หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 207
“ลูกพี่ ที่นี่มันร้างจนแม้แต่เงาผีสักตัวยังไม่มีเลย แล้วจะไปมีอันตรายอะไรได้ล่ะ?”
หลังจากเดินเขาไปเจ็ดแปดชั่วโมง เปียวจึก็หมดแรงไปเยอะพอสมควร เมื่อเห็นตี๋วั่งหยุดฝีเท้าลง เปียวจึบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจ ก็เขาเป็นคนแบกสัมภาระหนักเกือบร้อยชั่งนี่อยู่บนหลังนี่หว่า
เมื่อสายลมพัดลงมาจากบนภูเขา ตี๋วั่งก็ขยับจมูกฟุดฟิดทันที สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก และพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ระวังตัวนะ ฉันได้กลิ่นคาวเลือด!”
ขณะเดียวกับที่กำลังพูด ตี๋วั่งก็โยนไม้เท้าปีนเขาทิ้ง แล้วหมอบร่างลงไปกับพื้นทันที การเคลื่อนไหวอันว่องไวนั้นดูไม่เหมือนคนอายุห้าสิบกว่าปีเลย
หลังจากผ่านการสู้รบมาสิบกว่าปี การคลุกคลีอยู่ท่ามกลางโลหิตและกองเพลิงนั้น ทำให้ประสาทสัมผัสของตี๋วั่งไวต่อกลิ่นเลือดมาก แม้แต่กลิ่นคาวเลือดที่มากับลมเพียงจางๆ จนแทบไม่น่าจะสังเกตได้ เขาก็ยังดมได้กลิ่นอยู่
“มีเรื่องจริงๆ รึ?”
เมื่อเปียวจึเห็นการเคลื่อนไหวของลูกพี่ก็อึ้งไปทันที แต่เขาเองก็มีปฏิกิริยารวดเร็วเช่นกัน หมอบฟุบลงไปกับพื้นทันที ใช้ศพร่างนั้นกำบังไว้ข้างหน้า และวางปืนไว้บนกระเป๋าเพื่อเตรียมเล็ง
ตี๋วั่งรู้ว่า เปียวจึมีนิสัยมุทะลุ เมื่อเห็นเขาหยิบปืนออกมา จึงรีบห้ามว่า “อย่ายิงปืนนะ เดี๋ยวหิมะถล่มกันพอดี…”
แม้ว่าหิมะที่สะสมอยู่บนภูเขาฝั่งนี้จะไม่หนาเท่าอีกฝั่งหนึ่ง จะพูดเสียงดังหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเสียงปืนละก็ จะต้องทำให้หิมะไหลถล่มลงมาแน่นอน ต่อให้เป็นหิมะถล่มขนาดเล็ก พวกเขาเหล่านี้ก็คงไม่รอดแน่ๆ
“น้องหก ประคองเจ้านี่ไว้หน่อยซิ อย่าให้ไหลลงเขาไปล่ะ…”
หลังจากได้ยินตี๋วั่งห้ามปราม รอยยิ้มเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเปียวจึ เขาเอื้อมมือไปชักมีดทหารเล่มหนึ่งออกมา แล้วพูดว่า “ลูกพี่ ถ้าพวกเราไม่กล้ายิงปืน ฝ่ายตรงข้ามมันก็คงไม่กล้าเหมือนกัน ฉันจะแอบไปดูหน่อยว่าใครกันที่กล้ามาหาเรื่องเรา”
เปียวจึฝึกวิชาฆาตกรรมกับตี๋วั่งตั้งแต่เล็ก และยังเคยไปชกมวยใต้ดินตามเมืองเขตชายฝั่งทะเลมาสองปี ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ใช้อาวุธจำพวกปืนหรือระเบิดละก็ ต่อให้มีกันสามสี่คนก็ไม่ครณามือเขาเลย
“อย่าเข้าไป ฝ่ายนั้นมันอาจจะกล้ายิงก็ได้นะ!”
