หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 450 แก้ไขภัยซ่อนเร้น
ตอน 450 – แก้ไขภัยซ่อนเร้น
คำพูดนี้ของฉินซีพอเปล่งจากปาก สถานที่แห่งนี้ก็เงียบสงบลง
เหมยเฟิงตะลึง อาจารย์เต๋าหยวนมู่, อู๋หมิงเจินเจ่อและพวกสบตากัน แต่ไม่ได้พูดจา
คู่เต๋า ความหมายของคำศัพท์นี้ต่อคนที่ฝึกเซียนช่างชวนให้ครุ่นคิด ที่เรียกว่าคู่เต๋า คู่ที่เสาะหาความเป็นเซียนไต่ถามเต๋า ก็คือสามีภรรยาที่คนที่ฝึกตนเรียกขานกัน ที่โลกฝึกเซียนนี้ ความสัมพันธ์อันใดล้วนพึ่งพาไม่ได้ แต่คู่เต๋ากลับเป็นประเภทที่สนิทสนมที่สุดในนั้นอย่างไร้กังขา
นี่เป็นเพราะว่า โดยทั่วไปแล้ว คู่เต๋าเป็นความสัมพันธ์ชนิดเดียวที่ตัดสินใจด้วยตนเอง สายเลือดไม่สามารถเลือกได้ ศิษย์อาจารย์มักเต็มไปด้วยผลประโยชน์ ทว่าคู่เต๋า ถึงจะมีการผูกพันกันเพราะผลประโยชน์เช่นกัน แต่เทียบกับความเป็นไปได้อื่นแล้วมันน้อยกว่ามาก สำหรับคนเกือบทั้งหมด คู่เต๋าเป็นคู่หูที่เลือกด้วยตนเองเพื่อร่วมเดินทางไปบนเส้นทางเซียน
คนที่ฝึกเซียนมักจะระแวดระวังหนักมาก ในเมื่อเป็นคู่หูที่ตกลงใจก็ค่อนข้างจะเป็นคนที่ไว้วางใจที่สุด และในระยะเวลาอันยาวนาน คนสองคนร่วมเดินทางเคียงข้าง ความรู้สึกก็มักจะลึกซึ้งที่สุด
จากแง่มุมนี้ การทำร้ายคู่เต๋าของคนคนหนึ่งกับการทำร้ายตัวเองไม่ได้ต่างกันเลย
ดังนั้น อาจารย์เต๋าหยวนมู่และพวกพอได้ยินฉินซีพูดดังนี้ก็ไม่ตั้งใจจะออกปากหยุดยั้งแล้ว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางคนหนึ่ง คู่เต๋าถูกคนไล่สังหารทว่าไม่เอาความ จะรักษาหน้าเอาไว้ได้อย่างไร? อีกอย่าง ขอเพียงนางหนูน้อยที่กระบี่ฝูเซิงยอมรับเป็นนายนางนั้นไม่เป็นไร คนอื่นสู้กันจนตายแล้วจะเกี่ยวอะไรกับพวกเขาเล่า คนแย่งชิงวาสนาจะน้อยลงไปหนึ่งคนด้วยนะ!
เพียงแต่ พวกเขาเดิมนึกว่า รุ่นเยาว์ก่อเกิดตานคนนี้ถึงจะมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นศิษย์สำนักใหญ่โพ้นทะเลหรือว่าตระกูลใหญ่ แต่ที่อวิ๋นจง นางไร้รากฐาน ไม่จำเป็นต้องวิตกเลย แต่ตอนนี้ คู่เต๋าของนางดันมาถึงอวิ๋นจงด้วยแล้ว และคนคนนี้ถึงกับเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางด้วย
อาจารย์เต๋าหยวนมู่อดมองเมี่ยวอิงหยวนจวินแวบหนึ่งไม่ได้ เมื่อครู่เมี่ยวอิงหยวนจวินพูดมาแล้วว่าสหายเต๋าฉินผู้นี้ถึงจะเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ฝีมือและณานศักดิ์สิทธิ์ของเขากลับไม่สามัญถึงสิบส่วน เทียบกับพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนขั้นปลายแล้วก็เกรงว่าจะไม่อ่อนแอ ถ้าเป็นเช่นนี้ คนคนนี้ไม่อาจไม่จับตามองแล้ว
บัณฑิตอวี๋มีความกังวลเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด มองฉินซีแวบหนึ่งแล้วเบนสายตามาทางอาจารย์เต๋าหยวนมู่ ถ่ายทอดเสียงเสียงต่ำว่า “สหายเต๋าหยวนมู่ สถานการณ์นี้……”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ถอนหายใจเบา ๆ คำหนึ่ง ตอบกับไปด้วยการถ่ายทอดเสียงเหมือนกันว่า “อวี๋เซียนเซิงมีความคิดเห็นอะไร” บัณฑิตอวี๋ผู้นี้ ถึงจะไม่ได้มีสายป่านยาวเท่าเขา แต่กลับมีไหวพริบล้นเหลือ สิ่งที่คิดมักจะเป็นจุดสำคัญที่ตรงประเด็น ครั้งนี้สามสำนักร่วมมือกันเสาะหาร่องรอยห้าปราชญ์ ต้องขอบคุณที่เขาออกความคิดมาก
