หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 199
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก เยี่ยเทียนก็สงบจิตใจนั่งลง เขาคาดเดาทิศทางที่ “เถ้าแก่เจี๋ย” ไป ชั่วประเดี๋ยวเดียวเยี่ยเทียนก็ลืมตาขึ้น คิ้วขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าภายในใจมีเรื่องไม่อาจตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
จากการอนุมานเมื่อครู่ เยี่ยเทียนพบว่า “เถ้าแก่เจี๋ย” คนนั้นได้ไปจากปักกิ่งแล้ว ตอนนี้อาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และสถานที่ที่เขาจะไป คงจะเป็นอุรุมชี
สมัยก่อนเยี่ยเทียนเคยไปกับอาจารย์มาแล้วหลายที่ เดินทางแทบจะทุกที่ทั่วประเทศ แต่ว่ามีเพียงสามแห่งเท่านั้นที่พวกเขายังไม่เคยไป ที่แรกคือเขตพื้นที่อวิ๋นกุ้ย อีกสองที่นั้นคือทิเบตและซินเจียง
เรื่องที่เยี่ยเทียนสับสนในใจอยู่ตอนนี้คือ ตัวเองต้องสะกดรอยตามจัดการกับคนพวกนี้หรือไม่ อย่างแรกดูจากคำทำนายแล้ว ในอนาคตพวกเขาจะนำปัญหามาให้พ่ออย่างมาก อยากกำจัดปัญหาเหล่านี้ ทางที่ดีที่สุดคือจัดการปัญหาตั้งแต่ต้นตอ
อย่างที่สอง ในตัวของ ”เถ้าแก่เจี๋ย” มีพลังชั่วร้ายค่อนข้างแรง มือนั้นอย่างน้อยต้องเคยฆ่าคนมาหลายชีวิต หากจัดการพวกเขา ก็เท่ากับได้ทำความดี
บวกกับคนผู้นั้นที่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกล สร้างปัญหาให้เยี่ยเทียนถึงสองครั้งสองครา หากเยี่ยเทียนลงมือ ก็ไม่นับว่าผิดกฏของยุทธจักร
เพียงแต่การเดินทางไปกลับครั้งนี้ คาดคะเนอย่างสั้นก็ครึ่งเดือน บางทีถ้ายาวนานอาจเป็นเดือนกว่า เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนกำลังก่อสร้าง เขากลัวว่าหากเกิดข้อผิดพลาดอะไรกับขั้นตอนนี้ จะทำให้หลังจากสร้างเสร็จค่ายกลเสร็จ กลับไม่สามารถใช้งานได้ในอนาคต
“ลูกผู้ชายกระทำการ ทำตามใจปรารถนา เมื่อเรื่องนี้ทำให้จิตใจไม่สงบ ก็ต้องจัดการให้เร็วที่สุด!”
หลังจากเดินวนไปมาอยู่กลางห้อง เยี่ยเทียนก็ตัดสินใจเด็ดขาด เวลาตัดสินใจไม่เด็ดขาดจะได้รับผลกระทบจากมัน ทำให้ปัญหานี้ติดค้างอยู่ภายในใจ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อการฟื้นฟูและก้าวข้ามทักษะขั้นต่อไปของเยี่ยเทียนในอนาคต
หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งขึ้น แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รีบเร่งติดตามไป จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เยี่ยเทียนก็มีความมั่นใจว่าสามารถหยุดพวกเขาที่ซินเจียงได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน
……………………-
“หวังกง ตำแหน่งเหล่านี้ คุณจำเป็นต้องคุมงานด้วยตนเองนะครับ ผมบอกรูปร่างลักษณะของวัตถุและตำแหน่งที่ตั้งแล้ว อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ เด็ดขาด อีกไม่กี่วันผมต้องออกเดินทางไกล เรื่องที่นี่ต้องรบกวนคุณด้วย!”
