หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 452 ความรู้สึกหลังจากลา
ตอนที่ 452 – ความรู้สึกหลังจากลา
เสียงกระดิ่งดังจากไกลเป็นใกล้ “ติงตัง ๆ” กังวานใสเสนาะหู พอได้ฟังแล้วเพียงรู้สึกใจผ่อนคลายสติเบิกบาน จิตสมาธิเมามายสิ้น
ฉินซีกลับหันหน้ากลับมาทันควัน กล่าวกับนางว่า “ตั้งสมาธิกำหนดจิต!”
โม่เทียนเกอพอฟังก็เข้าใจขึ้นมาทันที พอได้ยินเสียงกระดิ่งนี้ จิตสมาธิของตนเองก็ถูกชักจูงไปอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ นี่น่าจะเป็นอาวุธเวทประเภทเสียงขั้นสูงชิ้นหนึ่ง แต่ว่า อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีเลย แค่ต้องให้ความสนใจบ้างก็จะไม่เป็นอุปสรรคใหญ่โตอะไรแล้ว
พร้อมกับเสียงกระดิ่งกังวานใส ชายชราที่ขี่ลามาคนนั้นดูเหมือนจะเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ แต่ว่ามาถึงเบื้องหน้าในพริบตา
ชายชรานี้ผอมแห้งถึงสิบส่วน สวมชุดเต๋าสีน้ำเงินเข้มที่ยับยู่ยี่ เกล้ามวยเต๋า ผมเผ้าหนวดเคราสีดอกเลา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่ยิ้มจนตาหยี เขาขี่ลา สะพายน้ำเต้า แกว่งแส้เรียวยาวพลางฮัมเพลงอย่างสนุกสนาน แต่ไม่รู้ว่าร้องเพลงอะไร
ด้านรูปลักษณ์ภายนอก ชายชราผอมแห้งนี้ดูเหมือนพรตเฒ่าปุถุชนที่ทำนายดวงชะตาเลี้ยงปากท้อง แต่คนบนเกาะน้อยกลับไม่มีสักคนที่กล้าดูเบาเขา เพราะว่านี่เป็นอีกหนึ่งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย แม้กระทั่งลาตัวนั้นที่เขาขี่ก็เป็นอสูรวิญญาณขั้นแปด!
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอได้เห็นอสูรวิญญาณขั้นแปดข้างกายผู้ฝึกตน อสูรวิญญาณเลี้ยงดูไม่ง่าย แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ การที่สามารถเลี้ยงดูจนถึงขั้นหกขั้นเจ็ดก็ยากอย่างยิ่งแล้ว เลื่อนถึงขั้นแปด นั่นเทียบเท่ากับระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นของมนุษย์ ขั้นแปดเป็นด่านกั้นหนึ่งด่านของอสูรวิญญาณ ด่านนี้เทียบกับการผูกจิตวิญญาณของมนุษย์แล้วไม่ได้ง่ายดายกว่าสักกี่มากกี่น้อย
“สหายเต๋าหม่า ใต้เท้ามาช้าไปหน่อยนะ” เมื่อคนผู้นี้ทิ้งตัวลงมา อาจารย์เต๋าหยวนมู่ก็นำหน้าไปต้อนรับ ทักทายด้วยรอยยิ้ม
ชายชรานี้ลงจากหลังลา สะบัดแส้เบา ๆ ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “รบกวนสหายเต๋าทั้งหลายให้รอแล้ว โชคดีที่ข้าผู้เฒ่าไม่ได้มาสาย”
ตอนที่พวกเขาคุยทักทายกัน ฉินซีกลับมาถึงข้างกายโม่เทียนเกอแล้ว
“ผู้นี้คือ……” เขามองหลิงอวิ๋นเฮ่อที่อยู่ข้างกายโม่เทียนเกอ ใบหน้าเผยคำถาม
โม่เทียนเกอยังไม่ทันเปิดปาก หลิงอวิ๋นเฮ่อก็ยกมือขึ้นคำนับแล้ว “ผู้เยาว์หลิงอวิ๋นเฮ่อศิษย์สำนักจิ่วเยี่ยน น้อมพบผู้อาวุโสขอรับ” ถึงแม้ระดับการฝึกตนจะสู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ถ่อมตัวไม่ได้เย่อหยิ่ง