บัณฑิตอวี๋เอ่ยว่า “ขอเพียงพวกเราสามสำนักรวมใจ พร้อมด้วยสหายเต๋าเมี่ยวอิง, สหายเต๋ากัวและพวกจะต้องยืนอยู่ฝ่ายพวกเรา ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางหนึ่งคน ไม่จำเป็นต้องใส่ใจจนเกินไป เพียงแต่……”
“เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่อาจควบคุมผู้เยาว์คนนี้แล้ว”
บัณฑิตอวี๋ถอนหายใจ พยักหน้า เขาคิด ๆ ดูแล้วเอ่ยอีกว่า “อันที่จริง จากเรื่องก่อนเกาะอีเยี่ย พวกเราสามารถดูออกแล้วว่า ผู้เยาว์นางนี้ไม่ใช่คนที่เต็มใจจะถูกควบคุม คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ถึงกับกล้าพูดเงื่อนไขกับเราสามสำนัก! นางมีการชี้แนะของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ เกรงว่าจะเตรียมทางถอยเอาไว้แต่แรกแล้ว พวกเราไม่แน่ว่าจะสามารถกุมตัวนางเอาไว้ได้แต่อย่างไร”
“อวี๋เซียนเซิงพูดจามีเหตุผล” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ขบคิดครู่หนึ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ปล่อยนางไปเถอะ ขอเพียงนางเปิดมิติอย่างว่าง่าย ไม่สร้างอุปสรรคให้พวกเราก็พอ”
การถ่ายทอดเสียงลับของอาจารย์เต๋าหยวนมู่และบัณฑิตอวี๋ คนอื่นไม่ทราบเลย แต่ทัศนคติที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวของพวกเขา ทุกคนล้วนเห็นแล้ว อันที่จริง ผู้ฝึกตนคนอื่นลุ้นให้สองคนนี้สู้กันขึ้นมา ในพวกเขาผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ ระหว่างคนไม่น้อยมีความอาฆาตแค้น เพียงแต่วิตกว่ามิติกำลังจะเปิด วาสนาหายาก ทุกคนล้วนเข้าใจกันโดยปริยายว่าจะไม่ยกความแค้นเก่าขึ้นมา สมมติว่าสองคนนี้สู้กันขึ้นมา ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางสองคน กว่าครึ่งผลลัพธ์จะเป็นการพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย ถึงเวลา หลังจากเข้าสู่มิติ พวกเขาก็จะลดคู่แข่งที่แข็งแกร่งไปสองคน
เหมยเฟิงก็ทราบจุดนี้อย่างชัดเจน หลายปีมานี้เขาหลบซ่อนฝึกฝนมหาเวทปีศาจแรกเริ่ม ไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนโดยสิ้นเชิง ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ล่วงเกินเจ้าเมืองเย่เซียวประมุขมารเย่ซวง แต่ว่า ข่าวที่สถานที่ลับทะเลกุยสวีจวนจะเปิดมาถึง เขาก็นั่งไม่ติดแล้ว ล่วงเกินประมุขมารเย่ซวงแล้วอย่างไร ถ้าหากประมุขมารเย่ซวงต้องการจับกุมเขาก่อนที่มิติลับจะเปิดจริง ๆ เช่นนั้นตนเองก็จะสูญเสียความแข็งแกร่ง ถึงเวลา เข้าสู่สถานที่ลับ เริ่มต้นก็จะถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายคนอื่น ๆ สะกดข่มแล้ว ส่วนหลังจากจบเรื่อง ใครจะรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรเล่า บางทีเขาอาจจะได้รับวาสนาอันยอดเยี่ยมเทียมฟ้า บางทีเขาอาจจะสิ้นชีพอยู่ในนั้น ประมุขมารเย่ซวงก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้น เขาจึงกล้าเดินอาด ๆ เข้ามาโดยตรง
แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คล้ายจะไม่คิดเช่นนี้เลย เหมยเฟิงรู้สึกงงงวยมาก ผู้ฝึกตนของอวิ๋นจง ใครจะเต็มใจพลาดสถานที่ลับทะเลกุยสวี? นั่นเป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับห้าปราชญ์แปลงเทพนะ!