ตี๋วั่งตะโกนรั้งเปียวจึไว้ แล้วพูดต่อไปว่า “ข้างในเขตเจดีย์น้ำแข็งนั่นน่ะมีกองหิมะสะสมน้อยมาก แล้วด้านหลังก็มีผาหินกับน้ำแข็งตั้งกำบังอยู่ ต่อให้หิมะถล่ม ที่นั่นก็ไม่โดนกลบไปหรอก…”
เขตเจดีย์น้ำแข็งนั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะอย่างยิ่ง ด้านหลังเป็นผาหินสูงเกือบร้อยเมตร แม้จะมีหิมะถล่มลงมาจากข้างบน มันก็จะไถลผ่านเลยด้านหน้าของเขตเจดีย์น้ำแข็งไปพอดี ที่นั่นจึงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมาก
“ลูกพี่ จะขึ้นก็ไม่ขึ้นจะลงก็ไม่ลงเนี่ย แล้วพวกเราจะหมอบอยู่ตรงนี้ตลอดไปได้ยังไงล่ะ?” พอได้ยินตี๋วั่งพูดแบบนั้น เปียวจึก็ชักจะเริ่มงง คนอื่นยิงปืนได้ แต่ตัวเองยิงไม่ได้ อย่างนั้นไม่เท่ากับตกเป็นเป้ายิงอยู่ที่นี่หรอกรึ?
“เดี๋ยวนะ กลิ่นนี้มันเหมือนจะไม่ใช่เลือดคน…”
ตี๋วั่งพลันขมวดคิ้ว จมูกสูดดมไปตามทิศที่ลมพัดมา หลังจากถือกล้องส่องทางไกลสำรวจดูที่ตำแหน่งสูงไปพักหนึ่ง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “อาจจะเป็นสัตว์สองตัวทิ้งคราบเลือดไว้บนเนินเขาฝั่งนั้นน่ะ”
“ลูกพี่ งั้นก็ไม่เป็นไรแล้วสิ? ตรงนี้มันหนาวจริงๆ พวกเรารีบขึ้นไปกันเถอะ!” เปียวจึลุกขึ้นมาอย่างหมดความอดทน ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะแบกศพจนเหงื่อโทรมกาย นี่พอหมอบลงกับพื้นก็เลยรู้สึกหนาวเหน็บจนถึงกระดูกขึ้นมาทันที
“รออีกเดี๋ยว!”
หลังจากถือกล้องส่องทางไกลสังเกตดูอีกพักหนึ่ง ตี๋วั่งก็ไม่พบอะไรน่าสงสัยอีก ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ขึ้นไปบนเขตเจดีย์น้ำแข็งกันเถอะ ฉันว่ามันก็ยังมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่หน่อยๆ น้องห้า แกกับน้องหกยกศพเดินรั้งท้ายก็แล้วกัน เปียวจึ แกไปเดินข้างหน้า!”
ทั้งๆ ที่แน่ใจว่า คราบเลือดบนเนินเขานั้นไม่ใช่ของคน แต่ตี๋วั่งก็ยังคงไม่อาจขจัดปัดเป่าเงามืดที่อยู่ในใจออกไปได้ จึงปรับการเรียงขบวนใหม่ แล้วจึงจะเริ่มมุ่งหน้าไปยังเขตเจดีย์น้ำแข็ง
ไม่ว่าตี๋วั่งจะระมัดระวังแค่ไหน ตอนนี้ก็ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับได้อีกแล้ว และในหลายปีมานี้ตั้งแต่เขาได้ตำราศาสตร์ลับที่ไม่สมบูรณ์เล่มนั้นมา ก็ยังไม่เคยเจอใครอื่นที่รู้วิชาเหล่านี้เลย
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรตี๋วั่งก็นึกไม่ถึงว่า ที่เบื้องหน้าตนนั้นจะมีคนวางค่ายกลฮวงจุ้ยพิฆาตไว้ และกำลังรอให้พวกเขาไปติดกับอยู่!
