หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 164
หยกชิ้นนี้ที่เยี่ยเทียนนำออกมาไม่ใช่หยกขาวไขมันแพะเหอเถียน แต่เป็นหยกจากชิงไห่ แม้มีสีขาวมันวาว แต่ก็ขาดสัมผัสนุ่มลื่นอย่างหยกขาวไขมันแพะ
เมื่อวางไว้ใต้แสงไฟ หยกล้ำค่าชิ้นนี้ ความแวววาวของมันห่างชั้นจากหยกหินหลายชิ้นที่นำออกประมูลก่อนหน้าไปไกล บวกกับเยี่ยเทียนผู้นำหยกชิ้นนี้ขึ้นมายังอ่อนวัย เวลานี้จึงยังไม่มีใครเริ่มประมูล
“ก็แค่จี้หยกชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ? ไม่เหมือนหยกเหอเถียนสักหน่อย!”
“ราคาต่างจากต่างหูหยกของคุณผู้หญิงมากเลย…”
“เด็กหนุ่มคนนั้นคงไม่ได้เอาของตามแผงลอยมาประมูลหรอกนะ?”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโต๊ะดังขึ้น ดังไปถึงเยี่ยเทียน ใบหน้าของหัวหน้าก็ไม่อาจกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ได้ จากสายตาของเขา เยี่ยเทียนก็แค่เอาของจากแผงลอยขึ้นมาอวดเพื่อตบหน้าเจ้าอ้วนฉีเท่านั้น
“แม่เอ้ย นี่หากถูกใครซื้อไปนะ เจ้าหนุ่มนั้นคงจะได้กำไรมหาศาลเลยทีเดียว”
พอเห็นสถานการณ์แบบนี้ เยี่ยเทียนก็กลั้นยิ้มเจื่อนไว้ไม่อยู่ หยกไขมันแพะได้รับการเชิดชูในหมู่หยกนุ่มก็จริง แต่หยกที่ถูกนำมาทำเป็นจี้หยกชิ้นนี้ ก็เป็นหยกชั้นสูงจากชิงไห่เช่นเดียวกัน
เพียงแค่หลังจากแกะสลักแล้วไม่เคยผ่านการขัดเงา ดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามีบางส่วนไม่ค่อยสละสลวย แต่ว่าด้วยมูลค่าของมัน ก็ไม่ได้แตกต่างกับหยกขาวไขมันแพะเลย
อีกทั้งหยกชิ้นนี้เยี่ยเทียนเคยวางเก็บไว้ภายในถ้ำวิญญาณเขาเหมาซานเป็นเวลานานกว่าครึ่งปี จึงนับว่าเป็นเครื่องรางชั้นเลิศชิ้นหนึ่ง สรรพคุณของมันยังแกร่งกล้ายิ่งกว่าหินหยกน้ำเต้าที่เขาขายออกไปเมื่อปีก่อนหลายเท่าตัว
ดังนั้นเวลานี้เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเปิดราคา เยี่ยเทียนจึงรู้สึกเหมือนจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก ผู้คนล้วนหลงไหลเสาะหาสมบัติล้ำค่า แต่กลับไม่รู้เมื่อสมบัติล้ำค่านั้นมาอยู่ตรงหน้า
แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจ เว่ยหงจวินที่นั่งข้างๆ นั้นใบหน้าแดงก่ำแล้ว เตรียมตัวจะยกมือเสนอราคา คนอื่นไม่รู้ถึงราคาสิ่งของที่อยู่ในมือเยี่ยเทียน แต่ตัวเขารู้อยู่แก่ใจ
“ฉันเสนอหนึ่งหมื่นหยวน”
นึกไม่ถึงว่าเถ้าแก่เว่ยยังไม่ทันส่งเสียง อวี๋ชิงหย่าก็ตะโกนเสนอราคาออกไปแล้ว อีกทั้งจากหนึ่งหยวนร้องตะโกนออกมาว่าหนึ่งหมื่น เมื่อเทียบราคาประมูลจึงสูงขึ้นเป็นหมื่นเท่า
“เด็กสาวคนนั้นคือใครกันน่ะ?”