อีกประการ ดูระดับการฝึกตนและณานศักดิ์สิทธิ์ของคนคนนี้ เขาน่าจะเคยได้ยินได้ฟังมาแต่แรกถึงจะถูก แต่เขากลับไม่เคยได้ยินเลย หรือว่าในระยะเวลาห้าสิบกว่าปีที่เขาหลบซ่อนกักตน คนคนนี้มีระดับการฝึกตนก้าวใหญ่อย่างใหญ่หลวง? หรือบางที อีกฝ่ายเดิมก็มิใช่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจง?
คิดเช่นนี้แล้ว เหมยเฟิงยิ้มเย็นชาในใจ ไม่ว่าจะเป็นเซียวหยางหรือว่าหยวนโจว มาตรฐานของการฝึกเซียนล้วนต่ำกว่าอวิ๋นจงอยู่บ้าง ถ้าหากเป็นผู้ฝึกตนของสองที่นี้ เช่นนั้นคนคนนี้เป็นไปได้มากว่าจะแข็งนอกอ่อนใน ถ้าหากคนคนนี้เป็นผู้ฝึกตนอวิ๋นจง เพิ่งจะเลื่อนขึ้นขั้นกลาง เช่นนั้นก็ยิ่งจัดการง่าย เขามีความมั่นใจต่อมหาเวทปีศาจแรกเริ่มของตนเองมาก ผู้ฝึกตนร่วมระดับชั้นที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นมิใช่คู่มือของเขาเลย
“สหายเต๋าท่านนี้เรียกขานว่าอย่างไรหรือ แล้วเป็นผู้ฝึกตนของสำนักใหญ่ไหน” เหมยเฟิงถาม เขาเพียงกังวลนิดหนึ่ง คนคนนี้หากเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างที่เลื่อนขึ้นใหม่ของสำนักใหญ่สักแห่ง เช่นนั้นก็จะต้องคำนึงถึงขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังสักหน่อย
ฉินซีเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “จ้ายเซี่ยแซ่ฉิน นามเต๋าโส่วจิ้ง สำหรับสำนัก ใต้เท้าไม่ต้องกังวลใจไป หากท่านมีความสามารถสังหารผู้แซ่ฉิน ถึงจะมีคนมาล้างแค้นก็อยู่ห่างไปเป็นหมื่นลี้”
เหมยเฟิงได้ยินดังนี้แล้ว ในแววตาส่องประกายโหดเหี้ยม แต่ยังคงเอ่ยเสียงทุ้มว่า “สหายเต๋าฉิน หากท่านมิใช่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจง บางทีอาจไม่เข้าใจความหมายของสถานที่ลับห้าปราชญ์ทะเลกุยสวี ในนี้มีวาสนาของการแปลงเทพนะ!”
ฉินซียิ้ม “ใต้เท้าไม่กล้าหรือ”
“ท่าน–” ใบหน้าเหมยเฟิงปรากฏแววโกรธ เขาเพียงเสียดายโอกาสในครั้งนี้เท่านั้น ในเมื่อคนคนนี้ไม่รู้ความขนาดนี้ เขาได้แต่สิ้นเปลืองกำลังส่วนหนึ่ง เข่นฆ่าเขาเสีย ถ้าไม่อย่างนั้น เข้าสถานที่ลับนั้นแล้วถูกแอบวางแผนร้ายอีกไยมิใช่ยุ่งยากแล้ว?
คิดถึงตรงนี้ เหมยเฟิงสะบัดแขนเสื้อ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มเพิ่มพูน เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋าฉินเชิญเถอะ!”