ฉินซียิ้มบาง ๆ คำนับกลับ เพียงแต่ไม่ได้แจ้งนาม ต่อหน้าหลิงอวิ๋นเฮ่อ เขาเป็นผู้อาวุโส เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หลิงอวิ๋นเฮ่อหันหน้าไปมองโม่เทียนเกอ ยิ้มให้ทั้งสองคนเอ่ยว่า “สหายเต๋าโม่ พวกท่านสามีภรรยาได้พบกันอีกครา ข้าไม่รบกวนแล้ว มีธุระค่อยทักทายกันใหม่”
โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
หลิงอวิ๋นเฮ่อหมุนตัวเดินไปสองก้าว จู่ ๆ หยุดชะงัก หันหน้ากลับมาเอ่ยว่า “จริงสิ สหายเต๋าโม่ การท่องหุบเขาไร้กังวลในอดีต ข้าเคยมอบป้ายคำสั่งแทนคุณหนึ่งป้ายให้ท่าน ปัจจุบันนี้ผู้แซ่หลิงปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว ป้ายคำสั่งแทนคุณนั่น……”
โม่เทียนเกอตะลึง แล้วจึงคิดขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องนี้ นางล้วงป้ายคำสั่งแทนคุณที่ถูกนางลืมเลือนไปแล้วป้ายนั้นออกจากกระเป๋าเอกภพ ยิ้มเอ่ยว่า “ขออภัยจริง ๆ สิ่งนี้ถูกข้าลืมไปแล้ว”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้ม ๆ รับป้ายคำสั่งแทนคุณมา ไม่พูดอะไรทั้งนั้น หันหลังจากไป
ฉินซีทอดมองแผ่นหลังของเขา ตกอยู่ในห้วงคิด
“ทำไมหรือ” โม่เทียนเกอรู้สึกพิกล พวกเขาสองคนน่าจะไม่รู้จักกันกระมัง?
“ไม่มีอะไร” ฉินซีพูดผ่าน ๆ ในเมื่อนางไม่ตระหนัก เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดออกมา
ตั้งแต่มาถึงเกาะน้อยจนถึงเข่นฆ่าเหมยเฟิง ในระหว่างนั้นไม่เคยได้หยุดพัก ตอนนี้ทั้งสองคนจึงมีโอกาสมองอีกฝ่ายโดยละเอียด เมื่อเห็นกับตาว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกออยู่ที่ก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว ทั่วทั้งร่างไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ฉินซีจึงปล่อยวางหินก้อนใหญ่ในใจลง กุมมือของนาง ถอนหายใจเอ่ยว่า “สรุปว่าเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเส้นทางใต้ทะเลที่มาอวิ๋นจงถึงพังได้เล่า แล้วทำไมตอแยผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ได้ ถึงกับถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางคนหนึ่งไล่สังหาร หากข้ามาช้าไปหนึ่งก้าวจะทำเช่นไร”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบทันที คำถามเหล่านี้ บอกได้ไม่ชัดเจนในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว อีกประการ ตอนนี้นางไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ กลับเป็นฉินซี ลักษณะเช่นนี้ของเขาเห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องขึ้น นางเอ่ยว่า “เรื่องพวกนี้ไว้ค่อย ๆ พูด ซือเกอพูดเรื่องท่านก่อนเถอะ ทำไมท่านมาอวิ๋นจงเล่า ยังมี ทำไมตอนนี้กลายเป็นสภาพนี้ไปได้ หลายปีก่อนข้าสัมผัสสะท้อนได้ถึงสาบานเลือด เป็นเพราะท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ อาการบาดเจ็บของท่านเล่า หายดีแล้วหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถามของนาง ฉินซียิ้ม ลูบใบหน้าของนาง “ไม่เป็นไร อาการบาดเจ็บของข้าหากไม่หายดีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารผู้ฝึกมารนั่นแล้ว” เขาเอ่ย “เจ้าไปทีก็ห้าสิบปี ไร้ข่าวสารสักนิด ข้าจะไม่กังวลใจได้อย่างไร แรกเริ่ม ข้าเคยสัมผัสสะท้อนได้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ยังคิดว่าเจ้าอาจจะต้องการเวลารักษาบาดเจ็บจีงไม่ได้กลับมา แต่สามสิบปีผ่านไป ข้าออกจากการกักตนแล้ว เจ้ายังไม่ได้กลับมา เวลานั้นข้ากังวลใจว่าเจ้าเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ ภายหลังสืบเสาะไปตามแผนที่ที่เจ้าทิ้งเอาไว้ แต่ผลคือกลับค้นพบว่าเส้นทางนั้นพังทลายไปแล้ว ไม่อาจเดินทางผ่าน จึงได้รู้ว่าเพราะอะไรเจ้าไม่ได้กลับมา”
โม่เทียนเกอถอนหายใจ “หากมิใช่เส้นทางพังทลาย ข้าก็กลับไปแต่แรกแล้ว ข้ามาถึงอวิ๋นจงไม่นานก็พบกับเหมยเฟิงผู้นั้น เขาเป็นเจ้าเมืองของเมืองซิงลั่วแดนมาร ไม่รู้ว่าไปได้มหาเวทปีศาจแรกเริ่มมาจากไหน หลอกลวงผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบกว่าคนมาช่วยเขาฝึกฝนวิชามาร ผลคือเป็นเพราะข้าจึงล้มเหลวในก้าวสุดท้าย ภายหลังเมืองซิงลั่วของเขายังถูกเจ้าเมืองเย่เซียวทำลาย ตอนนั้นข้าก็ได้รับบาดเจ็บจากเขา ได้แต่หลบเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนรักษาบาดเจ็บ เสียเวลาไปสิบปีจึงทำให้ระดับเสถียรได้ ต่อจากนั้น เจดีย์มารสวรรค์หนึ่งในห้าวัตถุศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นจงปรากฏสู่โลก ทั่วทั้งอวิ๋นจงตกสู่ความปั่นป่วน ข้าเดิมวางแผนจะจากไป ผลคือกลับค้นพบว่าเส้นทางพังแล้ว”
“ที่แท้ปีนั้นเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บจากเขา!” ฉินซีขมวดคิ้ว เหลือบมองศพของเหมยเฟิงที่ถูกเผาเป็นตอตะโก เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เช่นนั้นข้าเข่นฆ่าคนคนนี้ก็ไม่นับว่าผิด!”
เหมยเฟิงผู้นี้ ถึงฉินซีจะไม่มา รอจนตัวนางเองมีความแข็งแกร่งก็ต้องสังหาร หากไม่ใช่เพราะว่าได้รับบาดเจ็บจากเขา นางก็จะไม่ต้องรั้งอยู่ที่อวิ๋นจงนานขนาดนี้ ผลคือเกาะหนานจี๋จมลง อยากจะกลับก็กลับไม่ได้
แต่ว่า คนคนนี้ตายแล้ว โม่เทียนเกอก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงมาก นางถามอีกว่า “ซือเกอ เช่นนั้นท่านมาที่อวิ๋นจงได้อย่างไรเล่า หรือว่าข้ามทะเลใต้มา”
“ไม่อย่างนั้นยังสามารถทำเช่นไร” ฉินซีเอื้อมมือไปลูบผมของนาง “สัมผัสสะท้อนได้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ถึงข้าจะกังวล แต่เชื่อมั่นว่าตัวเจ้าเองสามารถจัดการ อีกทั้งตอนนั้นข้ากำลังกักตนถึงจุดวิกฤต ไม่อาจแยกร่าง แต่ภายหลังค้นพบว่าเส้นทางนั้นพังลง ด้วยระดับการฝึกตนของเจ้า ไม่อาจข้ามทะเลใต้กลับมา อยากจะข้ามทะเลใต้ ต้องผูกจิตวิญญาณ แต่เรื่องการผูกจิตวิญญาณจะบอกให้แน่ชัดได้อย่างไรเล่า ข้าคิดไปคิดมา ได้แต่มารับเจ้าที่อวิ๋นจง”
