หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 451 เข่นฆ่า
ตอนที่ 451 – เข่นฆ่า
“กระบี่แปรเป็นไร้สภาพ!” เหมยเฟิงก็ตกตะลึง ถึงเขาจะเป็นผู้ฝึกมาร แต่ถึงที่สุดแล้วเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ สายตายังมีอยู่ พอเห็นฝีมือนี้ก็ทราบว่าคนคนนี้ณานศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย ความตื่นตัวเพิ่มสูงขึ้นทันที
แต่ว่า ห้าสิบกว่าปีมานี้ เขายิ่งฝึกฝนมหาเวทปีศาจแรกเริ่ม ยิ่งรู้สึกว่าวิชามารนี้แกร่งกล้า วิชาเวทที่เขาฝึกฝนในอดีตเหล่านั้นไม่สามารถเทียบเคียงได้เลย ร่างกายยิ่งถูกปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มขัดเกลาจนทนทานไร้ที่เปรียบ เขาเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าถึงคนคนนี้จะมีณานศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย มหาเวทปีศาจแรกเริ่มของตนเองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพ่ายแพ้ต่อเขา!
คิดถึงตรงนี้ เหมยเฟิงร้องหึเสียงเย็นคำหนึ่ง เท้าไม่ขยับ แต่แม้แต่ร่างกายก็ละลายเข้าไปในหมอกดำ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ
ฉินซีไม่ขยับ แต่ปราณกระบี่ที่แปรสภาพมาจากกระบี่อัคนีสามพลังหยางของเขากลับแปรเปลี่ยนไม่หยุด ปราณกระบี่แปรจากหนึ่งเป็นสอง แปรจากสองเป็นสี่ แปรจากสี่เป็นแปด ถึงกับแปลงเป็นปราณกระบี่เช่นเดียวกันนับร้อยเส้นในพริบตา!
ปราณกระบี่เหล่านี้หมุนวนรอบตัวเขาด้วยความเร็วที่มีแบบแผน ก่อตัวเป็นม่านพลังกระบี่หนึ่งอัน ปราณกระบี่ทุกเส้นล้วนแผ่พลังสภาวะอันกล้าแข็ง
โม่เทียนเกอเห็นดังนี้แล้วจึงใช้ศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดคุ้มครองทั้งร่างกาย ในใจกลับมีความสุขยิ่ง ถึงแม้นางจะยังไม่ได้เลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ แต่ก็ดูออกว่าฝีมือรอบนี้ของฉินซีเป็นการฝึกฝนศาสตร์กระบี่ที่แนบมากับกระบี่อัคนีสามพลังหยางจนถึงขอบเขตที่สูงล้ำแล้วอย่างชัดเจน ณานศักดิ์สิทธิ์ที่เขาฝึกฝน ตัวมันเองเก่งกาจด้านทำลายล้าง เป็นที่รู้จักด้านพลังอำนาจ ปัจจุบันฝึกฝนศาสตร์กระบี่ของกระบี่อัคนีสามพลังหยางมาถึงขั้นนี้ ถึงแม้จะปะทะกับซงเฟิงซ่างเหรินก็มีกำลังที่จะต่อสู้ ส่วนเหมยเฟิงผู้นี้เห็นได้ชัดว่าฝึกมหาเวทปีศาจแรกเริ่มไม่ได้ลึกซึ้ง ห่างกันไกลกับซงเฟิงซ่างเหริน
พอเห็นม่านพลังกระบี่ของฉินซี สีหน้าของเหมยเฟิงในเมฆดำแปรเปลี่ยนกลับกลาย ตัดสินใจลงมือก่อนได้เปรียบทันที
พร้อมกับที่ปราณดำบนร่างเขายิ่งมายิ่งหนาแน่น บนเกาะน้อยเกิดลมพัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ลมนี้ยิ่งมายิ่งแรง มันนำพาปราณมารสีดำมาด้วย แม้แต่แสงสว่างก็ถูกบดบังไป
ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่บนเกาะน้อยพากันหน้าเปลี่ยนสี ถึงกับสามารถชักนำเมฆลมให้ปั่นป่วน ความแข็งแกร่งของเหมยเฟิงผู้นี้ก็ไม่สามัญ!