สิ่งที่เหมยเฟิงคิดตรงกันกับฉินซีพอดี
ที่เมืองอวิ๋นอี้ค้นพบร่องรอยของเทียนเกอ เดิมเขาวางแผนจะออกเดินทางเสาะหาคนทันที เมี่ยวอิงหยวนจวินสอบถามแผนการของเขา มอบน้ำใจให้กับเขา ให้ศิษย์โรงเรียนจิ้งซวีช่วยเขาไต่ถามทางไปของ “เยี่ยเสี่ยวเทียน” ภายหลังศิษย์โรงเรียนจิ้งซวีรายงานกลับมาว่า “เยี่ยเสี่ยวเทียน” กำลังมุ่งขึ้นเหนือ เป็นไปได้ว่าจะผ่านอาณาจักรหนานโจวไปทะเลกุยสวี เมี่ยวอิงหยวนจวินจึงเชื้อเชิญเขาร่วมทาง
ฉินซีเดิมทีตั้งใจจะปฏิเสธ ใครจะรู้ว่าจะได้ทราบจากปากคำของเมี่ยวอิงหยวนจวินว่าเรื่องนี้ถึงกับมีความเกี่ยวข้องกับ “ฉินเวย” สามสำนักใหญ่ปรารถนาจะรวบรวมวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้น เปิดมิติเร้นลับทะเลกุยสวี และในมือของ “ฉินเวย” ก็มีกระบี่ฝูเซิงที่เป็นหนึ่งในวัตถุศักดิ์สิทธิ์
เอาสองเรื่องมาคิดโยงกัน ฉินซีเดาออกลำดับของเรื่องราวออกแล้ว มีเพียงเขาที่ทราบว่า “เยี่ยเสี่ยวเทียน” และ “ฉินเวย” เป็นคนเดียวกัน “เยี่ยเสี่ยวเทียน” ไปยังทะเลกุยสวีจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ส่วนเมี่ยวอิงหยวนจวินพอดีได้รับคำเชิญของสามสำนัก ไปทะเกุยสวีเพื่อเรื่องเดียวกัน เช่นนี้แล้ว เขาร่วมทางกับเมี่ยวอิงหยวนจวินกลับจะยิ่งเหมาะสม
สำหรับสถานที่ลับทะเลกุยสวีแห่งนี้ ฉินซีย่อมมีความสนใจ วาสนาในการแปลงเทพ นี่จะเสาะหาได้จากที่ใดในเทียนจี๋เล่า? เขาเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางได้ไม่นาน การฝึกตนในระยะนี้กลายเป็นช้ามาก มาถึงอวิ๋นจง หนึ่งคือเทียนเกอจากมานานเกินไปแล้ว เขาไม่อาจวางใจ สองก็คือเพียงเสาะหาวาสนาให้ตนเองสักหน่อย อีกประการ เรื่องนี้เทียนเกอถูกม้วนเข้าไปพัวพัน เขาไปแล้วก็จะได้ดูแลพอดี
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า พอมาถึงที่นี่ก็ค้นพบว่าเทียนเกอถูกผู้ฝึกมารระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางคนหนึ่งไล่สังหาร!
จากปฏิกิริยาของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายไม่กี่คน เดาได้ไม่ยากว่าผู้ฝึกมารคนนี้ไม่มีผู้หนุนหลังอะไรเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เข่นฆ่าเสียก่อนจะเปิดสถานที่ลับ ดีกว่าหลังจากเข้าสู่สถานที่ลับแล้วยังต้องโดนเหนี่ยวรั้งเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น คนคนนี้แสดงออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องการสังหารเทียนเกอระบายแค้น หากเขาไม่กำจัดทิ้งก็จะเป็นภัยซ่อนเร้นตลอดไป
“ซือเกอ” เทียนเกอเอ่ยเสียงเบาข้างหลังเขา “วิชาเวทที่คนคนนี้ฝึกเหมือนกับของซงเฟิงซ่างเหริน ท่านมีความมั่นใจหรือ”
จุดนี้ฉินซีดูออกแต่แรกแล้ว วิชาเวทของซงเฟิงซ่างเหรินเป็นอย่างไร คนอื่นอาจจะไม่ทราบชัด แต่เขาทราบชัดมานานแล้ว จากนั้นยิ้มบางเอ่ยว่า “วางใจเถอะ หากมิใช่เช่นนี้ ข้าก็ไม่มีความเชื่อมั่นขนาดนี้หรอก”
โม่เทียนเกอตะลึง คิดทบทวนอีกรอบ ซงเฟิงซ่างเหรินเป็นศัตรูฉกาจของอาจารย์พวกเขา ช้าเร็วก็ต้องปะทะ หลังจากซือเกอผูกจิตวิญญาณคาดว่าคิดหนทางยับยั้งอะไรออกแล้ว นางวางใจเล็กน้อย ล่าถอยไป “ข้าทราบแล้ว”
ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนร่างเหมยเฟิงยิ่งมายิ่งเข้มข้น แทบจะห่อหุ้มไปทั้งตัว แต่หากเทียบกับเมฆดำของซงเฟิงซ่างเหรินกลับด้อยกว่าช่วงหนึ่ง
ฉินซีโบกแขนเสื้อ กระบี่อัคนีสามพลังหยางที่เพียงวนอยู่รอบตัวเขาไม่หยุดส่งเสียงร้องใสกระจ่าง แต่แปรเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ที่มีสภาพทว่าไร้ตัวตนสายหนึ่ง ปราณกระบี่เป็นสีทอง แต่กลับเปล่งสีแดงทั้งเล่ม ถูกอัคนีสามพลังหยางห้อมล้อมอย่างแน่นหนา
เมื่อเห็นฉากนี้ อาจารย์เต๋าหยวนมู่เลิกคิ้ว กล่าวกับเมี่ยวอิงหยวนจวินว่า “กระบี่แปรเป็นไร้สภาพ สหายเต๋าฉินท่านนี้มีความแข็งแกร่งไม่สามัญโดยแท้!”
