หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 446 มัดมือมัดเท้า
ตอนที่ 446 – มัดมือมัดเท้า
เนิ่นนานให้หลัง อาจารย์เต๋าหยวนมู่สูดลมหายใจลึก ๆ สายตามองโม่เทียนเกออย่างลึกซึ้ง “ผู้เยาว์ วัตถุศักดิ์สิทธิ์อื่นมีคนที่ยอมรับเป็นนายแล้วเช่นกัน วิธีการเปิดมิติเร้นลับก็ไม่ใช่มีเพียงเจ้าคนเดียวที่รู้ แม้กระทั่งวิธีได้รับวาสนาเซียนที่เจ้าพูด……” เขาหยุดครู่หนึ่ง ใบหน้าที่เดิมเมตตาเป็นมิตรเผยเจตนาฆ่าฟันเสี้ยวหนึ่งออกมา “เปิ่นจั้วเพียงต้องค้นจิตวิญญาณของเจ้า แล้วหลอมเจ้าเป็นหุ่นเชิด ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการยอมรับนายของกระบี่ฝูเซิงเช่นกัน!”
โม่เทียนเกอกลับยังคงยิ้ม ตาไม่แม้แต่จะกะพริบ “ผู้เยาว์ไม่กล้าพูดว่าผู้อาวุโสพูดผิด แต่ว่า สิ่งที่ผู้อาวุโสอยากรู้ ถึงจะค้นจิตวิญญาณของข้าก็ไม่มีประโยชน์”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่จ้องมองนาง
โม่เทียนเกอไม่ได้พูดจาอีก สีหน้าสงบนิ่ง
ถัดจากนั้น สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ในอากาศมีความผันผวนของจิตหยั่งรู้อันกล้าแข็ง!
บัณฑิตอวี๋กำพัดจีบ นวดคิ้ว “จิตหยั่งรู้นี้……”
ด้วยระดับการฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายของเขา ไม่ยากจะที่สัมผัสได้ว่าจิตหยั่งรู้นี้ไม่สมบูรณ์เลย แต่อำนาจแห่งวายุอัสนีที่แฝงอยู่ในนั้นกลับเป็นสิ่งที่แม้แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้
จิตหยั่งรู้นี้ปรากฏขึ้นวูบเดียวจากนั้นหายเข้าไปในกระบี่ยาวที่โม่เทียนเกอพกอยู่ข้างหลังช้า ๆ สาบสูญไม่ปรากฏ
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย นี่ก็คือเบี้ยต่อรองที่แท้จริงของผู้เยาว์” โม่เทียนเกอกุมมือให้ทุกคน กล่าวช้า ๆ
อาจจะเป็นเพราะว่าทัศนคติของนางยังนับว่าเคารพ อย่างน้อยไว้หน้าพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แล้วก็อาจจะเพราะเบี้ยต่อรองของนางน่าทึ่งเกินไป ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่พิจารณาประนีประนอม ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้สุดท้ายแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก แม้แต่ผู้ฝึกตนฉุนเฉียวที่ร้องให้ฆ่าโม่เทียนเกอก่อนหน้านี้ก็นิ่งเงียบ
สายตาของอาจารย์เต๋าหยวนมู่เบือนไปด้านข้าง อู๋หมิงเจินเจ่อยังคงยิ้มแย้มหลับตา ราวกับไม่พร้อมจะแสดงท่าที บัณฑิตอวี๋สีหน้าอึมครึม แต่ท้ายที่สุดถอนหายใจอย่างไร้เสียง
อาจารย์เต๋าหยวนมู่เก็บสายตากลับมา สุดท้ายเอ่ยปากว่า “สหายเต๋าน้อย เจ้าต้องการอะไร โปรดพูดมาตรง ๆ เถอะ” น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมาก ราวกับยอมรับผลลัพธ์นี้แล้ว
ฝูเหยาจื่อ ผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของอวิ๋นจง แสนกว่าปีไม่มีคนสามารถเทียบเคียง ตัวตนของเขาเป็นตำนานไปแล้ว แม้จะเหลือเพียงจิตหยั่งรู้เสี้ยวเดียวก็ตาม ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแล้วก็ยังคงครั่นคร้ามต่อนามกระเดื่องดังของเขา