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ประมุขมารใหญ่ทั้งสามล้วนขมวดคิ้วแน่น สิ่งที่พวกเขาฝึกคือวิชามาร ดูออกไม่ยากว่าวิชามารชุดนี้สูงส่งถึงสิบส่วน ทั้งสามคนลอบเปรียบเทียบในใจตนเองว่าวิชามารของเหมยเฟิงนี้เทียบกับสิ่งที่ตนเองฝึกฝนยังสูงส่งกว่าหรือไม่?
“สหายเต๋าหยวนมู่ ความแข็งแกร่งของเหมยเฟิงผู้นี้ก็กล้าแข็งมาก การต่อสู้ครานี้น่าสนใจแล้ว!” บัณฑิตอวี๋เคาะพัดจีบในมือ พูดอย่างค่อนข้างสนอกสนใจ
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ยิ้มบาง ๆ ถามว่า “ในความเห็นของอวี๋เซียนเซิง พวกเขาสองคนใครจะชนะหรือ”
บัณฑิตอวี๋ลูบคาง สั่นศีรษะยิ้มเอ่ยว่า “หนึ่งเต๋าหนึ่งมาร ต่างมีทักษะเฉพาะตัว พูดได้ยาก” เอ่ยถึงระดับการฝึกตน ทั้งสองคนไม่เหลื่อมล้ำ เอ่ยถึงฝีมือ อันหนึ่งกระบี่แปรเป็นไร้สภาพ อันหนึ่งปราณมารคลุมฟ้า ต่างมีณานศักดิ์สิทธิ์
“อมิตาพุทธ!” อู๋หมิงเจินเจ่อเอ่ยเอื้อนนามพุทธองค์อย่างยิ้มแย้ม “สหายเต๋าสองท่านนี้ณานศักดิ์สิทธิ์ล้วนไม่สามัญ เกรงแต่ว่าจะพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย”
เมี่ยวอิงหยวนจวินได้ยินแล้วกลับกลอกตาหนึ่งรอบ เอ่ยว่า “น้องมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน”
“อ้อ?” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ถาม “เมี่ยวอิงซือเม่ยมีสามารถที่โดดเด่นเฉพาะตัวเสมอมา แต่ไม่ทราบว่าดูอะไรออก?”
เมี่ยวอิงหยวนจวินยิ้มบางเอ่ยว่า “การต่อสู้ครานี้ไม่ใช่การขอแลกเปลี่ยน ทว่าเป็นการต่อสู้ถึงชีวิต นี่เป็นสิ่งที่สหายเต๋าฉินเสนอออกมา”
บัณฑิตอวี๋ขยับสายตา เข้าใจบ้างแล้ว “เมี่ยวอิงซือเม่ยจะบอกว่า……”
“รูปการณ์ตรงหน้านี้ มิติเร้นลับทะเลกุยสวีจวนจะเปิด คู่เต๋านั้นของเขาตัวอยู่ในหมู่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่สหายเต๋าฉินกลับเลือกที่จะต่อสู้ถึงชีวิตกับผู้ฝึกตนร่วมระดับชั้น……หรือเขาไม่กลัวว่าหลังจากพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย คู่เต๋าของเขาจะโดดเดี่ยวไร้ผู้ช่วยเหลือ? ด้วยความเข้าใจที่น้องมีในช่วงเวลานี้ สหายเต๋าฉินผู้นี้ไม่ได้เป็นคนโง่”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทุกคนได้ฟังแล้ว ทั้งหมดพึมพำกับตัวเองไม่พูดจา
พูดอย่างนี้ สหายเต๋าฉินผู้นี้แปดส่วนคือมีความมั่นใจในการเข่นฆ่าเหมยเฟิงแล้ว?