“ลูกพี่ คนบ้าบออะไรไม่เห็นจะมีสักคนเลย รีบเข้าไปทำอะไรร้อนๆ มากินกันเถอะ ฉันใกล้จะหนาวตายอยู่แล้วเนี่ย!”
เมื่อมาถึงจุดที่อยู่ห่างจากเขตเจดีย์น้ำแข็งได้สิบกว่าเมตร เปียวจึก็หัวเราะขึ้นมาดังฮ่าๆ แม้ที่นี่จะมีเสาน้ำแข็งอยู่มากมาย แต่เสาทุกต้นก็โปร่งใส สามารถมองผ่านทะลุไปได้ทันที ไม่มีทางที่จะซ่อนใครไว้ได้อยู่แล้ว
“กันไว้ดีกว่าแก้ ระวังตัวหน่อย!”
ตี๋วั่งตอบอย่างเยือกเย็น ในใจก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อเข้าไปในเขตเจดีย์น้ำแข็งนี้แล้ว พวกเขาก็จะได้ครอบครองชัยภูมิที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าศัตรูจะมาจากทิศทางใด พวกเขาก็ไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน
แต่ไม่ว่าอย่างไรตี๋วั่งก็นึกไม่ถึงว่า ศัตรูของตนนั้นไม่ใช่ ‘คน’ ที่ถืออาวุธปืน แต่เป็นศาสตร์ลี้ลับที่เขาพยายามศึกษามาหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่กระจ่าง!
เปียวจึตอบอย่างไม่สนใจว่า “จะไปมีอะไรได้เล่า? น้องห้าน้องหก โยนไอ้นั่นไว้แถวนี้แหละ แล้วรีบจุดไฟทำกับข้าวกัน!”
ระหว่างที่กำลังพูด เปียวจึก็เดินเข้าไปในเขตเจดีย์แล้ว แต่เขาเป็นคนที่มีเลือดลมแข็งแรงทรงพลังมาก และเลือดลมก็สูบฉีดไหลเวียนดีมาตลอดการเดินทาง ทำให้รู้สึกแค่ว่าร่างกายหนาวเย็นขึ้นมาวาบหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ตี๋วั่งและคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อครู่เพิ่งจะปีนเขากันจนเหงื่อท่วมตัว จึงไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิรอบกาย อีกชั่วครู่เดียวก็จะเดินไปถึงจุดตั้งแคมป์ของเมื่อวานนี้แล้ว
ค่ายกลพิฆาตที่เยี่ยเทียนวางไว้นั้น บริเวณรอบนอกจะไม่ได้มีกระแสพลังพิฆาตรุนแรงมากนัก แต่ยิ่งก้าวเข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางมากขึ้นเท่าไร กระแสพลังพิฆาตก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อถึงจุดศูนย์กลางแล้ว จะเรียกว่ากลายเป็นผีหรือปีศาจก็ไม่ได้มากเกินไปเลย
“เฮ้ย ทำไมรู้สึกหลอนๆ ยังไงชอบกลวะ? อ้าวไอ้ระยำ เป็นแกนี่เอง ไอ้สารเลวเอ๊ย ฉันจะฆ่าแก!”
เปียวจึซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าสุดพลันไปสีหน้าไป ขณะที่เพิ่งจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ สมองก็ถูกกระแสพลังพิฆาตจู่โจมจนสติเริ่มเลอะเลือนไปแล้ว และเห็นวัยรุ่นใส่ชุดทหารสีเขียวถือป้ายคติพจน์กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
หลังจากเห็นคนเหล่านี้ ดวงตาของเปียวจึก็แดงก่ำขึ้นมาทันที เนื่องจากสมัยที่เขาอายุประมาณหกเจ็ดขวบ เคยเห็นคนเหล่านี้ลากพ่อแม่ของเขาที่เป็นครูออกไปต่อสู้ และทุบตีพวกท่านจนตายกับตาตัวเอง
แต่เดิมเปียวจึมีครอบครัวที่มีความสุข ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็กลายเป็นเด็กจรจัด ต้องทนรับสายตาดูหมิ่นและความอัปยศอดสูต่างๆ
ภายหลังเปียวจึก็เคยไปตามหาคนเหล่านั้นแล้ว แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ แต่ไอ้คนที่ใช้ไม้กระบองฟาดที่ด้านหลังศีรษะของมารดานั้น เปียวจึไม่มีวันลืมหน้ามันไปชั่วชีวิต
“แย่ละ นี่…นี่มันค่ายกลนี่?!”