ต่อผลลัพธ์นี้ โม่เทียนเกอไม่เหนือคาดเลย นางเป็นเพียงบุคคลเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่ซือฟุฝูเหยาจื่อท่านนี้ของนาง กลับเป็นบุคคลที่ใหญ่มาก ๆๆ
“ผู้เยาว์เพียงต้องการส่วนแบ่งที่ตนเองสมควรได้รับ” นางกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“ส่วนแบ่งที่สมควรได้รับ?” อาจารย์เต๋าหยวนมู่จ้องนาง “สหายเต๋าน้อยพูดให้เข้าใจชัดเจนหน่อย”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ สีหน้าถ่อมตัว “พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือโอกาสที่เท่าเทียมกัน”
แต่วินาทีถัดมา บนหน้าผากอาจารย์เต๋าหยวนมู่กลับมีเส้นเลือดสีเขียวจาง ๆ ผุดขึ้น เขาสูดลมหายใจลึก ๆ ลูบหน้าผาก ฝึกตนมาถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย สภาวะจิตใจของเขาควรจะสงบนิ่งไร้คลื่นลมจึงจะถูก วันนี้กลับถูกผู้ฝึกตนเด็กระดับก่อเกิดตานคนหนึ่งกวนโมโหซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
“เจ้าอาศัยอะไรต้องการโอกาสที่เท่าเทียม” ผู้ที่พูดคือบัณฑิตอวี๋ เขามองโม่เทียนเกอย่างเย็นชา “ถึงเจ้าจะมีจิตหยั่งรู้ของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่ออยู่ข้างกาย แต่ก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่งเท่านั้น ถึงพวกเราจะรับปาก เจ้าจะกล้าเชื่อหรือ” ขอเพียงเสาะพบวาสนาเซียน พวกเขาโบกมือส่งเดชคราหนึ่ง ผู้ฝึกตนคนนี้ก็จะกลายเป็นผุยผง สองฝ่ายที่ระดับต่างกับโดยสิ้นเชิงก็อยากได้โอกาสที่เท่าเทียม?
“อาศัยกระบี่ฝูเซิงที่อยู่ในมือผู้เยาว์” โม่เทียนเกอกล่าวอย่างเฉยเมย นางไม่แยแสท่าทีของบัณฑิตอวี๋เลย ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านี้อยู่สูงจนเคยชิน จะสามารถอดกลั้นให้คนอื่นแบ่งน้ำแกงบนมือตนเองไปได้อย่างไร โดยเฉพาะนางเป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ในสายตาของพวกเขา เพียงดีกว่ามดแมลงนิดเดียว
“สหายเต๋าน้อย” อาจารย์เต๋าหยวนมู่มองนาง สายตาลุ่มลึก น้ำเสียงกลับเรียบนิ่ง “เปิ่นจั้วจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากตอนนี้เจ้าเชื่อฟังอย่างว่าง่าย หลังจากเข้าไปในมิติเร้นลับนั่น เปิ่นจั้วรับรองว่าเจ้าจะจากไปได้อย่างปลอดภัย แม้กระทั่งรับเจ้าเข้าสำนัก เป็นอย่างไร”
โม่เทียนเกอเพียงยิ้มบาง ๆ “เจตนาดีของผู้อาวุโส ผู้เยาว์ขอรับไว้ด้วยใจ”
ตนเองถอยอีกหนึ่งก้าว แต่ถูกปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ดูไม่ดี น้ำเสียงขรึมขึ้น “เจ้าไม่รู้สึกว่าตนเองตะกละเกินไปหรือ”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้น ห้าคนแบ่งหนึ่งส่วน ผู้เยาว์หากตะหละเกินไปจริง ๆ สิ่งที่ต้องการจะไม่ใช่โอกาสเท่าเทียม ทว่าเป็นหนึ่งในห้าส่วน หลังเข้าสถานที่ลับนั่น ด้วยความสามารถของผู้อาวุโสทั้งหลาย วัตถุที่ได้รับย่อมมากยิ่งกว่าผู้เยาว์ ไยต้องดึงดันจะทำให้ผู้เยาว์เป็นหุ่นเชิด รอเศษเหลือของผู้อาวุโสทุกท่านเล่า?”