ตอนที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายไม่กี่คนถกกัน ฉินซีและเหมยเฟิงขยับมือแล้ว
ปราณมารของเหมยเฟิงยิ่งสะสมยิ่งมาก ฉันพลันนั้นก็พุ่งเข้าหาฉินซี
คุณลักษณะของมหาเวทปีศาจแรกเริ่มคือตอนที่ต่อสู้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุภายนอกอย่างอาวุธเวท ปราณมารเป็นวิธีโจมตีที่แกร่งที่สุดของพวกเขา ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพวกนี้ทั้งรุกได้ทั้งรับได้ ฤทธิ์กัดกร่อนแกร่งยิ่ง หากถูกโจมตีเข้าก็จะรุกรานเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายได้ทุกช่องทาง ถึงเวลานั้น คนที่ถูกปราณมารกัดกร่อนจะทรมานจนไม่อยากมีชีวิต
ฉินซีกลับไม่ลนลาน ปราณกระบี่ที่แปรมาจากกระบี่อัคนีสามพลังหยางรอบร่างส่องแสงเจิดจ้าอย่างฉันพลัน แสงสีทองวูบวาบ แสงสีแดงบาดนัยน์ตา กลายเป็นมหาสมุทรแห่งแสงกระบี่ผืนหนึ่ง
“ตูม–” ม่านพลังกระบี่และปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มปะทะกัน ระเบิดเป็นคลื่นพลังวิญญาณอันกล้าแข็ง อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั้งหลาย แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ระดับการฝึกตนต่ำสักหน่อยล้วนรู้สึกจิตวิญญาณสั่นสะเทือน คนไม่น้อยสะพรึงอยู่ในใจ จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางถึงกับกล้าแข็งเช่นนี้ จิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นอย่างตนเองไยมิใช่ต่อกรอีกฝ่ายได้ไม่กี่อึดใจ?
อู๋หมิงเจินเจ่อเห็นดังนี้ ปัดจีวรหนึ่งที คุ้มครองผู้เยาว์ก่อเกิดตานทั้งหลายอีกรอบ วิชาเวทที่เขาฝึกฝนอ่อนโยนทว่าเก่งด้านป้องกัน กระทำเรื่องประเภทนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว
เมื่อถูกแสงสีทองของอู๋หมิงเจินเจ่อปกคลุม โม่เทียนเกอรู้สึกซาบซึ้งในใจ คารวะให้อีกฝ่ายหนึ่งครั้งแสดงถึงความรู้สึกขอบคุณ ถึงแม้ว่าอู๋หมิงเจินเจ่อท่านนี้กับอาจารย์เต๋าหยวนมู่และพวกจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่ในรายละเอียดแล้วให้การดูแลนางค่อนข้างมาก เป็นสิ่งที่ค่อนข้างหาได้ยาก
“ฉิน……สหายเต๋าโม่” ข้างหูมีเสียงดังขึ้น กลับเป็นหลิงอวิ๋นเฮ่อ ก่อนหน้านี้เหมยเฟิงลงมือกะทันหัน ต่อด้วยฉินซีมาถึง เขาถูกพลังสภาวะของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางสองคนกดดัน ไม่อาจขยับเขยื้อน จนกระทั้งถึงขณะนี้ โม่เทียนเกอถอยไปด้านข้างจึงมีโอกาสได้พูดคุยกับนาง
“ที่แท้ชื่อแซ่ก่อนหน้านี้ของสหายเต๋าโม่มาจากตรงนี้เอง ภายหลังกลับไม่สะดวกจะเรียกขานแล้ว” หลิงอวิ๋นเฮ่อทอดมองนาง รอยยิ้มซับซ้อนอยู่บ้าง
โม่เทียนเกอเห็นฉินซีปลอดโปร่งภายใต้การโจมตีของเหมยเฟิง วางใจได้เล็กน้อย จึงตอบว่า “ไม่ปิดบังสหายเต๋าหลิง นามเต๋าในสำนักอาจารย์ของจ้ายเซี่ยคือชิงเวย หลังมาถึงอวิ๋นจงจึงแปลงง่าย ๆ เป็นฉินเวย แซ่นี้กลับเป็นเรื่องบังเอิญ”
“เช่นนั้นหรือ” หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มบาง ๆ ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก เงยหน้าขึ้นจับจ้องสองคนต่อสู้กันเช่นเดียวกับนาง
ทุกครั้งที่ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของเหมยเฟิงโจมตีมาถึงล้วนถูกม่านพลังกระบี่ของฉินซีสกัดไว้ เหมยเฟิงไม่อาจทำอันใดเขาได้เลย แต่ทว่า พร้อมกับที่สองคนต่อสู้กัน ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพวกนี้กลับกระจายออกไปเป็นเส้นใยช้า ๆ พัวพันล้อมรอบปราณกระบี่ของฉินซี
หลิงอวิ๋นเฮ่อขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “สหายเต๋าโม่ ปราณมารนี้ไม่ธรรมดา หากปราณกระบี่ถูกกัดกร่อน……”
โม่เทียนเกอก็กังวลใจเช่นเดียวกัน แต่นางกลับเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ซือเกอจะต้องมีหนทาง……”
หลายครั้งหลังจากนั้น ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่ห้อมล้อมปราณกระบี่ของฉินซียิ่งมายิ่งมา ปราณดำพวกนี้ล่องลอยล้อมรอบปราณกระบี่ ถึงขนาดทำให้ประกายแสงของปราณกระบี่สลัวลงมาก
เหมยเฟิงเห็นดังนั้น หัวเราะฮา ๆ ดังลั่น “สหายเต๋าฉิน ปราณมารนี้ของข้าไม่ใช่ปราณมารทั่วไป หากข้าทำลายปราณกระบี่ของท่าน ดูซิว่าท่านจะยังสามารถทำอันใด!”