“เช่นนั้นอาการบาดเจ็บของท่าน……”
“บอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าไม่เป็นไรแล้ว” ฉินซีเอ่ยปลอบ “หลังจากข้าค้นพบว่าเส้นทางพังทลายก็ตัดสินใจจะมาอวิ๋นจงด้วยตัวเอง แต่ว่า ถามความเห็นของซือฟุแล้ว ซือฟุเชื่อว่า ณานศักดิ์สิทธิ์ของข้าถึงจะมีความสำเร็จขั้นเล็กแล้ว แต่ระดับการฝึกตนยังต่ำ ทะเลใต้ช่างอันตราย ตัวข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกมั่นใจอะไร จึงตัดสินใจเลื่อนระดับการฝึกตนขึ้นก่อนค่อยว่ากัน” เขายิ้มเอ่ยว่า “ก่อนที่เจ้าจะจากไปได้ทิ้งโอสถไว้มากขนาดนั้น อาศัยโอสถเหล่านี้ ข้าจึงสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นกลางในคราเดียว”
ฟังถึงตรงนี้ โม่เทียนเกออดรู้สึกโชคดีไม่ได้ ยังดีที่ปีนั้นนางทิ้งโอสถที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ใช้พวกนั้นไว้ทั้งหมด ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านางต้องเสียเวลากี่ปีจึงสามารถเลื่อนระดับ คนทั้งสองก็ไม่รู้ว่ายังต้องกี่ปีจึงสามารถพบหน้ากัน
“เมื่อข้าเลื่อนขึ้นขั้นกลาง เจ้ายังไม่กลับมา ข้าก็ตัดสินใจออกเดินทางมาอวิ๋นจง ทะเลใต้อันตรายจริง ๆ ข้าเสียเวลาไปมากมาย นึกเอาเองว่าเตรียมตัวครบถ้วนแล้ว ผลคือยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนข้ามทะเล”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้……” การข้ามทะเลใต้ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งยวดเสมอมา แม้จะเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายก็ไม่สามารถรับประกันว่าจะปลอดภัยแน่นอน
“โชคดีนัก ในที่สุดข้าก็มีชีวิตรอดมาถึงอวิ๋นจง แต่ว่า ตอนที่ข้ามทะเลกลับสูญเสียกระเป๋าเอกภพไปหนึ่งใบ ในกระเป๋าเอกภพใบนั้นบรรจุโอสถและของจิปาถะจำนวนมาก ก็เพราะเหตุนี้ เวลารักษาบาดเจ็บของข้าจึงถ่วงช้าไป”
“อา!” ถึงแม้เขาจะยืนอย่างสบายดีอยู่ตรงหน้า โม่เทียนเกอยังจิตใจเต้นระทึก “เช่นนั้นอาการบาดเจ็บของท่าน……”
ฉินซียิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร สาเหตุหลักคืออสูรทะเลของทะเลใต้ร้ายกาจเกินไป ทำร้ายร่างกายของข้าอย่างหนัก ตานเถียนและชีพจรปราณไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงเลย” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “มีอาการบาดเจ็บบนตัว ข้าได้แต่หาสถานที่พักเท้ารักษาบาดเจ็บดี ๆก่อน เสียเวลาไปหลายปี ในที่สุดฟื้นฟูระดับการฝึกตนขึ้นมา แต่ร่างกายกลับย่ำแย่ลงมากมาย หากมิใช่ข้าเคยฝึกฝนวิชากายาพิสุทธิ์ เกรงแต่ว่าสั้น ๆ ไม่กี่ปีจะไม่อาจฟื้นฟูระดับการฝึกตนได้เลย”
“ดังนั้นท่านจึงกลายเป็นสภาพอย่างตอนนี้?” ฟังถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอถึงนับว่าวางใจลง สำหรับผู้ฝึกตน ขอเพียงตานเถียนและชีพจรปราณปลอดภัย การบาดเจ็บทางกายเนื้อฟื้นฟูหน่อยก็จะหายดี