“……”
ในความเงียบงัน ในที่สุดอู๋หมิงเจินเจ่อเอ่ยปากแล้ว ที่นี่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากขนาดนี้ กลับเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายท่านนี้สงบนิ่งที่สุด เขายังคงยิ้มแย้มกล่าวว่า “สหายเต๋าหยวนมู่ อวี๋เซียนเซิง มิสู้ ให้สหายเต๋าน้อยคนนี้ไปพักผ่อนก่อนเป็นไร? เรื่องนี้ก็รีบร้อนไม่ได้”
ไพ่ตายของโม่เทียนเกอตอนนี้หงายออกมาแล้ว ข้อเรียกร้องของนางก็เอ่ยออกมาแล้ว สิ่งที่เหลือเป็นคำถามว่าพวกเขาควรจะจัดการอย่างไร รั้งนางอยู่ที่นี่ต่อไปไม่มีประโยชน์แล้ว
อาจารย์เต๋าหยวนมู่คิดครู่หนึ่ง เห็นคนอื่นล้วนไม่มีความเห็นแย้ง จึงเอ่ยว่า “อวิ๋นเฮ่อ พาสหายเต๋าน้อยคนนี้ไปพักผ่อนเถอะ” แต่ไม่พูดจาตามมารยาทกับโม่เทียนเกอสักคำ ตายังไม่ชำเลืองมอง คาดว่าโกรธแย่แล้ว
หลิงอวิ๋นเฮ่อรับคำอย่างนอบน้อม “ขอรับ ซือป๋อ” จากนั้นกุมมือให้โม่เทียนเกอ “ฉิน…… อ้อ สหายเต๋าโม่ เชิญ”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ ตามเขาออกจากโถงรับแขก
เดินตามหลิงอวิ๋นเฮ่อไปครู่หนึ่ง ห่างจากโถงรับแขกแล้ว จึงได้ยินเขากล่าวว่า “สหายเต๋าช่างกล้าหาญโดยแท้ ต่อหน้าผู้อาวุโสมากขนาดนี้ ถึงกับไม่หวาดหวั่นสักเศษเสี้ยว”
โม่เทียนเกอเพียงยิ้มบาง ๆ “จำใจเท่านั้นเอง”
“……” หลิงอวิ๋นเฮ่อเงียบงันไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ เอ่ยว่า “สหายเต๋าฉินไม่เชื่อใจข้าหรือ”
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “สหายเต๋าหลิงหมายความว่าอย่างไร”
หลิงอวิ๋นเฮ่อขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ผู้แซ่หลิงถึงแม้จะเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แต่หากเพียงรับประกันให้สหายเต๋าฉินไร้เภทภัย ยังสามารถกระทำได้”
โม่เทียนเกอตะลึง คิดดูแล้วจึงเข้าใจว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว นึกว่านางไม่เชื่อใจการรับประกันของเขา จึงต้องการสมาคมกับพวกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ เพื่อแย่งชิงโอกาสรอดชีวิต
นางส่ายหน้า กล่าวว่า “สหายเต๋าหลิงไม่ต้องคิดมาก จ้ายเซี่ยเมื่อครู่ไม่ได้แสร้งเป็นแข็งแกร่งภายในอ่อนแอเลย ที่พูดไปก็ไม่ใช่คำโป้ปด”
“จริงหรือ” เห็นนางสีหน้าสงบนิ่งเช่นนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่ออดไม่ได้ที่จะเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว “นั่นเป็นผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อจริงหรือ”
โม่เทียนเกอเพียงยิ้ม ไม่ได้ตอบอีก ทว่าถามเรื่องอื่นขึ้นมา “สหายเต๋าหลิง ข้าได้ยินว่า วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของสำนักจิ่วเยี่ยนก็คือไข่มุกเทพต้องห้าม หรือว่าจะเป็นไข่มุกเทพต้องห้ามที่ข้าเคยเห็นเมื่อปีนั้นที่ท่องหุบเขาไร้กังวล?”
