หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 455 พักผ่อน
ตอนที่ 455 – พักผ่อน
คนอื่นล้วนรีบเร่งก้าวนำหน้าคนอื่นเพื่อเสาะหาสมบัติ โม่เทียนเกอกลับไม่รีบร้อน นางรู้เส้นทางสายหนึ่งจากฝูเหยาจื่อแต่แรกแล้ว ไม่ต้องแย่งชิงกับคนอื่นเลย อีกประการ ฝูเหยาจื่อเคยบอกกับนางว่าวาสนาที่แท้จริงอยู่ในวังเซียน นางมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอยู่ในมือ วาสนาอย่างอื่นไม่สำคัญเลย ทว่าทรัพย์สมบัติในวังเซียนนั่น ไม่มีกระบี่ฝูเซิงของนางจะไม่อาจได้มา อาจารย์เต๋าหยวนมู่และพวกจำเป็นต้องรอนาง
ฉินซีใคร่ครวญสั้น ๆ แล้วพยักหน้า “ได้”
เมื่อผ่านการรักษาบาดเจ็บมาหลายปี และก่อนหน้านี้ยังได้รับโอสถที่เมี่ยวอิงหยวนจวินให้เป็นของขวัญ อาการบาดเจ็บของเขาเกือบจะหายดีแล้ว แต่ว่า หลังจากทั้งสองคนไปถึงวังเซียนยังมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายจำนวนมาก ถึงเวลาเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้ง หากไม่สามารถรักษาสภาพที่ดีที่สุดเอาไว้ จะเกิดอาการมีใจแต่ไร้กำลังอยู่บ้างอย่างยากจะหลีกเลี่ยง–กระบี่อัคนีสามพลังหยางแม้ว่าจะมีณานศักดิ์สิทธิ์น่าทึ่ง ถึงที่สุดแล้วเขาก็เป็นเพียงผู้ที่เพิ่งจะเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง
ทั้งสองคนเสาะหาสถานที่เร้นลับ ตรวจสอบว่ารอบด้านไร้ผู้คน โม่เทียนเกอจี้หว่างคิ้ว เข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
ลมโชยแผ่วเบา ธารน้อยหลั่งไหล โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนยังคงเป็นดุจวันวาน สงบสันติ
อสูรวิญญาณสามตัวล้วนถูกใส่เข้าไปในกระเป๋าอสูรวิญญาณ ขณะนี้นอกจากเสียงสายลมพัดผ่านใบไผ่แล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใด
“ซือเกอ……” โม่เทียนเกอหันหน้าไปมองฉินซี สี่ตาประสานกัน ทั้งสองคนอดสวมกอดกันไม่ได้ ตั้งแต่ที่ได้พบกันก็อยู่ภายใต้สายตาของคนอื่นมาโดยตลอด แม้แต่การสนิทสนมกันเล็กน้อยยังทำไม่ได้ อีกทั้งยังต้องระวังแผนการของคนอื่นอยู่ทุกเมื่อ แม้แต่ความยินดีที่ได้มาพบกันใหม่ยังต้องฝืนตนระงับเอาไว้อยู่หลายส่วน จนกระทั่งขณะนี้เข้ามาในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วก็ไม่มีความกังวลอื่นอีก จึงกล้าปลดปล่อยอารมณ์อันตื่นเต้นอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งสองคนอารมณ์สงบลง สบตายิ้มให้กันแล้วจึงปล่อยมือ จูงมือกันกลับไปในห้องไม้ไผ่
การพบกันใหม่ย่อมเป็นเรื่องตื่นเต้น แต่จะดีใจอีกเท่าใดล้วนต้องทิ้งไว้จนกว่าเรื่องราวจะยุติ เวลาของพวกเขาไม่มาก เหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เข้าสู่รอยแยกมิติแห่งนี้ หลายวันให้หลังก็จะไปถึงวังเซียน พวกเขาอย่างมากที่สุดสามารถล่าช้าได้เพียงไม่กี่วัน ทว่าเรื่องที่ต้องตระเตรียมยังมีมากมาย เวลาพักชั่วครู่ในช่วงวุ่นวายนี้ไม่สามารถเสียเปล่าได้สักนิด