ฉินซีขมวดคิ้วนิด ๆ ถัดจากนั้นกลับยิ้มเย็น “อาศัยปราณมารนี้อย่างเดียวก็คิดจะทำลายปราณกระบี่ของข้า? ไร้เดียงสา!” พูดจบ แขนของเขาจู่ ๆ มีแสงไฟพุ่งออกมา แต่แสงไฟนี้กลับไม่เป็นสีแดงอย่างอัคนีสามพลังหยางของเขา ทว่าเป็นสีฟ้าจางเย็น ๆ ชนิดหนึ่ง
เปลวเพลิงพุ่งออกมาจากแขนของเขา ครอบคลุมปราณกระบี่ทั้งหมดในพริบตา เปลวเพลิงสีฟ้าคืบคลานไปบนตัวกระบี่อย่างเชื่องช้า จากสีฟ้าจางจากเป็นสีฟ้าอ่อน แล้วเป็นฟ้าเข้ม
ถัดจากนั้น เหมยเฟิงหน้าเปลี่ยนสีทันควัน! เปลวเพลิงฟ้าพวกนี้ถึงกับกลืนกินปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของเขาที่ล่องลอยอยู่รอบปราณกระบี่จนหมดเกลี้ยง!
“ท่าน–” เขาไม่อยากจะเชื่อ เป็นไปไม่ได้ พลังการกัดกร่อนของปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม เขาเคยเห็นมากับตา! ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ทนทานขนาดไหน ขอเพียงถูกปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มกลืนกินก็จะถูกกัดกร่อนไปช้า ๆ ไม่มีข้อยกเว้น!
ตอนที่เขายังคิดไม่เข้าใจ ฉินเก็บเพลิงสีฟ้ากลับแล้ว ยกแขนขึ้น ม่านพลังกระบี่ส่องแสงเจิดจ้า ขยายตัวออกมาอีกรอบทีละนิ้ว ๆ!
ก่อนหน้านี้ ม่านพลังกระบี่ของเขามีปราณกระบี่เป็นร้อยเส้นแล้ว ทว่าขณะนี้ หนึ่งกลายเป็นสอง สองกลายเป็นสี่ ถึงกับทำให้คนนับไม่ถ้วนแล้ว!
ปราณกระบี่พวกนี้กระจายตัวออกไปในอากาศ ราวกับมหาสมุทรสีทอง พลังแผ่ไพศาล แทบจะทำให้คนรู้สึกว่าตนเองจะถูกครอบงำในวินาทีถัดไป!
ฉินซีจี้ศาสตร์เวท ตะโกนหนึ่งคำ “ไป!” ปราณกระบี่ถาโถมไปทางเหมยเฟิงอย่างครอบฟ้าคลุมดิน
เหมยเฟิงร้องหึเสียเย็นคำหนึ่ง ปราณมารผันผวน ปกป้องตนเองอย่างมิดชิด
พลังสภาวะของปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มห่างไกลกับม่านพลังกระบี่ของฉินซี แต่ว่า ตอนที่ม่านพลังกระบี่เผชิญกับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มกลับยากจะรุกเข้าไปอีกสักนิ้ว!
