หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 453 ข้อตกลงล่วงหน้า
ตอนที่ 453 – ข้อตกลงล่วงหน้า
ลาเฒ่าหม่า
โม่เทียนเกออดเม้มปากยิ้มไม่ได้
นางเคยเห็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายไม่น้อย ในนั้ันมิใช่ไม่มีผู้ที่ใจดีเป็นมิตรและสนิทสนมด้วยง่าย แต่อย่างลาเฒ่าหม่าที่อยู่เบื้องหน้าท่านนี้ซึ่งไม่สนใจการวางท่าเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสักนิดและล้อเลียนชื่อของตนเอง ยังไม่เคยพบจริง ๆ
ฉินซีก็ตะลึงไปหน่อยแล้วจึงเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นสหายเต๋าหม่า”
ลาเฒ่าหม่าหัวเราะฮี่ ๆ แล้วหันไปทางโม่เทียนเกอ “กูเหนียงน้อยคนนี้ก็คือคนที่กระบี่ฝูเซิงยอมรับเป็นนายหรือ”
โม่เทียนเกอเก็บรอยยิ้ม คารวะแล้วเอ่ยว่า “น้อมพบผู้อาวุโส”
“ไม่ต้องเคร่งครัดขนาดนี้” ลาเฒ่าหม่ายิ้มตาหยี “กูเหนียงน้อยสามารถได้รับการยอมรับของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ ข้าผู้เฒ่าอิจฉาจริง ๆ!”
เมื่อได้ฟังวาจานี้ โม่เทียนเกออดถามมิได้ว่า “หรือว่าผู้อาวุโสหม่าก็เป็นผู้ที่ชื่นชมผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อด้วย?”
“ฮี่ ๆ” ลาเฒ่าหม่าเอ่ย “ผู้ฝึกตนอิสระที่ฝึกเต๋าในอวิ๋นจงเรามีกี่คนที่ไม่ชื่นชมผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ? ก่อนที่ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อจะจากโลกไปในปีนั้น ได้เอาประสบการณ์ฝึกตนจำนวนมากเผยแพร่สู่โลก พฤติการณ์เช่นนี้ ผู้ใดจะไม่นับถือ? ผู้ฝึกตนอิสระของอวิ๋นจงเราได้รับประโยชน์จากผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อมากมาย”
โม่เทียนเกอคิดขึ้นได้ว่า หลิงอวิ๋นเฮ่อเคยพูดว่าในผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายมีท่านหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ดูท่าจะเป็นผู้อาวุโสหม่าท่านนี้
นางเอ่ยชมว่า “ผู้อาวุโสใช้ร่างของผู้ฝึกตนอิสระฝึกจนถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือคนเช่นกัน”
“ห่างกันไกลนัก ๆ!” ลาเฒ่าหม่าโบกมือ “อย่าว่าแต่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายกับแปลงเทพห่างกันราวกับมีหุบเหวกั้น แม้แต่ตอนที่ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่ออยู่ระดับจิตวิญญาณใหม่ก็สูงส่งกว่าข้าผู้เฒ่ามากนัก”
สีหน้าของลาเฒ่าหม่าตอนที่พูดเป็นธรรมชาติถึงสิบส่วน ไม่มีแววทะนงตนสักนิด ราวกับเปล่งออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ตอนนี้โม่เทียนเกอยอมรับฝูเหยาจื่อเป็นอาจารย์แล้ว อีกฝ่ายนับถือซือจุนของตนเองขนาดนี้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกดี ๆ
“อ้อ ได้ยินว่าพวกเจ้าสองคนได้พบกันใหม่หลังพรากจากกันนาน คิดว่ามีวาจามากมายอยากจะพูด ข้าผู้เฒ่ามาเพื่อทักทาย ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว” พูดจบก็โบกมือ จูงลาเดินจากไป
โม่เทียนเกอกับฉินซีเห็นดังนี้ อดยิ้มให้แก่กันไม่ได้
ลาที่ลาเฒ่าหม่าจูงอยู่ในมือตัวนี้ดูเหมือนไม่แตกต่างกับลาทั่วไป แต่มีกีบสีขาวหิมะ ตาดุจหยกเขียว เห็นได้ชัดว่าเป็นสายพันธุ์อสูรวิญญาณที่ล้ำค่าถึงสิบส่วน เพียงมีรูปลักษณ์เป็นลาเท่านั้น
โม่เทียนเกอมองลาตัวนี้แล้วเอ่ยว่า “อสูรวิญญาณขั้นแปดช่างสง่างามโดยแท้ พวกเสี่ยวหั่วเลื่อนขั้นได้เมื่อไหร่ก็ดีสิ……” ไม่รู้เพราะอะไร เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกมันสามตัวฝึกตนถึงขั้นห้าได้อย่างราบรื่นมาก แต่ในหลายปีมานี้กลับไม่มีวี่แววเลื่อนขั้นอีกเลย พูดตามหลักเหตุผลแล้ว หญ้าวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนล้วนปล่อยให้พวกมันกินมาโดยตลอด ความเร็วในการฝึกตนของพวกมันสมควรจะไม่ช้ากว่านางสักเท่าไรจึงจะถูก ดูท่ากลับไปครั้งหน้าต้องถามเฟยเฟยดูแล้ว
ฉินซียิ้มเอ่ยว่า “รีบอะไร อสูรวิญญาณเลื่อนขั้นเดิมก็ไม่ได้เร็วขนาดผู้ฝึกตนมนุษย์อยู่แล้ว อายุขัยของพวกมันยืนยาวนะ!”