เดินทอดน่องมาถึงเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็พบหวังกง ชี้ให้เขาดูสองสามตำแหน่งบนแปลนกระดาษ “ตรงนี้คือตำแหน่งของค่ายกล จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
“ท่านประธานเยี่ย ท่านวางใจได้เลย แม้ว่างานนี้จะค่อนข้างละเอียด แต่ผมก็ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก ผมจะควบคุมพวกเขาเอง…”
หวังกงรู้ว่าเยี่ยเที่ยนกับเถ้าแก่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อกัน จึงตบหน้าอกรับประกันทันที นั่นทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกมั่นใจขึ้นมาหน่อย ค่ายกลนี้สำคัญกับเขามากจริงๆ
พอถึงวันที่สาม เยี่ยตงผิงโยนหนังจระเข้ให้ลูกชาย และยังมีหนังสือรับรองเก็บสะสมโบราณวัตถุที่ออกโดยองค์กรที่มีอำนาจสูงของเมืองหลวง นานทีลูกชายจะร้องขอให้เขาช่วย คนเป็นพ่อก็ต้องทำให้เรียบร้อยเป็นธรรมดา
“ของชิ้นนี้นับว่าไม่เลวเลย…”
ง่วนอยู่ในห้องทั้งวัน เยี่ยเทียนมองหนังจระเข้ผืนนี้อย่างพึงพอใจ เขายังแกะสลักค่ายกลลงไปบนหนังด้วย ซึ่งไม่เพียงช่วยชำระพลังร้ายของดาบสั้น ในเวลาเดียวกันตราบใดที่ดาบไม่ถูกดึงออกจากฝัก ก็จะไม่มีใครรู้ว่านี่คือเครื่องรางชิ้นหนึ่ง
ดาบสั้นนี้ยาวไม่เกินสองนิ้วมือ แขนเสื้อทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนมีเงื่อนเย็บอยู่สองปม หลังจากใส่ดาบสั้นเข้าไป ก็พอดีกับปลายแขนของตน ตอนพับแขนยังไม่รู้สึกว่าส่งผลต่อการเคลื่อนไหวมากนัก
“พ่อ ผมจะไปข้างนอก ประมาณสิบกว่าวันถึงจะกลับนะ…” วันต่อมาตอนกินอาหารเช้า เยี่ยเทียนคุยกับพ่อเรื่องนี้
เยี่ยตงผิงมองยังลูกชายแวบหนึ่ง ตอบกลับไปว่า “จะไปก็ไปสิ อย่าไปก่อเรื่องข้างนอกล่ะ!”
“แหะๆ พ่อ ช่วงนี้ เรื่องเงินค่อนข้างติดขัด…”
เยี่ยเทียนยิ้มแหยแล้วยื่นมือออกไปหาพ่อ ที่จริงเขามีเงิน เพียงแต่ไม่กี่วันก่อนเอาบัตรไปให้เว่ยหงจวินจนหมด เขารู้ว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จหลังจากนั้นเว่ยหงจวินก็จะคืนส่วนที่เหลือ แต่กลับรู้สึกลำบากใจที่จะไปขอเงินเล็กน้อยนี้จากเขา
“ไอ้เจ้านี่ คิดว่าพ่อแกเป็นเศรษฐีที่ดินหรอ” เยี่ยตงผิงวางตะเกียบลงอย่างอารมณ์เสีย หันตัวเดินออกไป
“เสี่ยวเทียน คราวนี้เธอจะไปไหนเหรอ?” เยี่ยตงผิงชินกับการกระทำของลูกชายที่ชอบไปไหนตามลำพัง แต่ว่าป้าทั้งสองเป็นห่วงหลานชาย ในสายตาของพวกเขา เยี่ยเทียนเป็นเพียงแค่หนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ เท่านั้น
เยี่ยเทียนไม่กล้าบอกว่าไปวางเพลิงฆ่าคนอย่างแน่นอน หัวเราะตอบทันทีว่า “ป้า ผมจะกลับไปเที่ยวเจียงหนาน ไม่กี่วันก็กลับแล้วครับ…”
“แค่สามพันหยวนนะ เยอะกว่านี้ไปสำรองเอาเอง” ขณะกำลังพูดอยู่ เยี่ยตงผิงเดินเข้ามาจากข้างนอก โยนเงินปึกหนึ่งไว้ตรงหน้าเยี่ยเทียน
“จะออกไปข้างนอกทั้งทีต้องพกเงินไปเยอะหน่อย เยี่ยเทียน ป้ายังพอมีเงิน รออยู่นี่นะ ป้าจะไปเอามาให้” ป้าใหญ่ไม่พอใจความขี้เหนียวของเยี่ยตงผิงอย่างมาก ลุกขึ้นจะไปหยิบเงินมาให้เยี่ยเทียน
“โอ๊ย พี่ เขามีเงินมากกว่าพวกเราอีก อย่าไปเชื่อเจ้าเด็กเวรนี่ “
เยี่ยตงผิงถูกพี่สาวพูดเสียจนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลังจากดึงตัวพี่สาว ก็ควักเงินออกมาจากกระเป๋าอีกสองพันหยวน พูดว่า “รีบไปเลย พรุ่งนี้พ่อจ่ายค่าเช่าแล้วก็ต้องไปถอนเงินอีก!”