ฉินซีผงกศีรษะ “มิผิด หลังจากอาการบาดเจ็บหายดีเป็นส่วนใหญ่ ข้าก็เสาะหาตำแหน่งของเจ้าพลางเสาะหาโอสถที่เหมาะสมพลาง แต่เจ้าไม่ได้ใช้ชื่อเยี่ยเสี่ยวเทียนและโม่เทียนเกอทั้งสองชื่อ ข้าหาร่องรอยไม่เจอไปชั่วขณะ ภายหลัง ข้าค้นพบป้ายคำสั่งที่ให้เสาะหา ‘ฉินเวย’ ของสำนักหนึ่งจากในมือศิษย์ของสำนัก เห็นภาพของเจ้าจึงทราบว่าเจ้าเปลี่ยนชื่อ แต่ฉินเวยคนนี้กลับหายสาบสูญไปหลายปีแล้ว สำนักใหญ่ของอวิ๋นจงเหล่านี้ล้วนหาไม่เจอ แล้วข้าจะไปเสาะหาจากแห่งหนใดเล่า”
ฟังถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “ซือเกอ ในเมื่อท่านมาอวิ๋นจงแล้ว เหตุใดไม่ใช้เครื่องรางสื่อสารติดต่อกับข้าเล่า”
ฉินซียิ้มขื่น “ในกระเป๋าเอกภพที่ข้าเสียไปเก็บเครื่องรางสื่อสารเอาไว้”
โม่เทียนเฉี่ยวตะลึง ถอนหายใจอย่างจนใจ “ทำไมบังเอิญขนาดนี้”
หากตอนนั้นติดต่อเขาได้ นางจะต้องไม่เลือกมายังทะเลกุยสวีตอนนี้ สาเหตุที่เลือกมาทะเลกุยสวีตอนนี้ก็เพื่อให้ได้รับวาสนาจากในนั้น เลื่อนระดับขึ้นจิตวิญญาณใหม่ให้สำเร็จ แล้วกลับไปเทียนจี๋ ถ้าหากทั้งสองคนพบกันตอนนั้น นางจะเลือกหนทางที่ปลอดภัยกว่าในการพุ่งโจมตีจิตวิญญาณใหม่ เมื่อขึ้นจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ ทะเลใต้เขาก็เคยผ่านมารอบหนึ่งแล้ว และยังไปหาเนี่ยอู๋ชางขอยืมอาวุธเวทข้ามทะเล ถึงเวลานั้น ภยันตรายของการกลับเทียนจี๋ก็จะน้อยลงมากมาย
ส่วนสถานที่ลับทะเลกุยสวีนี้ รอจนพวกเขาสองคนมีความแข็งแกร่งเพียงพอค่อยกลับมาอีกก็ไม่สาย
แต่ตอนนี้กลับไม่อาจหันหลังกลับแล้ว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากขนาดนี้อยู่ที่นี่ ได้แต่เข้าสถานที่ลับแล้วค่อยว่ากัน
แต่ว่า เมื่อคิดถึงว่าตนเองมีซือฟุอย่างฝูเหยาจื่อชี้แนะอยู่ข้าง ๆ ปัจจุบันยังมีผู้ช่วยเหลืออย่างฉินซี ความมั่นใจสูงกว่าเดิมมาก
“ท่านนี้คือสหายเต๋าฉินหรือ” จู่ ๆ มีเสียงดังขึ้นด้านข้าง
ทั้งสองหันหน้าไปมอง กลับเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแซ่หม่าที่ขี่ลาคนนั้น ขณะนี้ยิ้มจนเห็นฟันไม่เห็นตามองพวกเขา
นี่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย ทั้งสองคนล้วนคารวะอย่างสุภาพ ฉินซีเอ่ยว่า “เป็นผู้แซ่ฉินเอง น้อมพบสหายเต๋าท่านนี้”
“ฮี่ ๆ” ชายชราผอมแห้งคนนี้ลูบไล้เคราหร็อมแหร็ม เอ่ยว่า “สหายเต๋าฉินช่างมีความสามารถ ข้าผู้เฒ่าสัมผัสได้ถึงพลังของอาวุธเวทสหายเต๋าฉินตั้งไกล โดยเฉพาะณานศักดิ์สิทธิ์สุดท้าย เรียกว่าไฟแท้สุดหยางหรือ พลังของไฟนี้เป็นสิ่งที่ข้าผู้เฒ่าเพิ่งพบเห็นในชีวิตโดยแท้”
“เอ่อ……ขอบคุณคำชมของสหายเต๋ามาก”
“อ้อ จริงสิ” ชายชรานี้ราวกับเพิ่งคิดได้ “ยังไม่ได้แนะนำตัวกับสหายเต๋าฉินเลย ข้าผู้เฒ่าแซ่หม่า เนื่องจากอยู่กับลาตลอดทั้งปี ด้วยเหตุนี้สหายเต๋าที่คุ้นเคยล้วนเรียกข้าผู้เฒ่าเล่น ๆ ว่าลาเฒ่าหม่า”
……………….
แซ่หม่าของตาเฒ่านี่แปลว่า ม้า ค่ะ