”นั่งอยู่กับพ่อหนุ่มคนนั้น เดาว่าน่าจะเป็นแฟนกันล่ะมั้ง?“
“จุ๊ จุ๊ น่าเสียดายเด็กสาวคนนั้นเหลือเกิน!”
วันนี้ของที่นำมาประมูลไม่ได้มีราคาแพงมาก จะว่าไปแล้ว ล้วนมีมูลค่าประมาณพันสองพันขึ้นไป เมื่ออวี๋ชิงหย่าตะโกนออกไปอย่างนี้ จึงดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่ภายในงานขึ้นมาทันใด
“เธอนี่ตามีแววจริงๆ นะ…”
เมื่อได้ยินอวี๋ชิงหย่าตะโกนบอกราคา เยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เสียเงินหมื่นหยวนเพื่อซื้อหยกชิ้นนี้กลับมา ยังนับว่าคุ้มค่า เท่ากับว่าหนึ่งหมื่นหยวนนั้นตนเองก็ได้ทำบุญไปในตัว
“คุณผู้หญิงท่านนี้ประมูลที่หนึ่งหมื่น เธอมอบความรักเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อเด็กยากไร้บนภูเขาแล้ว ยังมีคุณสุภาพบุรุษสุภาพสตรีท่านไหนต้องการประมูลอีกไหมครับ?” พิธีกรไม่ยอมพลาดโอกาสสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นขึ้นมา หากเขาไปทำงานเป็นผู้นำการประมูล ไม่แน่ว่าอาจประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจริงๆ
“ผมเสนอห้าหมื่นหยวน”
สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ พอเสียงของพิธีกรเงียบลง บนโต๊ะตัวนี้ของเยี่ยเทียนก็มีคนเสนอราคาแล้ว ครั้งนี้คือเว่ยหงจวินนั่นเอง เมื่อครู่โดนอวี๋ชิงหย่าชิงตัดหน้า เถ้าแก่เว่ยเหลาจึงไม่สบอารมณ์นัก
“ห้าหมื่นหยวน ท่านประธานเว่ยแห่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์XXเสนอราคาประมูลที่ห้าหมื่นหยวน ขอขอบคุณท่านประธานเว่ยที่มีเมตตากรุณา ให้การสนับสนุนมูลนิธิแห่งความหวังครับ”
พิธีกรที่อยู่บนเวทีค้นคว้าเรื่องการสะสมของโบราณมาพอสมควรเช่นกัน จากการประเมินในใจเขา ราคาของจี้หยกชิ้นนี้สูงสุดน่าจะอยู่ที่เจ็ดถึงแปดพันหยวน ปัจจุบันมีคนประมูลถึงห้าหมื่น เขารู้สึกว่าแตะราคาสูงที่สุดแล้ว ถ้าหากไม่มีคนอื่นเสนอราคาอีก พิธีกรก็เตรียมตัวจะปิดการซื้อขาย
“หนึ่งแสนหยวน!” มือเล็กๆ ของอวี๋ชิงหย่ายกขึ้นมา แต่ว่าครั้งนี้กลับตะโกนเสนอราคาภายใต้การยุแยงจากเยี่ยเทียน
“ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม? จ่ายเพิ่มแสนหยวนเพื่อซื้อของตัวเองกลับมางั้นหรือ?“
“นั่นน่ะสิ จี้หยกชิ้นนั้นเป็นเด็กสาวนั่นส่งขึ้นไปเองนี่นา…“
“วัยรุ่นพวกนี้ เสียชีพไม่ยอมเสียหน้าจริงๆ การประมูลเพื่อการกุศล จำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้หรือ?”
