น อาวุธเวทที่ยับยั้งปราณมารที่ดีที่สุดในมือเจ้า กลับเป็นอาวุธเวทคู่ชีพชิ้นนั้นของเจ้า”
อาวุธเวทคู่ชีพ พัดแห่งสวรรค์และโลกา?
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “ซือฟุ พัดแห่งสวรรค์และโลกาของศิษย์ ไม่มีอะไรพิเศษ……”
“นั่นเป็นเพราะทัศนวิสัยของเจ้ายังไม่เพียงพอ” ฝูเหยาจื่อเอ่ยอย่างอบอุ่น “เหวยซือสามารถดูออกว่ากระดูกพัดของอาวุธเวทชิ้นนั้นของเจ้า เห็นได้ชัดว่าใช้กระดูกของอสูรเทพมาผลิต อสูรเทพถือกำเนิดมาก็มีความสามารถในการยับยั้งปราณมาร ใช้ต่อกรผู้ฝึกมาร ดีเลิศกว่าอะไรทุกอย่าง”
โม่เทียนเกอตะลึง จู่ ๆ คิดถึงการพบพานเมื่อหลายสิบปีก่อนที่เมืองซิงลั่ว ตอนนั้นเหมยเฟิงเจ้าเมืองของเมืองซิงลั่วไล่กวดอยู่ข้างหลังนาง ผลคือกลับไม่รู้เพราะเหตุใดได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นนางถือพัดแห่งสวรรค์และโลกาเอาไว้จริง ๆ พูดอย่างนี้ อันที่จริงเป็นกระดูกมังกรบนพัดแห่งสวรรค์และโลกาแสดงบทบาทหรือ?
แล้วก็ นางคิดขึ้นถึงที่มาของกระดูกมังกรนี้ วัตถุนี้นางได้รับมาจากในศาลเจ้าเทพมังกรตอนระดับสร้างฐานพลัง และในศาลเจ้านั้นยังมีศิลาจารึกอันพิสดาร ทำให้เริ่นอวี่เฟิงฝึกฝนปราณตายสำเร็จ อย่าบอกนะว่า กระดูกมังกรอันที่จริงแล้วใช้ยับยั้งศิลาจารึกนั่น? จากนั้น นางยังคิดเชื่อมโยงว่าปราณมารของเจ้าเมืองเหมยนั่นพอดีฝึกมาจากสิ่งที่เรียกว่าวิชาเวทบนศิลาจารึก ตามการคาดเดาของนาง เจ้าเมืองเหมยน่าจะได้รับศิลาจารึกที่บรรจุปราณมารเช่นเดียวกันจากในศาลเจ้าเต่าดำ — ในใจนางมีการคาดเดาอันคลุมเครือ เพียงแต่การคาดเดานี้ยังไม่อาจยืนยันในขณะนี้ ภายหลังหากมีโอกาส อาจจะสามารถตรวจสอบสักหน่อย
“ในการต่อต้านผู้ฝึกมาร เหวยซือก็มีอยู่ท่าสองท่า ยิ่งบวกกับอาวุธเวทสองชิ้นนี้ของเจ้า ก็พอประมาณแล้ว แต่ว่า หลังจากนี้เจ้ายังต้องเตรียมสิ่งของบางอย่าง”
“เจ้าค่ะ ซือฟุ” ฝูเหยาจื่อพูดเช่นนี้ โม่เทียนเกอไม่แปลกใจเลย ลุยเดี่ยวต่อสู้กับสิบประมุขมารใหญ่ไม่ตกเป็นรอง ถึงขนาดที่ขับสิบประมุขมารใหญ่ล่าถอย เห็นได้ชัดว่าในการต่อต้านผู้ฝึกมารซือฟุผู้นี้ของนางมีวิชาลับอันเป็นเอกลักษณ์อะไรอยู่ ยิ่งบวกกับกระบี่ฝูเซิงที่เขาสิงสถิตถูกปราณมารกัดกร่อนไปแล้วชัด ๆ เขากลับไม่แยแสโดยสิ้นเชิง เพราะรู้ว่าปราณมารนั้นไร้ผลต่อเขา
ปฏิบัติตามการชี้แนะของฝูเหยาจื่อ หลายวันให้หลัง โม่เทียนเกอเดินทางออกไปจากชนเผ่าตะวันตก
วิชาลับอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฝูเหยาจื่อว่าไปแล้วก็เรียบง่าย เป็นเพียงศาสตร์เวทหนึ่งชุด และบวกกับสิ่งของที่ยับยั้งวัตถุมารจำนวนหนึ่ง แต่ว่าก็เพราะว่าเรียบง่าย โม่เทียนเกอรู้สึกว่าจึงร้ายกาจกว่าฝีมืออะไรทั้งหมด ถึงอย่างไรในการต่อสู้ของก่อเกิดตานขึ้นไป สถานการณ์แปรผันนับหมื่นในพริบตา หากซับซ้อน มิสู้ไม่ใช้มัน แต่ว่า เช่นนี้แล้ว สิ่งของที่นางต้องเตรียมยิ่งมากขึ้น