“ซือเกอ นี่เป็นยาเก้าตลบคืนหยางที่ข้าหลอมมาใหม่ นี่คือยายกระดับรากฐาน ท่านรีบกินเถอะ” เมื่อทราบว่าฉินซีสูญเสียกระเป๋าเอกภพที่บรรจุโอสถไป โม่เทียนเกอไม่ได้รั้งรอ หยิบโอสถรักษาบาดเจ็บออกมาก่อน
ฉันซีรับโอสถสองขวด เปิดขวดยาเก้าตลบคืนหยาง สูดดมเบา ๆ แล้วยิ้มให้นางเอ่ยว่า “ทักษะหลอมยาของเจ้าก้าวหน้าไม่น้อย เมื่อก่อนยาเก้าตลบคืนหยางนี้เจ้ายังหลอมไม่ได้”
ยาเก้าตลบคืนหยางเป็นโอสถรักษาบาดเจ็บของระดับจิตวิญญาณใหม่ โอสถของระดับจิตวิญญาณใหม่เทียบกับของระดับก่อเกิดตานแล้วยากกว่ากันเกินสิบเท่า อาจารย์หลอมยาชื่อดังของเทียนจี๋จำนวนมากยังไม่กล้าหลอมอย่างง่ายดาย สามารถหลอมโอสถของระดับจิตวิญญาณใหม่ออกมา เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์หลอมยาแล้ว
โม่เทียนเกอมองเขา “เวลาห้าสิบปี ข้าต้องก้าวหน้าบ้างสิถึงจะถูก”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง ฉินซีก็ยิ้มบาง ๆ ไม่เสียเวลาอีก กลืนยาเก้าตลบคืนหยางกับยายกระดับรากฐานลงไปอย่างละเม็ด หลับตาเริ่มนั่งสมาธิ
โม่เทียนเกอเห็นเขาเริ่มรักษาบาดเจ็บแล้วจึงไม่รบกวนอีก สื่อสารกับฝูเหยาจื่อทางจิตสัมผัส
“ซือฟุ?”
กระบี่ฝูเซิงส่งเสียงหึ่งออกมาหนึ่งคำ “อืม?”
“ศิษย์ตัดสินใจเอาเอง ซือฟุไม่โมโหนะเจ้าคะ?”
ฝูเหยาจื่อเงียบงันไปช่วงหนึ่ง ถอนหายใจเบา ๆ เอ่ยว่า “สิ่งที่เจ้าทำไม่มีอะไรไม่ถูกต้องเลย ซือฟุจะมีอะไรให้โมโหเล่า?”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ โม่เทียนเกอหัวใจอบอุ่นขึ้นมา สำหรับซือฟุที่ยอมรับกันกลางทางท่านนี้ เมื่อได้คบหากันมาหลายปี นางนับถือเป็นอย่างมาก เพราะว่าฝูเหยาจื่อไม่เคยเป็นเหมือนกับผู้ฝึกตนระดับสูงที่มีอยู่ทั่วไปในโลกฝึกเซียนซึ่งเห็นลูกศิษย์เป็นลูกน้องหรือข้ารับใช้ เข้าจะร้องขอให้โม่เทียนเกอทำอะไรบางอย่าง แต่กลับให้ความเคารพและอิสรภาพแก่นางอย่างเพียงพอ
ความรู้สึกชนิดนี้ ไม่เหมือนกับทั้งท่านอารองและซือฟุอีกคนของนาง ท่าอารองทั้งเข้มงวดทั้งห่วงใยนาง ไม่ปล่อยผ่านเรื่องใหญ่เล็กทุกอย่าง ประมุขเต๋าจิ้งเหอปล่อยให้นางเติบโตอย่างอิสระ แต่ก็จะปกป้องนางไว้ใต้ปีก แต่ไม่ว่าจะคนไหน นางล้วนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรักและเป็นห่วงของพวกเขา
“นี่ก็คือซือเกอของเจ้า?” ฝูเหยาจื่อถาม ในน้ำเสียงของเขามีความหมายของการตรวจสอบชนิดหนึ่ง
“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอหยุดครู่หนึ่งแล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “ซือฟุ……อยากจะพูดอะไรเจ้าคะ”
“เขาไว้ใจได้หรือ” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “แม้แต่การคงอยู่ของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเช่นนี้ เจ้ายังให้เขารู้?”