พออวี๋ชิงหย่าตะโกนเสนอราคานี้ออกมา ก็ทำให้ภายในงานฮือฮาขึ้นทันใด
ในงานประมูลการกุศลวันนี้ คนรอบข้างคอยที่ช่วยโก่งราคานับว่ามีไม่น้อย แต่อย่างมากสุดก็เกินกว่าราคาสิ่งของเพียงไม่กี่พันหรือหมื่นสองหมื่น ที่อวี๋ชิงหย่าเสนอราคาสูงกว่าหลายเท่าอย่างนี้ เพิ่งจะปรากฎเป็นครั้งแรก
”ดูสิว่าเดี๋ยวเธอจะมีเงินซื้อกลับไปไหม…” หัวหน้าฉีมองดูภาพที่เกิดขึ้นข้างตัวด้วยสายตาเย็นชา แค่นหัวเราะภายในใจไม่หยุด เขาเฝ้ารอดูเยี่ยเทียนอับอายขายขี้หน้า
เห็นเยี่ยเทียนกำลังซุบซิบข้างหูอวี๋ชิงหย่าอย่างนั้น สีหน้าของเว่ยหงจวินก็ชักไม่ค่อยดีแล้ว “เยี่ยเทียน ไม่เห็นจำเป็นต้องเสนอราคาโหดขนาดนั้นเลย? เปิดช่องให้ลุงเว่ยบ้างไม่ได้หรือ?”
พอได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวิน เยี่ยเทียนก็แสร้งยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม กล่าวว่า “ลุงเว่ย ของชิ้นนี้เทียบกับชิ้นนั้นที่ผู้เฒ่าถังซื้อไปยังเหนือกว่า ห้าหมื่นหยวนลุงก็คิดว่าคว้าไปได้แล้วหรือครับ? สู้ผมซื้อกลับมาเองดีกว่า…”
แม้จะพบจุดศูนย์รวมพลังวิญญาณบนเขาเหมาซาน แต่เยี่ยเทียนก็ทำสิ่งของชิ้นเล็กๆ ออกมาเพียงเจ็ดแปดชิ้นเท่านั้น ว่าไปแล้วไม่รู้ว่าภายหลังจะได้พบจุดรวมวิญญาณอีกหรือเปล่า ด้วยเหตุนั้นเยี่ยเทียนจึงยอมให้คนอื่นซื้อเอาไปในราคาถูกแบบนี้ไม่ลง
“ตกลง กระทั่งเงินของลุงเว่ยเธอก็ยังขูดรีดได้นะเจ้าหนู!” แม้เว่ยหงจวินจะโวยอย่างความขมขื่น แต่ก็ยกมือขวาขึ้นสูงโดยไม่รอช้า ตะโกนว่า ”ผมเสนอแสนห้าหมื่นหยวน!“
“เหล่าเว่ย หรือว่าจี้หยกนั่นเป็นของดีอะไรสักอย่าง?””
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนและท่าทางของเว่ยหงจวินแล้ว เหลยอู้ก็นั่งไม่ติดที่ เขารู้สถานะของเยี่ยเทียน อีกทั้งเคยเห็นเยี่ยเทียนเขียนยันต์ จึงสัมผัสได้จากสัญชาติญาณว่าของชิ้นนี้ต้องไม่ธรรมดา
เห็นเหลยอู้ดูเหมือนมีทีท่าสนใจเช่นกัน เว่ยหงจวินจึงรีบพูดขึ้นว่า “เหล่าเหลยอย่าเอะอะไป ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณสักหน่อย ผมแค่ให้หน้าเสี่ยวเยี่ย…”
“ผมไม่สนหรอก ถึงอย่างไรก็ไม่แพง ผมจะประมูลเอากลับไปเล่นที่บ้าน”
ยิ่งเว่ยหงจวินเคร่งเครียด เถ้าแก่เหลยก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยปากตะโกนออกไปทันทีว่า “สองแสน ผมเสนอให้สองแสน!”
“ท่านประธานเหลยเสนอราคาสองแสน ดูท่าจี้หยกชิ้นนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ขอบคุณท่านประธานเหลยที่ให้การสนับสนุนมูลนิธิแห่งความหวังนะครับ…”
ราคาที่เหลยอู้เสนอ ไม่เพียงทำให้ผู้คนในงานสับสน กระทั่งพิธีกรเองก็ยากจะเข้าใจเช่นกัน อดพินิจพิเคราะห์หยกชิ้นที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ของเล่นชิ้นนี้ดูอย่างไรก็ไม่น่าถึงสองแสนหยวน
“ผมเสนอให้สี่แสน!”
เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงยังมาอยู่ตอนท้าย เมื่อเสียงของพิธีกรเงียบลง ก็มีเสียงตะโกนเสนอราคาขึ้นอีก แถมยังเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวของราคาที่เถ้าแก่เหลยเสนอ ราคาที่ตะโกนออกมานั้น กระทั่งพิธีกรยังตกตะลึงตาค้าง
“ใครน่ะ? ใครเสนอราคานี้?”
“ไม่ใช่ท่านประธานเว่ยหรือ? แล้วใครกันที่เสนอราคา?”
เนื่องจากสองสามคนที่ตะโกนเสนอราคาเมื่อครู่ ล้วนอยู่โต๊ะเดียวกันกับเยี่ยเทียน เพราะอย่างนั้นทุกคนจึงหันไปมองทางโต๊ะเยี่ยเทียนด้วยความเคยชิน แต่กลับพบว่าใบหน้าของเว่ยหงจวินและเหลยอู้ก็งุนงงเช่นกัน
“ท่านประธานหลิวหรือ?”
“คือเหล่าหลิว เจ้าลูกผลาญสมบัติตระกูลคนนี้ เพิ่งทำการค้าได้รุ่งหน่อยก็อวดศักดาอีกแล้ว…”
หลังจากหากันอยู่นาน ทุกคนถึงพบว่า แท้จริงแล้วคือหลิวต้าจื้อที่นั่งโต๊ะห่างจากเยี่ยเทียนค่อนข้างไกลตะโกนออกมา
เมืองซื่อจิ่วดูไปก็ไม่เล็ก ความจริงแล้วมีไม่กี่วงการเท่านั้น ก่อนหน้านี้หลิวต้าจื้อมีปัญหาเกี่ยวกับเงินทุนของบริษัท ผู้คนมากมายต่างรู้ดี ดังนั้นจึงอดวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ได้
“ฉิบหาย ทำไมมาเจอคนรู้จักได้ล่ะ?”
เห็นหลิวต้าจื้อชูมือให้ตัวเองโบกไปมาอย่างกวนๆ เยี่ยเทียนก็ยิ้มเจื่อน เขาดูออกว่า ท่านประธานหลิวตะโกนเสนอราคาสี่แสน เพียงเพื่ออยากให้เขาได้หน้า
เยี่ยเทียนเดาได้ไม่ผิด คนที่มาวันนี้มีหลายร้อยคน บวกกับเยี่ยเทียนนั่งอยู่ในมุม จึงไม่ได้ดึงดูดสายตาสักเท่าไหร่ ขณะที่เริ่มประมูลหยกชิ้นนี้ หลิวต้าจื้อกำลังพูดคุยอยู่กับคนอื่น จึงไม่ทันได้สังเกต
แต่ว่าตอนที่เหลยอู้กับเว่ยหงจวินเสนอราคา หลิวต้าจื้อมองเห็นเยี่ยเทียน จึงลุกขึ้นยืนตะโกนราคาสี่แสนหยวนออกมาทันที นับว่าเป็นการให้เกียรติแก่ “ท่านปรมาจารย์เยี่ย”
“ห้าแสน!”
โดยไม่รอให้พิธีกรเอ่ยปาก เว่ยหงจวินเสนอราคาใหม่ออกไป มูลค่าของชิ้นนี้เขากระจ่างแก่ใจยิ่งกว่าเหลยอู้และหลิวต้าจื้อ อย่าว่าแต่ห้าแสนเลย ถึงราคาหนึ่งล้านเถ้าแก่เว่ยก็ต้องเอามันมาให้ได้
“ท่านประธานเว่ย ดูท่านหมายมั่นมากใช่ไหม?”
เหลยอู้มองความคิดของเว่ยหงจวินไม่ค่อยออก หากอยากแค่ประจบประแจงเยี่ยเทียน เสนอราคาออกไปสองสามแสนก็ถือว่าพอประมาณแล้ว แต่ท่าทางของเว่ยหงจวิน ราวกับมีไพ่เหน็บที่เอว พร้อมจะประจันหน้าไม่ว่ากับใครก็ตาม
“ได้ ผมเสนอราคาเพิ่มอีก หกแสน!”