เมืองอวิ๋นอี้เป็นหนึ่งในเมืองฝึกเซียนของอาณาจักรตงถัง ในด้านขนาด มันไม่ใช่เมืองที่ใหญ่ที่สุด ในด้านจำนวนคน ก็ไม่ใช่เมืองที่ชาวผู้ฝึกเซียนมากที่สุด แต่ว่า กลับเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดอย่างไร้ของกังขาสักนิด เหตุผลไม่มีอันใด มันเป็นเมืองในเครือของเมืองหลวงอาณาจักรตงถัง ไม่อยู่ใต้การปกครองของสำนักใด ๆ และมีความได้เปรียบด้านคมนาคมอันแข็งแกร่งของเมืองหลวง และกลายเป็นเมืองฝึกเซียนที่มีการค้าขายมากที่สุด
ออกจากชนเผ่าตะวันตกแล้ว โม่เทียนเกอยังคงปลอมตัวในรูปลักษณ์ของบัณทิตหนุ่ม มาถึงเมืองอวิ๋นอี้
ถึงแม้ว่าในหลายปีมากนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนคือฉินเวย แต่ด้วยนิสัยรอบคอบเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง ยังเลือกเมืองอวิ๋นอี้ซึ่งไม่ได้เป็นของกลุ่มอำนาจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาซื้อหาวัตถุที่ต้องการ
เมืองอวิ๋นอี้นี้ หลายปีก่อนตอนที่นางท่องเที่ยวอาณาจักรต่าง ๆ ก็เคยมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ต้องการคนนำทาง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องถามหานายหน้า เสาะพบร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอย่างคุ้นเคยถนนหนทาง
ถึงจะบอกว่าเมืองนี้ไม่อยู่ในการปกครองของสำนักหนึ่งสำนักใดเลย แต่ว่า โรงเรียนจิ้งซวีหนึ่งในห้าสำนักใหญ่อาณาจักรตงถังบังเอิญอยู่ใกล้เมืองหลวง ด้วยเหตุนี้ในเมืองอวิ๋นอี้นี้มีศิษย์โรงเรียนจิ้งซวีมากมายยิ่ง ร้านค้าก็เปิดเสียใหญ่โตยิ่ง
ตัวอย่างเช่นร้านที่โม่เทียนเกอเลือกก็เป็นร้านค้าที่โรงเรียนจิ้งซวีเปิด
“ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสเจ้าค่ะ” พอเหยียบเข้าไปในร้านก็มีสตรีทักทายอย่างกระตือรือร้น
โรงเรียนจิ้งซวีเนื่องจากบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก จึงรับศิษย์สตรีมากอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ในร้านค้านี้มีกว่าครึ่งที่เป็นสตรี สตรีจิตใจละเอียดอ่อนโดยธรรมชาติ การทักทายลูกค้ายิ่งดูแลรอบด้าน ด้วยเหตุนี้ร้านค้าของโรงเรียนจิ้งซวีธุรกิจดียิ่งเสมอมา แทบจะไม่มีเวลาที่ไม่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ว่า โม่เทียนเกอเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ไม่จำเป็นต้องเบียดกับคนเหล่านี้ ถูกเชิญขึ้นไปบริเวณที่นั่งชั้นบนตรง ๆ ได้รับการรับรองจากผู้ฝึกตนระดับสูง
เมื่อเห็นผู้ฝึกตนสตรีระดับสร้างฐานพลังที่มารับรอง โม่เทียนเกอก็ไม่พูดไร้สาระ ล้วงเครื่องรางหยกหนึ่งชิ้นออกมาจากอกเสื้อตรง ๆ โยนลงบนโต๊ะ “วัตถุดิบพวกนี้ ไม่ทราบร้านค้ามีหรือไม่?”