โม่เทียนเกอตะลึงครู่หนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “ซือฟุ เขาเป็นคู่เต๋าของข้า หากแม้แต่เขาก็ไว้ใจไม่ได้ บนโลกนี้ยังมีใครที่ไว้ใจได้?” คบหากันมาหลายปี นางไม่เคยปิดบังประสบการณ์ของตนเอง ฝูเหยาจื่อก็รู้ถึงการคงอยู่ของฉินซี เพียงแต่ เรื่องราวอันพัวพันระหว่างคนสองคนเหล่านั้น นางย่อมไม่ได้พูดออกจากปาก ฝูเหยาจื่อรู้ว่าคู่เต๋าของนางเป็นซือเกอร่วมสำนักของนาง แล้วก็รู้ว่าซือฟุที่รับนางเข้าสำนักเป็นผู้อาวุโสของซือเกอผู้นี้ แต่ไม่รู้อดีตระหว่างทั้งสองคน ยากจะเลี่ยงการคิดเชื่อมโยงสักหน่อย
เห็นโม่เทียนเกอไม่ได้ลังเลสักเศษเสี้ยว ฝูเหยาจื่อเก็บความระแวง เอ่ยว่า “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าไว้ใจเขา เหวยซือก็จะไว้ใจเขาไปก่อน”
ถึงจะเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอยังคงฟังออกถึงความไม่เห็นด้วยในวาจาเขา แต่นางไม่ได้อธิบายอะไรอีก ฝูเหยาจื่อไม่ไว้ใจฉินซี นี่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก ความไว้วางใจเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ยากที่สุดในโลกฝึกเซียนเสมอมา ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่ได้ผูกจิตวิญญาณ ฉินซีกลับอยู่จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางแล้ว หากได้รับวาสนาแปลงเทพในวังเซียน คนนอกจะจะสามารถไว้ใจได้ว่าฉินซีจะไม่ยึดเป็นของตนเองหรือ? นางสามารถไว้วางใจ ฝูเหยาจื่อที่เป็นคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิงกลับไม่สามารถ
“แต่–” ฝูเหยาจื่อหยุดไปแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเลือกจะไว้ใจเขา เช่นนั้นต้องรับผลตามหลังเอง จิตสัมผัสก้อนนี้ของซือฟุคงอยู่ไม่นานมาก บางทีรอจนพวกเจ้าพบวาสนาแปลงเทพก็จะต้องหายไปแล้ว ถึงเวลานั้น……”
“ซือฟุวางใจ ศิษย์เข้าใจ” โม่เทียนเกอตอบรับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่านางไว้ใจ ถึงจะได้รับวาสนาแปลงเทพมาจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นว่าจะไม่สามารถแบ่งกันสองคน
ฝูเหยาจื่อไม่ได้พูดมากอีก ส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาออกมาคำหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เหวยซือมีชีวิตมาเป็นพันปีแล้ว พบเห็นพี่น้องหักหลังกัน, สามีภรรยากลายเป็นศัตรูมามาก แต่หวังว่าความไว้ใจของเจ้าจะคุ้มค่านะ”
โม่เทียนเกอเพียงยิ้มเล็ก ๆ ไม่ได้ตอบ