เห็นพ่อยอมจำนน เยี่ยเทียนก็รีบกลืนซาลาเปาสองลูกเข้าไปอย่างรวดเร็ว รวบเงินบนโต๊ะกลับเข้าห้องตัวเอง
ซินเจียงเดือนกันยายนอุณภูมิหนาวกว่าแถบนั้นนิดหน่อย นอกจากชุดชั้นในสำหรับเปลี่ยนซักไม่กี่ชิ้น เยี่ยเทียนก็เตรียมเสื้อคลุมไว้สองตัว นอกนั้นยังใส่หมวกอีกใบหนึ่ง หาอะไรมาคลุมผมเพื่อที่จะได้สะดุดตาผู้คนน้อยที่สุด
บอกให้อวี๋ชิงหย่ารู้แล้ว ทางเว่ยหงจวินก็ฝากฝังแล้วเช่นกัน เยี่ยเทียนคิดไปคิดมา หยิบมือถือออกจากกระเป๋าทิ้งลงบนโต๊ะ
เยี่ยเทียนไม่กลัวปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากแส่หาเรื่อง สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลายนัก ถือเจ้าสิ่งนี้ไว้อาจถูกคนจับตามองได้
หิ้วกระเป๋าเป้ขึ้น เยี่ยเทียนใส่ชุดออกกำลังกายออกไปจากเรือนสี่ประสาน นั่งรถแท็กซี่ตรงมาถึงสถานีรถไฟเมืองปักกิ่ง หลังลงจากรถเยี่ยเทียนก็เข้าไปที่ลานจอดรถจากช่องทางเข้าของพนักงาน
“เยี่ยเทียน หลายปีมานี้นายไม่ได้กลับเจียงซูเลยใช่ไหม? ทำไมไม่มาหาลุงหยางบ้างล่ะ?”
มาถึงป้อมยามของสถานีรถไฟ หยางข่ายจวินรออยู่ตรงนั้นพอดี เมื่อเห็นเยี่ยเทียนก็ยิ้มต้อนรับ ซึ่งทำให้คนในป้อมต่างรู้สึกตื่นตกใจ สายตาที่มองมาทางเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป เป็นใครมาจากไหนกันถึงสนิทสนมกับอธิบดีหยางได้ขนาดนี้?
คดีที่เกิดบนขบวนรถไฟเมื่อสองปีที่แล้วนั้น ทำให้นายตำรวจหยางได้รับการชมเชยจากกระทรวงการรถไฟและกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ตอนนี้เป็นรองอธิบดีของฝ่ายรักษาความปลอดภัยกระทรวงการรถไฟพื้นที่เขตปักกิ่ง
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีคนก่อเหตุร้ายในปีนั้น อธิบดีหยางรู้สึกขอบคุณในใจมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อรู้ว่าเยี่ยเทียนต้องการตั๋วตู้นอนบนรถไฟหนึ่งใบจากปักกิ่งถึงอุรุมชี หยางข่ายจวินจึงมาที่สถานีด้วยตนเอง
“ลุงหยาง รบกวนลุงมาตลอด เกรงใจจังเลยครับ เรื่องคราวนี้ค่อนข้างเร่งด่วนถึงได้มาหาลุง” เยี่ยเทียนยิ้มด้วยความเขินอาย เหมือนกับนักศึกษาใหม่เมื่อสองปีก่อนคนนั้น
“พูดอะไรกัน มีเรื่องแล้วไม่มาพบลุงหยาง เป็นอย่างนั้นลุงจะโมโหมากกว่านะ…”
หยางข่ายจวินหัวเราะ หลังจากมองนาฬิกาแล้วก็พูดว่า “ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่ารถจะออก ไป ฉันไปส่งเธอที่ตู้นอนก่อนแล้วกัน”
ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับอธิบดีหยาง หาตู้นอนบนรถไฟจึงไม่นับเป็นปัญหา หลังจากส่งเยี่ยเทียนขึ้นตู้นอน พุดคุยกับเยี่ยเทียนอยู่พักหนึ่ง ก็วางผลไม้ไว้ให้เยี่ยเทียนกินระหว่างทางจำนวนไม่น้อย จากนั้นหยางข่ายจวินถึงลงจากรถไฟ
“ปลูกต้นเหตุในอดีต ได้ผลลัพธ์ในวันนี้ มีกินมีดื่มคราวนี้เป็นเจตนาสวรรค์ล้วนๆ!”