ผู้ฝึกตนสตรีนี้ได้ยินแล้วก็หยิบเครื่องรางหยกขึ้นมา สอดจิตหยั่งรู้เข้าไปศึกษาหนึ่งรอบ จากนั้นยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส วัตถุดิบพวกนี้ในร้านเรามีเป็นส่วนใหญ่ สามารถเตรียมให้ท่านได้ตรง ๆ สำหรับส่วนเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างหายาก หากท่านไว้วางใจ เพียงต้องรอวันสองวัน ผู้เยาว์ก็สามารถซื้อมาให้ท่านได้อย่างเหมาะสม”
โม่เทียนเกอได้ยินแล้วพยักหน้า ในวัตถุดิบพวกนี้ มีส่วนหนึ่งค่อนข้างหายาก หากเป็นร้านค้าทั่วไป เกรงแต่ว่าจะไม่มี ศาลาจิ้งสวีนี้ต้องเตรียมการวันสองวันนับว่าดีมากแล้ว นางขี้เกียจจะไปถามทีละเจ้า ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกมาว่าสามารถเป็นตัวแทนนางซื้อหาอย่างเหมาะสมได้ ก็ประหยัดแรงนางไปรอบหนึ่ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเป็นตัวแทนข้าไปซื้อเถอะ” พูดเช่นนี้จบแล้ว นางยังล้วงกระเป๋าเอกภพหนึ่งใบออกมาจากในอกเสื้อ โยนลงบนโต๊ะ “สิ่งของพวกนี้ ไม่ทราบร้านพวกเจ้ารับหรือไม่รับ”
สิ่งของในนี้เป็นวัตถุดิบจิปาถะที่นางสะสมเอาไว้ในหลายปีมานี้ มีของที่เข่นฆ่าผู้ฝึกตนคนอื่นแล้วได้รับมา แล้วก็มีสิ่งที่แลกเปลี่ยนกับคนอื่น ยังมีสิ่งที่ตนเองได้มาโดยบังเอิญ ตั้งแต่ที่มาถึงอวิ๋นจง ศิลาวิญญาณบนตัวนางมีแต่ออกไม่มีเข้า บวกกับที่ต้องใช้ในการฝึกตน ผลาญไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว จึงหยิบสิ่งของเหล่านี้ออกมาตรง ๆ คิดว่าจะต้องสามารถแลกศิลาวิญญาณได้จำนวนมาก
ตามคาด ผู้ฝึกตนสตรีนี้เปิดกระเป๋าเอกภพ เห็นสิ่งของที่กองเป็นภูเขาข้างในก็ตะลึงงัน ข้างในนี้มีวัตถุดิบหลอมอุปกรณ์, หญ้าวิญญาณ, โอสถ, อุปกรณ์เวท, อาวุธเวท ยังมีศพอสูรปีศาจและแกนปีศาจมากมาย มีบ้างที่ไม่ได้มีค่ามาก มีบ้างที่กลับราคาแพงมาก ด้วยสายตาที่ดูแลร้านค้ามาหลายปีของนาง สะสมจากน้อยเป็นมาก สิ่งของพวกนี้ไม่เพียงสามารถชดเชยวัตถุดิบที่ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องการซื้อ ถึงขนาดที่ยังมีมูลค่าเกินมากมาย! นางดูออกด้วยว่า สิ่งของจิปาถะพวกนี้ จะต้องเป็นของสะสมของผู้ฝึกตนจำนวนมาก ดูท่าผู้อาวุโสท่านนี้ภายนอกเป็นมิตร ฝีมือกลับไม่สามัญ เกรงว่าผู้ฝึกตนที่ตายในเงื้อมมือจะไม่น้อย
คิดถึงตรงนี้ ผู้ฝึกตนสตรีนี้ไม่กล้าประมาท เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้ สิ่งของเหล่านี้ของท่านมูลค่าน่าตะลึง ผู้เยาว์คนเดียวไม่อาจจัดการ ยังขอให้ผู้อาวุโสมอบเวลาสักครู่”