เมื่อตี๋วั่งที่เดินอยู่ข้างหลังเปียวจึได้ยินเปียวจึตะโกนคำแรกออกมา เขาก็รู้สึกเอะใจแล้ว จึงหันหลังขวับหมายจะวิ่งกลับออกไปข้างนอก
แต่สิ่งที่ทำให้ตี๋วั่งเข้าตาจนก็คือ ลำคอของเขาถูกคนจับไว้แล้ว จากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังช่วงเอว มีดทหารเล่มหนึ่งแทงเข้าไปอย่างดุดัน
“ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก ฮ่าๆ พ่อครับ แม่ครับ ลูกล้างแค้นให้แล้วนะ!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งของเปียวจึ มือซ้ายของเขาบีบคอของตี๋วั่งไว้ มือขวาก็กระหน่ำแทงมีดลงไปบนร่างของตี๋วั่งครั้งแล้วครั้งเล่า รอยยิ้มแปลกชวนขนลุกปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่บั้นเอวนั้น ทำให้ตี๋วั่งไม่เกิดอาการเห็นภาพหลอนที่เกิดจากกระแสพลังพิฆาต เขาพยายามหันหน้าไปมองดูเปียวจึที่กำลังคลุ้มคลั่ง ตี๋วั่งพูดพึมพำว่า “เป็น…เป็นอย่างที่เขาว่า หมอ…หมองูตายเพราะงูแท้ๆ เลย เปียวจึ พวกเราคงไม่รอดชีวิตกันแล้วละ ฉันจะช่วยส่งแกไปสบายก็แล้วกัน!”
ขณะพูด ตี๋วั่งรวบรวมพลังทั้งหมดยกขวามือขึ้นมา ประกายสีดำสนิทสว่างวาบ เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของเปียวจึหยุดชะงักไปทันที ที่คอของเขาปรากฏแมงป่องยักษ์ตัวหนึ่งที่เรืองแสงออกมาทั้งตัว แล้วหางแมงป่องยาวโง้งก็แทงเข้าไปในลำคอของเปียวจึ
นอกจากวิชาค่ายกลที่รู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ แล้ว ไพ่ไม้ตายของตี๋วั่งก็คือแมงป่องที่เลี้ยงด้วยศาสตร์ลับจากเหมียวเจียงตัวนี้นี่เอง เมื่อก่อนตี๋วั่งคิดว่า ต่อให้เจอกับผู้ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ลี้ลับ เขาก็ยังมีความสามารถที่จะโต้ตอบได้
แต่เมื่อถึงยามนี้ ตี๋วั่งจึงเพิ่งจะรู้ว่า ความคิดของตนนั้นน่าหัวเราะขนาดไหน และเพิ่งจะรู้ว่าการฆ่าคนที่มองไม่เห็นนั้นเป็นอย่างไร เขาไม่มีโอกาสที่จะนำแมลงพิษไม้ตายของตัวเองไปใช้กับศัตรูได้เลย
การเสียเลือดทำให้สติของตี๋วั่งค่อยๆ เลอะเลือนไป และราวกับมองเห็นว่า คนแต่ละคนที่ถูกเขาฆ่าไปที่พม่าและไทยเมื่อสมัยก่อนนั้น ต่างก็มาล้อมมุงอยู่รอบตัวเขา มือที่เป็นกระดูกสีขาวน่าขนลุกนับไม่ถ้วนกำลังลากสติของเขาลงสู่หุบเหวลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด
ขณะที่ตี๋วั่งและเปียวจึล้มลงไปบนพื้นพร้อมๆ กัน น้องห้าและน้องหกก็ตกอยู่ในความบ้าคลั่งเช่นกัน
เมื่อก่อนน้องห้าทำงานประเภทปล้นของจากศพ คราวนี้ไม่รู้ว่าเขามองเห็นอะไรบ้าง ปากร้องออกมาเสียงดัง “ฮือๆ” ส่วนมือทั้งคู่ก็ตะปบใบหน้าของตัวเอง แม้แต่ลูกตาก็ถูกควักออกมา สภาพดูน่าพรั่นพรึงอย่างสุดแสน