รถไฟจากปักกิ่งถึงอุรุมชีมีเพียงแค่ขบวนเดียว หากไม่ได้หยางข่ายจวินช่วยเหลือ คาดว่าเยี่ยเทียนคงจะต้องนั่งเป็นระยะทางอันยาวไกล แรงสั่นสะเทือนขนาดนั้นต่อให้เป็นเยี่ยเทียนก็ไม่อยากทดสอบ
“พ่อหนุ่ม เธอก็อยู่ตู้นี้เหมือนกันเหรอ?” ขณะรถไฟกำลังจะออก ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เปิดประตูห้องออก กล่าวทักทายอย่างสุภาพอ่อนโยนกับเยี่ยเทียน
“ใช่ครับ คุณอา เข้ามาเลยครับ”” เยี่ยเทียนช่วยชายวัยกลางคนยกกระเป๋าเข้ามา “รถไฟขบวนนี้จะใช้เวลาเดินทางประมาณสามสิบชั่วโมง หากไม่มีคนคุยด้วยก็คงรู้สึกอึดอัดแย่”
“ฉันนั่งเครื่องบินไม่ได้ ทุกครั้งที่ไปอุรุมชีต้องนั่งรถไฟตลอด พ่อหนุ่มเธอจะไปทำอะไรที่นั่นหรือ?” มีคนธรรมดาไม่มากนักที่สามารถซื้อตู้นอนสำหรับสองคน ชายวัยกลางคนจึงรู้สึกเกรงใจเยี่ยเทียนเช่นกัน
“มีญาติอยู่ที่นั่นครับ ผมจะไปบ้านญาติ…’’ เยี่ยเทียนยิ้มตอบกลับไป ระหว่างการเดินทางของผู้คน สามารถสร้างมิตรภาพได้ง่ายมาก หลังจากรถไฟออกจากปักกิ่งได้ไม่นาน เยี่ยเทียนก็รู้จักประวัติของชายวัยกลางคนผู้นี้
ชายวัยกลางคนนี้มีชื่อว่าเฉินสี่ฉวน เป็นชาวปักกิ่งแท้ๆ แต่ว่าในอดีตเคยถูกส่งไปพัฒนาชนบทที่ซินเจียง จึงรู้สึกผูกพันกับที่นั่น หลังจากทำธุรกิจรุ่งเรืองอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว ก็กลับไปลงทุนทำโรงงานทอฝ้ายที่ซินเจียง
ปริมาณผลผลิตฝ้ายของซินเจียงนั้นติดโผหนึ่งในสิบอันดับของโลก ส่งผลให้ไม่กี่ปีมานี้ธุรกิจของเฉินสี่ฉวนในซินเจียงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงมักใช้เวลาอยู่ที่นั่นถึงครึ่งปีในแทบทุกปี
“มา เสี่ยวเยี่ย ปูผ้าที่ฝั่งนั้น เรามาดื่มกันสักหน่อย!”
พอถึงเวลากลางวัน เฉินสี่ฉวนก็เปิดกระเป๋า เอากับข้าวไม่กี่อย่างออกมา แล้วยังมีเอ้อกั่วโถวขวดหนึ่ง ซึ่งถูกปากคนปักกิ่งรุ่นราวคราวเดียวกับเขา
“หืม? ลุงเฉิน ลุงกำลังค้นคว้าเกี่ยวกับฮวงจุ้ยหรือครับ?”
เยี่ยเทียนช่วยเฉินสี่ฉวนเก็บหนังสือที่ตกขึ้นมาเล่มหนึ่ง “ฮวงจุ้ยบ้านและห้องนอน”? เยี่ยเทียนเห็นอย่างนั้นก็อดขำไม่ได้
เฉินสีฉวนยิ้มตอบว่า “เวลาไม่มีอะไรทำก็คิดไปเรื่อยเปื่อย แต่ว่าเสี่ยวเยี่ย นี่ไม่ใช่ความเชื่องมงายหรอกนะ เป็นความรู้ที่ปู่ยาตายายของพวกเราถ่ายทอดมา…”
“ครับ ลุงเฉินพูดไม่ผิดเลย!”
เยี่ยเทียนยิ้มประจบประแจงสองสามคำ แต่ไม่ได้พูดถึงสถานะของตัวเอง แต่พอเป็นแบบนี้จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจจากเฉินสี่ฉวนมากขึ้น เยี่ยเทียนแทรกขึ้นมาหนึ่งคำ ยิ่งทำให้เถ้าแก่เฉินดีอกดีใจ
มีคนพูดคุยด้วย เวลาก็ผ่านไปเร็ว หลังจากนอนสักงีบกินข้าวสักสองสามมื้อ ในที่สุดรถไฟก็ถึงที่หมายยังสถานีอุรุมชี
“เสี่ยวเยี่ย กลับไปปักกิ่งแล้ว อย่าลืมโทรมาหาลุงนะ!”
ถึงแม้ออกปากว่าจะไปส่งเยี่ยเทียนที่บ้านญาติของเขา แต่เยี่ยเทียนก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ หลังออกมาจากสถานี เฉินสี่ฉวนก็โบกมือให้กับคนที่สามารถพูดคุยกันได้จนลืมวัย
เยี่ยเทียนเองไม่ได้เรียกรถ หลังจากออกจากสถานีรถไฟ ก็เดินไปตามเส้นทาง เขาสามารถสัมผัสได้ว่า ระยะห่างของตัวเองกับ “เถ้าแก่เจี๋ย” คนนั้น ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หลังผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนก็ยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมแห่งหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ไม่ออกคือ โรงแรมที่อยู่ข้างหน้านี้ ช่างเหมือนกับสถานีตำรวจ