“ไม่ใช่” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ย “ไข่มุกเทพต้องห้ามในมือผู้แซ่หลิงปีนั้นเป็นของเลียนแบบไข่มุกเทพต้องห้ามแท้จริงซึ่งสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษรุ่นหนึ่งของสกุลหลิงข้า แต่ว่า รูปลักษณ์ณานศักดิ์สิทธิ์แทบจะไร้ข้อแตกต่าง”
“อ้อ……” มิน่าเล่าหลิงอวิ๋นเฮ่อในปีนั้นก็สามารถหยิบไข่มุกเทพต้องห้ามได้ ที่แท้ไม่ใช่ของจริง “อย่างนั้น…… สหายเต๋าหลิงเป็นคนที่ไข่มุกเทพต้องห้ามเลือกยอมรับเป็นาายจริง ๆ ใช่หรือไม่”
หลิงอวิ๋นเฮ่อได้ยินแล้วฝีเท้าชะงักไป หันศีรษะมามองนาง
โม่เทียนเกอยิ้มเอ่ยว่า “จ้ายเซี่ยเพียงคาดเดา หากไม่สะดวก สหายเต๋าหลิงไม่ต้องตอบ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อหันหน้ากลับไป นำทางช้า ๆ “สหายเต๋าฉินเดาไม่ผิด คนที่ไข่มุกเทพต้องห้ามเลือกเป็นผู้แซ่หลิงจริง ๆ”
“อ้อ……” โม่เทียนเกอพยักหน้า “เช่นนั้นคนที่แหฟ้าตาข่ายดินกับบันทึกไร้นามเลือกก็คือเจวี๋ยอู้และหานซื่อจือใช่หรือไม่”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้ม “มิผิด ไม่เช่นนั้นพวกเราเหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานจะสามารถเข้าร่วมเหตุการณ์ใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร”
โม่เทียนเกอกลับขมวดคิ้ว แอบคิดว่า “พวกเขาสามคน บวกกับข้าอีก ล้วนเป็นระดับก่อเกิดตาน……” นางจิตใจสั่นไหว ใช้จิตหยั่งรู้สื่อสารกับฝูเหยาจื่อ “ซือฟุ ตรงนี้มีความลับอะไรไหมเจ้าคะ”
“ฮี่ ๆ” ในสมองมีเสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้น “กระบี่ฝูเซิงยอมรับเจ้าเป็นนายเป็นวาสนาโดยบังเอิญ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับระดับการฝึกตนมากมายนัก แต่ว่า สาเหตุที่พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสามคน เหวยซือเดาว่า เป็นเพราะพลังบนกุญแจไม่เพียงพอแล้ว”
“เอ๊ะ?”
“เหวยซือไม่ได้เคยพูดไปแต่แรกแล้วหรือ? ทักษะลับจิตหยั่งรู้ของพวกเขาไม่กี่คนนั่นเทียบกับเหวยซือไม่ได้ คิดว่าผนึกไว้หลายปีขนาดนี้ จิตหยั่งรู้จะต้องค่อย ๆ เสื่อมไปแล้ว หากเลือกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ พลังไม่เพียงพอ ได้แต่เลือกผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว”
“พูดอย่างนี้ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่น ๆ สามารถเลือกคนที่จะยอมรับเป็นนายได้ตามใจ?” เช่นนั้นเปลี่ยนคนตามใจชอบก็ได้?
“ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “เงื่อนไขการยอมรับนายของพวกเขาถึงจะไม่ได้โหดขนาดเหวยซือ แต่ก็ไม่ได้ส่งเดชขนาดนั้น อีกทั้งเพราะว่าทักษะลับจิตหยั่งรู้ไม่แข็งแกร่งพอ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาสามารถยอมรับนายได้เพียงหนึ่งครั้ง ดังนั้นเหวยซือมั่นใจว่าพวกเขาไม่กล้าเสี่ยง”
โม่เทียนเกอเข้าใจนิดหน่อยแล้ว สรุปคือซือฟุท่านนี้ของตนเองช่างคิดมาก
“ซือฟุเจ้าคะ กระบี่ฝูเซิงของท่านนี่ต้องการคนที่รากวิญญาณต้นกำเนิดจึงจะสามารถยอมรับนาย รากวิญญาณต้นกำเนิดพันปียากปรากฏ ส่วนพวกเขาสี่คนเพราะว่าทักษะลับแข็งแกร่งไม่พอ สามารถยอมรับนายได้หนึ่งครั้ง เช่นนั้นต้องรวบรวมคนที่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเป็นนายในเวลาเดียวกันก็ยากเกินไปแล้วรึเปล่าเจ้าคะ”
ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ “ถึงรวบรวมไม่ได้แล้วอย่างไรเล่า? สาเหตุที่เหวยซือลงแรงพวกนี้เพียงอยากจะเหลือการสืบทอดให้กับตนเองเท่านั้น ถึงมิติเร้นลับของทะเลกุยสวีจะไม่เปิดขึ้นมาอีก แล้วจะเกี่ยวอันใดกับพวกเรา?”
“……” โม่เทียนเกอปาดเหงื่อเงียบ ๆ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาเป็นเพียงจิตหยั่งรู้เสี้ยวหนึ่ง เปิ่นจุนแปลงเทพไปแต่แรกแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเขาจริง ๆ ส่วนปราชญ์อีกสี่คนล้วนไปไหนไม่รู้แต่แรกแล้ว ก็แค่ทิ้งวาสนาเอาไว้ให้ชนรุ่นหลัง ถึงสุดท้ายแล้วจะรับไม่ได้ คาดว่าพวกเขาก็ไม่ใส่ใจ
แต่ว่า ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ที่มีชีวิตอยู่กลับมิใช่ไม่ใส่ใจ
ในโถงรับแขก ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหลายนิ่งเงียบกันมาตลอด สีหน้าของทุกคนล้วนไม่สู้ดีนัก
ผ่านไปพักใหญ่ หลิงซื่ออวี่ถามว่า “หยวนมู่ซือเกอ เรื่องนี้ไม่มีหนทางจริงหรือ ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อนั่นถึงจะบอกว่าเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของอวิ๋นจง แต่ถึงที่สุดแล้วเป็นบุคคลเมื่อแสนปีก่อน ปัจจุบันเหลือเพียงจิตหยั่งรู้นิดเดียว……”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ถือถ้วยชา ครึ่งค่อนวันไม่ขยับเขยื้อน เวลานี้ถอนหายใจ กล่าวว่า “ไหนเลยจะเรียบง่ายปานนั้น? เปิ่นจั้วตอนนี้จึงรู้ว่า ฝูเหยาจื่อเทียบกับบรรพจารย์แล้วแข็งแกร่งกว่ามากจริง ๆ”
มีคนไม่เข้าใจ “หยวนมู่เต้าซยงหมายความว่าอะไร กระบี่ฝูเซิงเขาเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ในมือพวกเราก็มีวัตถุศักดิ์สิทธิ์นะ หรือว่าไม่สามารถต่อต้าน?”