โม่เทียนเกอคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ในหลายปีมานี้ เนื่องจากให้พวกมันกินโอสถไม่ได้หยุด อสูรวิญญาณทั้งหลายล้วนเลื่อนขั้นเร็วมาก นางเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว — บางทีสาเหตุที่พวกเสี่ยวหั่วไม่ได้เลื่อนขั้นอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของอสูรวิญญาณกระมัง?
“จริงสิ ซือฟุเป็นอย่างไรบ้าง อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือ”
ฉินซีได้ยินคำพูดนี้แล้วยิ้มบาง ๆ “ซือฟุเรียกได้ว่ามีวาสนาในคราเคราะห์ โอสถพวกนั้นที่เจ้าทิ้งเอาไว้ไม่เพียงรักษาระดับการฝึกตนของท่านได้ ถึงขนาดที่ทำให้ท่านทะลวงไปถึงขั้นปลายได้อย่างราบรื่น”
“จริงหรือ” โม่เทียนเกอตื่นเต้นยินดี “ตอนนี้ซือฟุเป็นผู้ฝึกตนขั้นปลายแล้ว?”
“อืม หากมิใช่เช่นนี้ ข้าจะสามารถเลื่อนขึ้นขั้นกลางอย่างราบรื่นขนาดนี้ได้เยี่ยงไร” ห้าสิบปีก็เลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ความเร็วในการฝึกตนนี้ช่างน่าทึ่งอยู่บ้างจริง ๆ นอกจากโอสถปริมาณมาก อีกอย่างก็คือการช่วยเหลือของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย ประมุขเต๋าจิ้งเหอหากเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น บวกกับประมุขเต๋าเจิ้นหยาง มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคนช่วยเหลือ นี่จึงทำให้เขาเลื่อนขั้นโดยมีเหตุการณ์พลิกผันน้อยลง
เมื่อทราบข่าวนี้ ในใจโม่เทียนเกอมีความสุขถึงสิบส่วน นางทราบว่า ซือฟุผู้นี้ของตนเองถึงแม้จะมีนิสัยวางโตหยิ่งผยอง แต่ด้านเส้นทางแห่งการฝึกตน อันที่จริงแล้วเป็นผู้ที่ค่อนข้างโชคร้าย แม้จะมีพรสวรรค์สูงล้ำ ความตระหนักรู้ดี แต่ไม่เคยได้รับวาสนาอันน่าทึ่งอะไรมาโดยตลอด ล้วนเป็นการฝึนตนที่อาศัยการฝึกฝนไปทีละขั้น สั่งสมมาหลายร้อยปีจึงสามารถไปถึงระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ปัจจุบันนี้ซือฟุสามารถเลื่อนขึ้นขั้นปลาย ในที่สุดก็ภาคภูมิใจได้แล้ว
จากกันห้าสิบกว่าปี ทั้งสองคนรู้สึกเพียงว่ามีวาจานับไม่ถ้วนอยากจะพูด ประสบการณ์ของแต่ละคน, สถานการณ์ของศัตรู, ความเปลี่ยนแปลงของเทียนจี๋, เหตุการณ์ของอวิ๋นจง, ความคะนึงหาต่ออีกฝ่าย……
ผ่านไปอีกครึ่งวัน บนเกาะน้อยก็ไม่มีผู้ฝึกตนมาอีกต่อไป หลังจากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทั้งหลายปรึกษากันหลายประโยค อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยกับพวกเขาสองคนว่า “สหายเต๋าฉิน, สหายน้อยโม่ ถึงเวลาแล้ว เปิดมิติกันเถอะนะ?”