“อย่างนี้ก็คิดจะเข่นฆ่าเปิ่นจั้ว เพ้อฝัน!” เสียงของเหมยเฟิงดังออกมาจากในเมฆดำ
ฉินซีกลับยิ้มเย็นชา ทันใดนั้น มีแสงกระบี่หลายเส้นพุ่งออกมาจากแขนของเขาอีกรอบ กลับเป็นม่านพลังกระบี่ที่เล็กยิ่งกว่าชุดหนึ่ง ม่านพลังกระบี่ขนาดเล็กนี้ไม่ได้มีพลังสภาวะอันยิ่งใหญ่แบบอันก่อน แล้วก็ไม่ได้มีประกายแสงอันบาดนัยน์ตา ทว่าเป็นสีฟ้าจาง เหินบินไปทางเหมยเฟิงอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
“อั๊ก– ฉึก–” เสียงแผ่วเบาสองเสียงดังขึ้นต่อ ๆ กัน แสงกระบี่สีฟ้าหลายเส้นพุ่งออกมาจากแขนของฉินซีแทงเข้าไปในเมฆดำในเวลาไม่ถึงอึดใจ
“อ๊าก–” ในเมฆดำมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น เหมยเฟิงร้องเสียงโกรธเกรี้ยวว่า “เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นไปไม่ได้!” ร่างกายปีศาจแรกเริ่มของเขาถึงกับถูกแทงทะลุ เป็นไปได้อย่างไร?
เขากำลังจะรวบรวมปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มผลักดันปราณกระบี่พวกนี้ออกไป แต่ทว่าถัดจากนั้น ความรู้สึกเจ็บแปลบแสบร้อนอย่างฉับพลันได้ครอบงำเขาในพริบตา
“ตูม–” ปราณดำที่ลุกไหม้หนึ่งก้อนตกลงมา เปลวเพลิงสีฟ้าจางกลินกินปราณดำทีละนิดอย่างช้า ๆ สุดท้ายแม้แต่คนข้างในก็เผาไหม้จนสิ้นซาก มีเพียงกระเป๋าเอกภพหนึ่งใบตกออกมา
ฉินซีผ่อนลมหายใจ ยกแขนขึ้น ปราณกระบี่ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่ง สุดท้ายยังคงกลายเป็นกระบี่อัคนีสามพลังหยาง กลับคืนสู่ร่างกายของเขา
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ บนเกาะน้อยเงียบกริบไปชั่วขณะ
สายตาของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ล้วนไม่ต่ำทราม พวกเขาล้วนดูออกว่ากุญแจสู่ชัยชนะของฉินซีก็คือเปลวเพลิงสีฟ้าอันแกร่งกร้าวนั้น! และสิ่งของนี้ พวกเขาถึงกับไม่รู้จักสักคน
“สหายเต๋าฉินฝีมือดีนัก!” ผู้ที่มีปฏิกิริยาเป็นคนแรกสุดคือเมี่ยวอิงหยวนจวิน นางยิ้มบาง ๆ สะบัดแส้ปัด ส่งกระเป๋าเอกภพของเหมยเฟิงไปถึงมือของฉินซี กล่าวว่า “แต่ไม่ทราบว่านี่เป็นณานศักดิ์สิทธิ์อะไรของสหายเต๋าฉิน?”
ฉินซีรับกระเป๋าเอกภพ ตอบว่า “นี่เป็นอาวุธเวทคู่ชีพของจ้ายเซี่ย กระบี่อัคนีสามพลังหยาง”
“เช่นนั้นหรือ” เมี่ยวอิงหยวนจวินถามอีกว่า “เปลวเพลิงสีฟ้านั่นเป็นวัตถุใดอีกเล่า? แกร่งกร้าวถึงขีดสุดจริง ๆ”
ฉินซียิ้มบาง ๆ ตอบว่า “นั่นเป็นณานศักดิ์สิทธิ์ที่จ้ายเซี่ยหยั่งรู้ได้ตอนที่ผูกจิตวิญญาณ ไฟแท้สุดหยาง ปัจจุบันนี้เป็นเพียงความสำเร็จเล็ก ๆ ทำให้สหายเต๋าเมี่ยวอิงหัวเราะแล้ว”
เมี่ยวอิงหยวนจวินยังอยากจะพูดอะไรอีก จู่ ๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งกังวานใสดังมาจากกลางอากาศ
เสียงกระดิ่งนี้ดังมาตามลม ราวกับอยู่ไกลโพ้น แต่ปรากฏขึ้นในหูของทุกผู้คนอย่างชัดเจน
เมี่ยวอิงหยวนจวินหยุดการสนทนา ยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าหม่าในที่สุดก็มาแล้ว”
โม่เทียนเกอได้ยินวาจานี้แล้วก็เงยหน้าทอดมอง กลับเป็นชายชราผอมแห้งคนหนึ่งขี่ลามากลางอากาศ