ทุกคนต่างก็เคยทำเรื่องน่าละอายใจกันทั้งนั้น แต่ในยามปกติมักจะซุกซ่อนมันไว้ในลึกๆ ในใจ คนที่น้องหกกำลังมองเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นเพื่อนร่วมกองทัพที่อยู่หมู่เดียวกันกับเขาเมื่อครั้งอดีต เพียงแต่ว่าเพื่อนๆ ของเขาเหล่านี้ต่างก็แขนขาดขาด้วน เลือดเนื้อเลอะเลือนเละเทะ
ในระหว่างการระเบิดทางวิศวกรรมครั้งหนึ่ง น้องหกเผลอฝังระเบิดไปลูกหนึ่งด้วยความประมาท เมื่อหัวหน้าหมู่พาคนไปตรวจสอบ ลูกระเบิดนั้นก็ระเบิดขึ้นมา ตอนที่ขุดห้าคนนั้นออกมา ก็ไม่มีร่างของใครอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบเลยสักคน
และก็เป็นเพราะเรื่องนี้ น้องหกจึงขอถอนตัวออกจากกองทัพก่อนถึงกำหนด แต่ทุกครั้งที่ฝันร้าย เขาก็จะเห็นเงาร่างของเพื่อนร่วมกองทัพเหล่านั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทรมานใจเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“หัวหน้าหมู่ อย่าโทษผมเลยนะ ผมขอโทษพี่น้องทุกคนด้วย เดี๋ยวผมจะลงไปอยู่เป็นเพื่อนทุกคนแล้วนะ!”
รอยยิ้มอย่างปล่อยวางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของน้องหก มือสองข้างจับไปที่เอวพร้อมๆ กัน แล้วดึงออกอย่างรวดเร็ว สลักจุดชนวนที่เป็นตัวเชื่อมต่อฟิวส์สองเส้นกับตัวระเบิดถูกดึงออกไป
เสียง “ตูม!” ดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของน้องหกกลายเป็นลูกไฟลูกหนึ่ง คลื่นพลังที่เกิดจากการระเบิดแผ่ขยายออกไปไกล
“ในใจของทุกคนก็มีปีศาจกันทั้งนั้นแหละนะ!”
เยี่ยเทียนมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วลุกขึ้นยืน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นค่ายกลฆ่าคนกับตาตัวเอง แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร เพราะคนเหล่านี้ถึงตายไปก็ยังใช้กรรมไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
“เอ๊ะ? เสียงอะไรน่ะ?”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนได้ยินเสียง “แคร่กๆ” ดังมาจากเหนือศีรษะ ที่ใต้ฝ่าเท้าก็เหมือนจะมีการเคลื่อนไหวโอนเอน พอเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน เยี่ยเทียนก็ตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อไปทันที
ชั้นหิมะหนาที่กองทับถมอยู่บนภูเขาหิมะนั้น ขณะนี้กำลังเลื่อนไถลลงมาช้าๆ ราวกับตัวโดมิโนที่ถูกผลัก และความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พุ่งถล่มมาทางเยี่ยเทียนแล้ว