บัณฑิตอวี๋เคาะพัดจีบในมือ เอ่ยปากว่า “พวกเราสามสำนักเลือกร่วมมือกันแล้ว คนในที่แห่งนี้ล้วนเป็นชนชั้นผู้นำของสามสำนัก สหายเต๋าหยวนมู่ สหายเต๋าอู๋หมิง ไม่สู้พวกเราพูดคุยกันอย่างเปิดอกเถอะ”
อู๋หมิงเจินเจ่อฟังแล้วยิ้มแย้มพยักหน้า “สหายเต๋าทั้งสองท่านตัดสินใจก็พอ พระเฒ่าไม่มีข้อคัดค้าน”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า เขาวางถ้วยชา สายตากวาดมองผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในที่แห่งนี้ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เปิ่นจั้วจะพูดกับทุกท่านอย่างชัดเจน” เขาหยุดขั่วครู่ เอ่ยว่า “คาดว่าทุกท่านไม่ทราบ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยอมรับนายได้เพียงหนึ่งครั้ง หลังจากยอมรับนาย สำนึกวิญญาณที่อยู่ในนั้นจะหายไป นอกเสียจากเจ้านายใหม่คนใดบรรลุถึงระดับการฝึกตนของผู้อาวุโสห้าปราชญ์ ผนึกใส่วัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ไม่อย่างนั้น วัตถุศักดิ์สิทธิ์และอาวุธเวททั่วไปไร้ข้อแตกต่าง”
“อ๊ะ!” ในโถงรับแขกเกิดเสียงอุทานดังขึ้น เรื่องนี้เป็นความลับสามสำนัก ไม่ใช่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทุกคนจะล่วงรู้
มีคนร้องว่า “หยวนมู่ซือเกอ พูดอย่างนี้ พวกเราจะต้องรวมวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นก่อนที่คนที่ได้รับการยอมรับเป็นนายจะเสียชีวิต แล้วยังต้องให้พวกมันยอมรับนายทั้งหมด?”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ส่ายหน้า “วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรายังไม่ได้ยอมรับนาย” เขาขมวดคิ้วแน่น “ข้ากับสหายเต๋าอู๋หมิง, อาจารย์เต๋าหยวนมู่สามคนเคยปรึกษากันว่า ก่อนที่จะยืนยันว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนสามารถยอมรับนาย จะไม่ให้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยอมรับนายไปก่อน ไม่อย่างนั้น พอมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์หนึ่งชิ้นไม่สามารถยอมรับนาย ความลับของทะเลกุยสวีก็จะจมฝุ่นไปตลอดกาล”
หลิงซื่ออวี่ฟื้นคืนสติ “ดังนั้น ผู้เยาว์นี่ทำให้กระบี่ฝูเซิงยอมรับนายแล้ว พวกเราไม่อาจจะให้กระบี่ฝูเซิงหาคนที่สามารถยอมรับเป็นนายได้อีกแล้ว?”
“มิผิด นี่ก็คือสาเหตุที่พวกเราสามคนถูกมัดมือมัดเท้า” บัณฑิตอวี๋สีหน้าดำมืด หากไม่ใช่ผู้เยาว์นี่รู้จุดนี้จะโอหังเช่นนี้ได้อย่างไร? ค้นจิตวิญญาณสร้างเป็นหุ่นเชิด นี่เป็นเพียงวิธีขู่ขวัญนาง หลังจากสร้างเป็นหุ่นเชิด วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยังจะสามารถคงประสิทธิภาพดังเดิมหรือไม่ พวกเขาไม่มั่นใจเลย และวาสนาเช่นนี้ พวกเขาจะไม่พิจารณาถึงการละทิ้งไปเลย!
“อีกอย่าง ตอนนี้เผชิญกับปัญหาอีกข้อ” อู๋หมิงเจินเจ่อกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “พวกเรายังไม่สามารถมั่นใจว่าเจดีย์มารสวรรค์จะปรากฏคนที่สามารถยอมรับเป็นนายได้แล้วหรือไม่”
“……” หลังจากเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง มีคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หากเพราะว่าผู้เยาว์คนนี้ สถานที่ลับของทะเลกุยสวีไม่สามารถเปิดออกตลอดกาล ข้าจะต้องบดกระดูกนางเป็นผุยผง!”
……………….
ตอนแรกอ่านแล้วงงนิดหน่อย แต่น่าจะแปลว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์อื่นเจอคนที่ยอมรับได้แล้วแต่ว่ายังไม่ได้ยอมรับกันจริง ๆ ทีนี้แก๊งสามสำนักเลยกะว่าหาของหาคนให้ครบแล้วค่อยให้ยอมรับพร้อมกัน ไม่งั้นเกิดยอมรับไปคนหนึ่งแล้วเก็บคนที่เหลือได้ไม่ครบก่อนคนที่เป็นเจ้าของไปแล้วตายก็เกมโอเวอร์
ตอนที่ 447 – ออกเดินทาง