ฉินซีก้มหน้ามองโม่เทียนเกอ เรื่องนี้ถึงเขาจะเข้าใจโดยคร่าว ๆ แต่ถึงที่สุดแล้วไม่ได้เข้าใจชัดเจนเท่าโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอย่อมไม่คัดค้าน นางเตรียมพร้อมอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว แล้วก็ได้บ่งบอกแผนการของตนเองกับฉินซีสั้น ๆ ไปแล้ว ขณะนี้จึงเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่พยักหน้า เงยหน้ามองผู้ฝึกตนบนเกาะน้อย เอ่ยเสียงดังว่า “พวกพ้องทั้งหลาย เวลาที่ตกลงกันมาถึงแล้ว พวกเรากำลังจะเปิดสถานที่ลับห้าปราชญ์”
เมื่อได้ยินวาจานี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดบนเกาะน้อยล้วนเผยสีหน้าตื่นเต้นและเคร่งขรึม
พวกเขาชุมนุมกันบนเกาะนี้ก็เพื่อวาสนาแปลงที่ในมิติเร้นลับทะเลกุยสวี และในเมื่อในมิตินี้มีวาสนาแปลงเทพ เช่นนั้นย่อมจะต้องบุกได้ยากมาก! ยิ่งบวกกับว่าผู้ที่ร่วมเดินทางมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากขนาดนี้ ในระหว่างกันเป็นความสัมพันธ์แก่งแย่งชิงดี ต่อหน้าทรัพย์สมบัติยังต้องป้องกันผู้อื่นทำชั่ว มิอาจไม่เพิ่มความตื่นตัว
และสาเหตุที่พวกเขาสามารถได้รับโอกาสเช่นนี้เป็นเพราะคำเชิญของสามสำนักที่ครอบครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์ อีกฝ่ายมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่กับมือ ถึงแม้ว่าจะถูกบีบให้จนใจ แต่จะแบ่งปันวาสนากับผู้อื่นอย่างยุติธรรมได้อย่างไรเล่า ดังนั้น พวกเขาอยากได้วาสนา จะต้องเป็นเรื่องยากมาก
หลังจากประกาศว่ากำลังจะเปิดสถานที่ลับห้าปราชญ์ อาจารย์เต๋าหยวนมู่ไม่ได้เรียกให้ผู้เยาว์ทั้งห้าเริ่มดำเนินการทันที ทว่ากวาดมองผู้ฝึกตนบนเกาะน้อยช้า ๆ หนึ่งรอบ
ระดับการฝึกตนของอาจารย์เต๋าหยวนมู่เป็นที่หนึ่งที่สองในอวิ๋นจง แล้วเขายังเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักจิ่วเยี่ยน ในยามปกติถึงแม้จะไม่ได้สนใจเรื่องราว แต่เกียรติภูมิที่ควรจะมีก็มีแน่นอน ขณะนี้ถูกสายตาของเขากวาดมอง เหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ในยามปกติลำพองอยู่ในทุกทิศทางก็อดไม่ได้ที่จะถูกเขากดอยู่ใต้พลังสภาวะ
“ทุกท่าน” เขาอ้าปาก กล่าวช้า ๆ ว่า “มิติเร้นลับของทะเลกุยสวีเป็นผลประโยชน์ที่ได้จากห้าปราชญ์อวิ๋นจงของพวกเรา ดังนั้น พวกข้าถึงแม้จะครอบครองกุญแจของมิติ แต่ก็ไม่กล้ายึดสถานที่ลับห้าปราชญ์เอาไว้เอง แต่ว่า ทุกท่านต้องทราบว่า พวกข้าได้รับกุญแจมิติต้องสูญเสียมหาศาล! ไข่มุกเทพต้องห้ามของสำนักข้ากับแหฟ้าตาข่ายดินของวัดหัวเหยียนยิ่งเป็นสิ่งที่สืบทอดมารุ่นสู่รุ่นอย่างยากลำบากของสำนัก ด้วยเหตุนี้ จะเข้ามิติเร้นลับนี้ ขอทำข้อตกลงไม่กี่ข้อกับทุกท่านก่อน ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร”
พอคำพูดนี้ของเขาเปล่งออกจากปาก ผู้ฝึกตนทั้งมวลล้วนไม่แสดงการคัดค้าน ผู้ฝึกตนแซ่หนานของสำนักตานเสียผู้นั้นยิ้มเอ่ยก่อนใครว่า “สหายเต๋าหยวนมู่ยินยอมแบ่งปันสถานที่ลับห้าปราชญ์กับพวกข้า พวกข้าย่อมซาบซึ้งอยู่ในใจ สหายเต๋าทั้งหลายลงทุนมากกว่าพวกข้า ได้รับผลประโยชน์มากกว่าก็เป็นสิ่งสมควร”