กระบี่ของผู้ฝึกตนเดิมเป็นอาวุธเวท อาวุธเวททั้งหมดมีสภาพ เปลี่ยนวัตถุที่มีสภาพให้กลายเป็นไร้สภาพ ไม่เพียงต้องการระดับการฝึกตนอันสูงส่งลึกล้ำ ยิ่งต้องการความเข้าใจอันลึกซึ้งต่อแก่นแท้ของพลังวิญญาณ อย่างแรกช่างไปเถิด สำหรับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขึ้นไป การไปถึงข้อเรียกร้องนี้ไม่ยาก แต่อย่างหลัง หากมิใช่ผู้ที่มีความสามารถในการหยั่งรู้อันดีเลิศ รู้แจ้งมรรคาแห่งมนุษย์สวรรค์ จะทำไม่ได้เป็นอันขาด
เมี่ยวอิงหยวนจวินยิ้มเอ่ยว่า “หากมิใช่เช่นนี้ น้องจะชื่นชมสหายเต๋าฉินขนาดนี้ได้อย่างไร กระบี่แปรเป็นไร้สภาพ ทั่วทั้งอวิ๋นจง คาดว่ามีเพียงพวกเราเฒ่าชราไม่กี่คนนี้ที่กระทำได้ ทว่าสหายเต๋าฉินท่านนี้อายุแค่ประมาณสามร้อยปี……”
“อะไรนะ” ได้ยินวาจานี้แล้ว อาจารย์เต๋าหยวนมู่ตกตะลึง กระบี่แปรเป็นไร้สภาพก็ช่างเถิด อธิบายได้เพียงว่าสหายเต๋าฉินท่านนี้มีคุณสมบัติพูดคุยกับพวกเขาผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายไม่กี่คนนี้ได้อย่างเท่าเทียม แต่อายุของเขาแค่สามร้อยปี สำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางที่ค่อนข้างแข็งแกร่งคนหนึ่งก็น่าทึ่งอยู่บ้าง
เมี่ยวอิงหยวนจวินยังคงยิ้มบางกล่าวว่า “หยวนมู่ซือเกอ ท่านเป็นผู้ฝึกตนผู้มีพรสวรรค์ชั้นสูงสุดของอวิ๋นจง ตามที่น้องทราบมา ท่านเลื่อนขึ้นขั้นปลายก็เป็นเรื่องหลังจากห้าร้อยปีกระมัง? ส่วนน้องเทียบกับเต้าซยงแล้วยิ่งแย่ ยิ่งเจ็ดร้อยปีแล้วจึงเลื่อนขึ้นขั้นปลาย”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่สูดลมหายใจลึก ๆ ทอดมองฉินซี สายตาเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “พี่ยังนึกว่าในมหาทวีปนานา อวิ๋นจงเป็นที่ที่มาตรฐานการฝึกตนสูงที่สุด ดูจากวันนี้ กลับเป็นการดูเบาคนอื่นเขาเกินไป”
……………….
เวลาแปลเมี่ยวอิงเรียกตัวเองเป็นน้องแล้วรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล คำจีนคือ เสี่ยวเม่ย ที่แปลว่าน้องสาวคนเล็กเลยนะคะ ถ้าเป็นไทยก็คือเรียกตัวเองว่าน้องน้อยประมาณนี้เลย แต่มันยิ่งแอ๊บแบ๊วเกินจะรับได้อะ เลยตัดเหลือแค่ “น้อง” พอ ยิ่งได้รู้ว่ายายแกอายุอานามเกินเจ็ดร้อยไปแล้วด้วยเนี่ย…. ถามจริง ยังกล้าเรียกตัวเองว่าน้องน้อยไม่กระดากปากเลยนะยาย
พูดกันทั้งตอนไม่สู้กันสักที…..