สองวังให้หลัง ฉินซีลืมตาทั้งคู่
เขาก้มหน้ามองสองมือของตนเอง สัมผัสพลังวิญญาณเปี่ยมล้นรอบกาย ผ่อนลมหายใจออกมา
โชคดีที่เทียนเกอหลอมยาเก้าตลบคืนหยางออกมา ถ้าไม่เช่นนั้น สองวันสั้น ๆ นี้ อาการบาดเจ็บของกายเนื้อที่เขาซ่อนเอาไว้มาตลอดยากมากที่จะหายดีอย่างสมบูรณ์
ราวกับสัมผัสได้ถึงลมปราณของเขา โม่เทียนเกอก้าวเข้ามาจากนอกห้องไม้ไผ่ ตื่นเต้นดีใจ “ซือเกอ……”
ฉินซียิ้มบาง ๆ กล่าวกับนางว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”
ความตื่นเต้นยินดีผ่านพ้นไป เมื่อเห็นสภาพของเขา โม่เทียนเกอยังคงฉงน “อาการบาดเจ็บของท่านในเมื่อหายแล้ว เหตุใดยังเป็นสภาพนี้” ผมขาวของเขายังอยู่ รูปโฉมยังไม่ได้ฟื้นคืน
ฉินซีเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยใช้สิ่งของประเภทยาคงโฉมเลย ก่อนที่จะฝึกศาสตร์หยางบริสุทธิ์ ด้วยระดับการฝึกตนของข้า รูปโฉมเดิมก็เป็นเช่นนี้ ภายหลังฝึกศาสตร์หยางบริสุทธิ์แล้ว วิชาเวทนี้มีประสิทธิภาพคงโฉม ดังนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนับแต่นั้น”
โม่เทียนเกอพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ เวลานั้นเขาแค่หนึ่งร้อยกว่าปีก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว ว่ากันตามปกติก็ควรจะมีรูปลักษณ์อย่างนั้น
“ตอนที่ได้รับบาดเจ็บที่ทะเลใต้ ระดับการฝึกตนได้รับความเสียหายไปพักหนึ่ง แม้แต่ศาสตร์หยางบริสุทธิ์ก็ถดถอยไปหนึ่งระดับ นี่จึงทำให้รูปโฉมภายนอกของข้าเปลี่ยนไป ตอนนี้อาการบาดเจ็บหายแล้ว แต่ศาสตร์หยางบริสุทธิ์เพียงแค่คงโฉม ดังนั้น……”
โม่เทียนเกอขบคิดครู่หนึ่ง แต่กลับค้นพบว่าไม่ถูกต้อง “แต่ว่า เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ด้วยอายุของท่านก็ไม่ควรจะเป็นรูปโฉมเยี่ยงนี้” ปัจจุบันนี้เขายังไม่ถึงสามร้อยปีเลย สำหรับอายุขัยที่ยาวนานเป็นพันปีของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ เยาว์วัยเพียงใด?
ฉินซีขยับสายตา สุดท้ายเอ่ยอย่างจนใจว่า “ตอนที่ข้าได้รับบาดเจ็บ พลังแห่งจิตวิญญาณใหม่ถูกผนึก มีเวลาช่วงหนึ่งที่แสดงออกมาได้เพียงระดับก่อเกิดตาน จึงเป็นเช่นนี้”
เมื่อได้ฟังวาจานี้ โม่เทียนเกอตะลึงไป จากนั้นจ้องมองเขา โกรธอยู่บ้าง “ซือเกอ!” จิตวิญญาณใหม่ถูกผนึก พูดอีกอย่าง นั่นก็คือแทบจะถอยหลับไปที่ระดับก่อเกิดตานแล้ว! อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของเขาหนักถึงขั้นนี้ ถึงกับไม่บอกนาง?!