โม่เทียนเกอได้ยินคำพูดนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะมองคนผู้นี้เพิ่มขึ้นอีกแวบ ความทรงจำของผู้ฝึกตนน่าทึ่ง นางจำได้ว่าผู้ฝึกตนที่ราวกับคหบดีผู้นี้เป็นผู้นั้นที่นางเคยสังเกตเห็นบนเกาะอีเยี่ย แต่นางไม่รู้จักคนคนนี้เลย
ประโยคที่คนคนนี้เพิ่งพูดช่างชวนให้ขบคิดอยู่บ้างจริง ๆ สีหน้าของเขาจริงใจมาก วาจาที่พูดก็มีเหตุมีผล แต่ว่า คำพูดประเภท “ได้รับผลประโยชน์มากกว่า” นี้ ฟังอย่างไรก็รู้สึกว่ามีความหมายแอบแฝง เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ การถกเหตุผลระหว่างผู้ฝึกตนไม่ได้มีมากนัก โดยเฉพาะพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ สิ่งที่แย่งชิงเป็นวาสนาแปลงเทพ สิ่งของนี้จะยอมยกให้คนอื่นได้อย่างไร เกรงแต่ว่าผู้ฝึกตนคนอื่นได้ยินประโยคนี้แล้ว ในใจอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดเป็นอื่น
ไม่รู้ว่าอาจารย์เต๋าหยวนมู่รู้สึกเช่นนี้ด้วยหรือไม่ เขามองผู้ฝึกตนแซ่หนานอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบเดียว เอ่ยว่า “สหายเต๋าหนานเข้าอกเข้าใจเช่นนี้ เหล่าฟูประทับใจจริง ๆ”
ภายใต้การจับจ้องของสายตาเช่นนี้ ผู้ฝึกตนแซ่หนานเบือนหน้าหนีอย่างไม่ตั้งใจ เพียงแต่บนใบหน้ายังเปื้อนยิ้มบาง ๆ ซ่อนความอิหลักอิเหลื่อเอาไว้ได้ดีมาก ผู้ฝึกตนแซ่หนานคนนี้เทียบความแข็งแกร่งกับอาจารย์เต๋าหยวนมู่แล้วอ่อนด้อยกว่าไม่น้อย อีกทั้งปัจจุบันนี้สำนักตานเสียไม่สามารถต่อต้านกับสำนักจิ่วเยี่ยนได้โดยสิ้นเชิง เมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์เต๋าหยวนมู่ เขาก็ได้แต่หลบเลี่ยงคมมีด
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ไม่ได้ตอแยอีก กล่าวต่อไปว่า “ทุกท่าน เรื่องนี้ข้ากับสหายเต๋าจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทุกคนปรึกษากันแล้ว ทั้งหมดเห็นชอบ ดังนั้น เรื่องนี้ก็คือความตั้งใจของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเราทั้งหมด”
เมื่อได้ยินวาจานี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่บนเกาะน้อยล้วนเผยสีหน้าระแวดระวัง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทั้งหมด ประโยคนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อย ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสิบเอ็ดคนที่นี่เป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดของอวิ๋นจง พวกเขาทุก ๆ คนล้วนมีณานศักดิ์สิทธิ์น่าทึ่ง การลงมือส่งเดชเข่นฆ่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นไม่ลำบากลำบนเลย อย่าว่าแต่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสิบเอ็ดคนร่วมมือกัน? อาจกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสิบเอ็ดคนนี้สามารถเข่นฆ่าคนอื่นอย่างหมดจดได้โดยสิ้นเชิง!
ดูท่าข้อตกลงไม่กี่ข้อที่ว่านี้เป็นข้อเท็จจริงไปแล้ว คนอื่นไม่มีช่องให้คัดค้านได้เลย เพียงไม่ทราบว่าจะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของพวกเขาหรือไม่?