โม่เทียนเกอก็รู้ว่าตนเเองหยิบสิ่งของออกมามากขนาดนี้ คนอื่นคนเดียวคำนวณมูลค่าจะต้องเสียเวลาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ”
“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่”
ประสิทธิภาพในการทำงานของผู้ฝึกตนสตรีนางนี้ไม่เลว ชั่วครู่ให้หลัง ก็กลับมาพร้อมผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังอีกสองคน อยู่เบื้องหน้าโม่เทียนเกอเอาสิ่งของในกระเป๋าเอกภพมาจัดเรียงทีละชิ้น ประเมินมูลค่า จัดทำรายการ
ผลลัพธ์ทำให้โม่เทียนเกอตะลึงครั้งใหญ่ สิ่งของพวกนี้ นางเดิมไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างไร ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งที่ได้มาจากในมือผู้ฝึกตนคนอื่น ในนี้ของที่รักชอบเป็นพิเศษนางเก็บไปแล้ว เยอะเยี่ยงนี้ สุดท้ายผลลัพธ์ที่นับออกมาถึงกับเป็นศิลาวิญญาณหลายแสน
ศิลาวิญญาณหลายแสนก้อน นี่เป็นเครื่องบูชาในโรงเรียนเสวียนชิงหลายสิบปีของนางเลยนะ! เมื่อครู่ค้นพบว่าตนเองใช้ศิลาวิญญาณจนเกลี้ยง นางไม่อาจไม่หยิบสิ่งของพวกนี้มาแลกศิลาวิญญาณ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับมีค่าเป็นเงินมากขนาดนี้
นางกลับลืมไปแล้วว่าหลังจากตนเองสร้างฐานพลัง นางไม่เคยขาดศิลาวิญญาณ ได้รับสิ่งของมาล้วนโยนเข้ากระเป๋าเอกภพตรง ๆ สะสมเอาไว้ร้อยกว่าปี สะสมจากน้อยเป็นมาก กลายเป็นตัวเลขที่น่ากลัว
“ผู้อาวุโส” เสียเวลาไปเกินครึ่งวันจึงคำนวณสิ่งของเสร็จสิ้น ผู้ฝึกตนสตรีที่เรียกตนเองว่าหลิวเสี่ยวชิงคนนี้มอบรายการให้นาง “นี่เป็นมูลค่าที่แน่นอน ผู้อาวุโสโปรดผ่านตา”
โม่เทียนเกอหยิบกระดาษหนังสัตว์ขึ้นมากวาดมองหลายเที่ยว คนไม่กี่คนนี้มีความสามารถในการทำงานไม่เลว ไม่เพียงคำนวณมูลค่าออกมา ยังแบ่งแยกเป็นหมวดหมู่ ทำให้คนดูเที่ยวเดียวก็เห็นชัด ของจิปาถะที่มูลค่าไม่มากพวกนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ศพอสูรปีศาจและแกนปีศาจสมบัติวิญญาณ ฯลฯ ที่ราคาแพงในนี้ ตีราคาต่ำกว่าท้องตลาดเล็กน้อย แต่ร้านค้ารับวัตถุเดิมก็เป็นเช่นนี้ ราคาที่ศาลาจิ้งสวีให้ยังนับว่ายุติธรรม
นางส่งกระดาษหนังสัตว์คืนไปเอ่ยว่า “ก็ตามนี้เถอะ”
เห็นนางไม่มีความเห็น ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังไม่กี่คนนี้ถอนหายใจโล่งอก สบตากันอยู่หลายครั้ง กลับปล่อยให้หลิวเสี่ยวชิงเอ่ยปากขึ้นมาอีกว่า “ผู้อาวุโส ขอบอกโดยไม่ปิดบัง สิ่งของพวกนี้มูลค่าสูงเกินไป ด้วยสิทธิ์ของผู้เยาว์และพวก ไม่อาจรวบรวมศิลาวิญญาณมากขนาดนี้ในทันที บังเอิญว่าก่อนนี้ผู้อาวุโสอยากซื้อหาวัตถุดิบไม่น้อย ผู้เยาว์คิดว่าจะหักลบกันสองฝั่งแล้วค่อยเติมส่วนที่ขาด เพียงแต่ เนื่องจากสิ่งของที่ผู้อาวุโสต้องการต้องใช้เวลาซื้อหา เช่นนี้แล้วกลับไม่อาจมอบของชำระเงิน……”