เมื่อนึกถึงยันต์ไม้ท้อแผ่นนั้น เหลยอู้กัดฟันแล้วเสนอราคาออกไป เขารู้ว่าเยี่ยเทียนกับเว่ยหงจวินนั้นสนิทสนมกัน บางทีสิ่งนี้อาจเป็นของล้ำค่าอะไรสักอย่างก็เป็นได้
หลังจากที่เหลยอู้เสนอราคาออกมา คนในงานก็ตื่นเต้นฮือฮา ผู้คนบนโต๊ะที่ห่างออกไปค่อนข้างไกล พากันยืนขึ้นมาดูว่าใครกันที่เป็นคนเสนอราคานี้
แม้หกแสนในสายตาผู้คนมากมายไม่นับว่าเยอะอะไร แต่ประเด็นคือตอนนี้ของประมูลกับคนที่ส่งของขึ้นไปประมูล ต่างดูไม่มีมูลค่าถึงขนาดนั้น
ไม่ต้องพูดถึงจี้หยก ซึ่งดูราวมีราคาเพียงหนึ่งหมื่นแปดพันหยวน
ส่วนตัวเยี่ยเทียน ทั่วทั้งงานนอกจากสามถึงห้าคนที่รู้เรื่อง ก็ไม่มีใครรู้ที่มาของเด็กหนุ่มคนนี้ ต่อให้มีเว่ยหงจวินและเหลยอู้รวมทั้งหลิวต้าจื้อทั้งสามคนคอยยกย่องเชิดชู ก็ไม่ถึงขั้นเสนอราคาประมูลสูงถึงหกแสน
อีกทั้งท่าทางของเว่ยหงจวินกับเหลยอู้ ก็ดูไม่เหมือนกับคนชอบประจบประแจง คงมีเป้าหมายที่จี้หยก นั่นทำให้สายตาของคนบางส่วน หันกลับไปพิจารณาที่หยกชิ้นนั้นบนเวทีอีกครั้ง
“แปดแสน!”
หลังจากยกมือขึ้นแล้วบวกราคาเพิ่มอีกสองแสน เว่ยหงจวินหันไปมองเหลยอู้ด้วยสีหน้าโอดครวญ พูดว่า “เถ้าแก่เหลย ท่านแทบไม่เข้าใจอะไรในของชิ้นนี้เลย จะแย่งชิงกับผมไปทำไมครับ? ให้ของชิ้นนี้แก่ผม แล้วถือเสียว่าพี่ชายอย่างผมติดค้างน้ำใจคุณครั้งนี้เป็นไง?”
ขณะพูดเว่ยหงจวินก็ยืนขึ้น ประสานมือคำนับไปทางหลิวต้าจื้อที่อยู่ห่างไกล ความหมายชัดเจน ว่าขอบคุณพี่ชายทั้งหลายที่ช่วยเหลือเยี่ยเทียน แต่ไม่ต้องปั่นราคาแล้ว
ความจริงแล้วท่าทางนี้ของเว่ยหงจวิน ก็มีส่วนหนึ่งเป็นการแสดงละครอยู่ภายใน ราคานี้ที่เขาเสนอออกไป ไม่ถือว่ากดดันอะไร
ต้องเข้าใจว่า ของชิ้นก่อนหน้าที่เยี่ยเทียนขายออกไปนั้นมีมูลค่าถึงหนึ่งล้าน ของเล่นชิ้นนี้เทียบกับหยกน้ำเต้ายังเหนือชั้นกว่า เว่ยหงจวินเสนอราคาแปดแสนจึงไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน
แต่ว่าเถ้าแก่ทั้งหลายที่อยู่ภายในงานส่วนใหญ่ไม่รู้ หยกชิ้นหนึ่งที่ไม่โดดเด่นสะดุดตา กลับถุูกประมูลในราคาสูงเสียดฟ้า อีกทั้งยังเป็นของราคาสูงที่สุดในงานประมูลการกุศลวันนี้ ทำให้ทุกคนต่างนั่งไม่ติดกันเลยทีเดียว
……………………