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ไม่ได้ให้พวกเขารอนานเกินไป กล่าวช้า ๆ ว่า “ข้อหนึ่ง ขอเตือนทุกท่านก่อน ตามคำสั่งเสียของห้าปราชญ์ มิติเร้นลับนี้ อันที่จริงแล้วเป็นรอยแตกของมิติที่หลงเหลือจากโบราณกาล ข้างในมีกำแพงอาคมซึ่งไม่เป็นที่รู้จักมากมาย เข้ามิตินี้แล้ว ภยันตรายมากล้น ทุกท่านหากพบเจอกับอะไร รับผิดชอบผลตามหลังกันเอง”
คำพูดของเขาพอเปล่งออกมาก็มีคนเอ่ยว่า “สหายเต๋าหยวนมู่ สถานที่แห่งวาสนาจะไม่มีอันตรายได้เยี่ยงไร วาสนายิ่งใหญ่โต อันตรายยิ่งสูง นี่เป็นเรื่องที่พวกเราล้วนทราบ ย่อมไม่มีคำบ่น”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดล้วนพยักหน้า พวกเขามิใช่ผู้ฝึกตนระดับต่ำหลอมรวมพลังวิญญาณสร้างฐานพลัง ผู้ที่สามารถทะลวงมาถึงจิตวิญญาณใหม่ย่อมเข้าใจหลักเหตุผลนี้
อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยต่อว่า “ข้อสอง มิตินี้ใหญ่มาก ทุกท่านหลังจากเข้าไปสามารถแยกย้ายเสาะหาสมบัติ หากตอนที่เสาะหาสมบัติมีข้อพิพาทอะไร พวกข้าทั้งหมดจะไม่สนใจ แต่ว่า ทุกท่านไม่อาจทำร้ายชีวิตของสหายเต๋าน้อยที่ถือกุญแจทั้งห้าคน หากใครละเมิดกฎนี้ พวกข้าจะเข่นฆ่าทันที!”
พูดถึงประโยคนี้ สีหน้าของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้มเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
ไม่รอให้คนอื่นพูดอะไร อาจารย์เต๋าหยวนมู่พูดต่อไปว่า “ข้อสาม หากทุกคนค้นพบสมบัติอะไรในเวลาเดียวกัน พวกข้าห้าฝ่ายที่ช่วยออกกุญแจจะมีสิทธิ์เลือกก่อน”
พอพูดออกมา คนอื่นล้วนเงียบงันลงไป สองข้อแรกเป็นเพียงการเตือนเท่านั้น มีข้อนี้อย่างเดียวที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาโดยตรง
สุดท้ายยังเป็นเมี่ยวอิงหยวนจวินที่ยิ้มแย้มแสดงจุดยืนว่า “ข้อเรียกร้องนี้ของหยวนมู่เต้าซยง พวกข้าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายล้วนสนับสนุน วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าปราชญ์ล้ำค่าปานใด ในเมื่อพวกท่านช่วยออกวัตถุนี้ออกมา ย่อมสามารถเลือกก่อน”
เมื่อได้ยินเมี่ยวอิงหยวนจวินพูดเช่นนี้ มีคนขานรับอย่างรวดเร็วว่า “พูดไปก็ใช่ พวกเราเดิมก็แอบอิงแสงของสหายเต๋าหยวนมู่และพวก ไม่ได้ออกแรงอะไรเลย สามารถเข้าไปในสถานที่ลับห้าปราชญ์ในตำนาน ยังจะมีอะไรให้ร้องขออีก?”
คนมากมายพากันพยักหน้า ผู้ที่ไม่พยักหน้าก็ยอมรับโดยดุษณี
เห็นทั้งหมดล้วนไร้ข้อคัดค้าน อาจารย์เต๋าหยวนมู่เผยรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ นอกจากสามข้อนี้ก็ไม่มีอะไรต้องชี้แจงแล้ว หลังจากเปิดมิติเร้นลับนี้ มีแต่ออกไม่มีเข้า ทุกคนสามารถได้รับวาสนาอะไร ออกมาได้หรือไม่ก็แล้วแต่ความสามารถแล้ว”
……………….
เพิ่งรู้ตอนกูเกิ้ลวันนี้เองว่า ต้อง “ยอมรับโดยดุษณี” ไม่ใช่ “ยอมรับโดยดุษฏี” เขียนผิดมาทั้งชีวิต
ปล. ดุษณีแปลว่าเงียบ ดุษฏีแปลว่ายินดี