ฉินซียิ้มขื่น “เจ้าอย่าโมโหเลย ข้ามีวิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์กับตัว ถึงจะถอยกลับไปที่ระดับก่อเกิดตานก็สามารถฝึกกลับมาได้เร็วมาก ไม่บอกเจ้าเพราะว่าไม่อยากให้เจ้ากังวลใจ……เจ้าดู ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บแบบใดจะสำคัญอะไรเล่า”
“แต่ว่า……” ถึงคำพูดจะเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอกลับรู้ว่าเขาจะต้องบาดเจ็บถึงรากฐาน ปัจจุบันนี้เขายังคงอยู่ระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง พลังต่อสู้ความแข็งแกร่งดูราวกับไม่ได้รับผลกระทบ แต่หากต้องการเลื่อนขั้นจะต้องเสียเวลามากขึ้น
“เรื่องนี้ ข้าเคยใคร่ครวญมาแต่แรกแล้ว” ฉินซีกล่าวต่อ “ข้าเลื่อนขึ้นขั้นกลางรอบนี้เดิมเป็นการเดินทางลัด ถึงจะไม่มีเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องฝึกที่ขั้นกลางดี ๆ สักร้อยปี ทำให้รากฐานมั่นคง ก้าวไปทีละก้าวในวันข้างหน้า ปัจจุบันก็แค่เสียเวลามากหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบที่ใหญ่จนเกินไปเลย”
โม่เทียนเกอเงียบงันเนิ่นนาน สุดท้ายได้แต่ถอนหายอย่างอย่างจนใจคำหนึ่ง “ท่านคิดมาดีแต่แรกแล้ว ข้าจะทำอย่างไรได้อีกเล่า ช่างเถอะ ตอนนี้ข้าจวนจะผูกจิตวิญญาณแล้ว ขอเพียงวาสนาเหมาะสมก็สามารถก้าวเข้ามหามรรคาจิตวิญญาณใหม่ ถึงเวลา เรื่องของท่าน ข้าก็สามารถช่วยเหลือ ไม่เหมือนในอดีต ได้แต่มองตาปริบ ๆ……”
ฉินซีอบอุ่นในใจ กุมมือของนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “จิตใจของเจ้าข้าเข้าใจดี……” หลังจากตกลงปลงใจ เข้าไม่เคยกังขาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ก็เหมือนกับที่เขาจะทำอะไรเพื่อนางสุดกำลัง นางก็เป็นเช่นกัน
เขายิ้มอีกแล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากว่ารูปโฉมของข้าไม่สามารถฟื้นคืน เจ้าจะรังเกียจข้าหรือไม่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ โม่เทียนเกอถลึงตาใส่เขา “หากต้องการความหนุ่มสาวตลอด ยาคงโฉมหนึ่งเม็ดก็เกินพอ โฉมภายนอกเป็นอย่างไรก็แค่เปลือกนอก สำหรับคนที่ฝึกเซียนอย่างเรา มีอะไรสำคัญด้วยหรือ”
ยาคงโฉมสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป ถึงจะล้ำค่าถึงสิบส่วน แต่แม้แต่ผู้ฝึกตนสตรีหลอมรวมพลังวิญญาณที่บ้านมีผู้หนุนหลังอยู่บ้างล้วนพยายามซื้อหาสุดกำลัง อย่าว่าแต่พวกเขา? ที่โลกฝึกเซียนนี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่มีความแข็งแกร่งกล้าแข็งจำนวนมากล้วนไม่เคยใช้ยาคงโฉม เพราะว่าสำหรับพวกเขา นี่ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเลย สำหรับผู้ที่เห็นความสำคัญของรูปโฉมภายนอกขนาดนี้ กว่าครึ่งเป็นผู้ฝึกตนสตรี นี่ก็คือความหลงใหลเล็ก ๆ ของสตรี
ฉินซียิ้มว่าไม่พูดจา
สัมผัสได้ถึงความผันผวนบางเบาจากกระบี่ฝูเซิง ฝูเหยาจื่อกำลังเร่งแล้ว โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ซือเกอ หากท่านหายดีแล้ว พวกเราก็ออกไปเถอะ”
“อืม” ฉินซีผงกศีรษะ “พวกเราพักผ่อนมาสองวันแล้ว ไม่สามารถถ่วงออกไปอีก” ถึงจะบอกว่าพวกเขาไม่สนใจวาสนานอกวังเซียน แต่ล่าช้านานเกินไป สำหรับพวกเขาย่อมไม่มีประโยชน์
ทั้งสองคนเก็บกวาดอย่างเรียบง่ายแล้วออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
โม่เทียนเกอเงยหน้ามองวังเซียนที่สูงตระหง่ายอยู่ไกล ๆ ถอนหายใจเบา ๆ ถ้าจะแบ่งปันผลโยชน์จากในมือของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากขนาดนั้นอย่างราบรื่น ถัดจากนี้ก็คือสนามต่อสู้