สาเหตุที่โม่เทียนเกอขายสิ่งของพวกนี้เดิมก็เพื่อจะซื้อวัตถุดิบบนเครื่องรางหยกนั่น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระดับการฝึกตนของนางในปัจจุบันก็ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเบี้ยวหนี้ เอ่ยทันทีว่า “พวกเจ้าเพียงจัดการธุระไปก็พอ ผู้แซ่เยี่ยในหลายวันนี้จะพักเท้าอยู่ที่ตึกอวี้ซี พวกเจ้าจัดการเสร็จแล้วก็ส่งสิ่งของไปที่ตึกอวี้ซี”
“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโสโปรดวางใจ อย่างเร็วหนึ่งวัน อย่างช้าสองวัน พวกผู้เยาว์จะต้องจัดการให้ผู้อาวุโสเรียบร้อย”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ไม่พูดมากอีก ลุกขึ้นออกจากศาลาจิ้งสวี
หลังนางออกไป ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังสามคนของศาลาจิ้งสวีกลับไม่ขยับไปพักหนึ่ง
“หลิวซือเจี่ย” ผู้ฝึกตนหนึ่งคนในนี้เรียกหลิวเสี่ยวชิงคนนั้น สีหน้าลังเล “สิ่งของที่ผู้อาวุโสท่านนี้นำออกมามากขนาดนี้ พวกเราต้องรายงานต่อโถงผู้ดูแลหรือไม่”
หลิวเสี่ยวชิงมองที่ที่โม่เทียนเกอหายลับไป นิ่งเงียบเนิ่นนาน แล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ผู้อาวุโสท่านนี้ท่วงท่าไม่สามัญ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่ หากที่มามีปัญหาก็จะไม่ขายให้พวกเราเจ้าเดียวตามใจชอบอย่างนี้ อีกอย่าง ดูสิ่งของที่นางหยิบออกมา ไม่เพียงระดับการฝึกตนสูงส่งลึกล้ำ อีกทั้งฝีมือไม่สามัญ พวกเราทำงานยังต้องแข็งขันหน่อย”
“เจ้าค่ะ” หลิวเสี่ยวชิงค่อนข้างน่าเชื่อถือ หลังจากที่นางพูดเยี่ยงนี้ ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังอีกสองคนไม่มีการคัดค้านสักนิด
ทั้งสามคนเพิ่งจะพูดเยี่ยงนี้จบ เหนือบันไดปรากฏผู้ฝึกตนระดับสูงขึ้นมาอีกคน แรงกดดันอันกล้าแข็งทำให้ทั้งสามคนขยับสายตาในพริบตา
“หลิวซือซู……” ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณที่ชักนำลูกค้าร้องอย่างขลาดเขลาว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้……”
หลิวเสี่ยวชิงถึงระดับการฝึกตนไม่สูง แต่นางดูแลร้านค้าแทนโรงเรียนมาอย่างยาวนาน ประสบการณ์กลับไม่สามัญ พอเห็นก็ดูออกว่าผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะปรากฏตัวคนนี้เป็นระดับจิตวิญญาณใหม่ รีบต้อนรับว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้ ยินดีต้อนรับสู่ศาลาจิ้งสวี……”
……………….
ตอนที่ 442 – เฉียดไหล่ผ่านไป