หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 209
โพรงนั้นไม่ได้ลึกมากนัก กะประมาณดูแล้วไม่ถึงหนึ่งเมตร อาศัยแสงสะท้อนจากผิวน้ำแข็ง เยี่ยเทียนจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เฟอร์เรตตัวที่ต่อสู้กับงูประหลาดไปเมื่อก่อนหน้านั้น ตอนนี้ได้กลับมาตายอยู่ในโพรงแล้ว โดยที่เขี้ยวของงูประหลาดตัวนั้นก็ยังคงกัดอยู่ที่ขาหลังของมัน
เขี้ยวของงูประหลาดคงจะมีพิษอย่างร้ายแรง เพราะขนของเจ้าเฟอร์เรตที่ตอนแรกเป็นสีขาวเหลือบเงินนั้น ยามนี้กลับกลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว และยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาจางๆ อีกด้วย
นอกจากหนึ่งเฟอร์เรตหนึ่งงูที่จบชีวิตไปตามๆ กันแล้ว ยังมีลูกเฟอร์เรตที่ตัวเล็กกว่าตัวที่อยู่ในกระเป๋าของเขาอีกสองตัว เพียงแต่เพราะขาดความอบอุ่นจากมารดา พวกมันจึงหนาวจนแข็งตายไปกันหมดแล้ว
อาจเป็นเพราะเจ้าตัวนี้ร่างกายแข็งแรงกว่าตัวอื่นๆ เล็กน้อย ถึงได้รอดชีวิตมาเป็นตัวสุดท้าย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญมาเจอเยี่ยเทียน มันก็คงไม่รอดพ้นจากชะตากรรมนั้นเช่นกัน
ผนังน้ำแข็งอันเรียบลื่นนั้นเกาะยากมาก เยี่ยเทียนจึงต้องใช้แรงมากถึงจะปีนเหยียบอยู่บนนั้นได้ หลังจากมองเข้าไปในโพรงอีกแวบหนึ่งแล้วก็เตรียมจะไถลกลับลงไป แต่ประกายสีขาวจุดหนึ่งในโพรงนั้นกลับทำให้เขาหยุดการเคลื่อนไหวลงก่อน
“นี่มันคืออะไรน่ะ? บัวหิมะหรือ?!”
เยี่ยเทียนยื่นมือไปผลักศพของเฟอร์เรตและงูตัวนั้นออก แล้วพบว่า ข้างในสุดของโพรงนั้นมีบัวหิมะซุกซ่อนอยู่สองดอก
แตกต่างจากพวกบัวหิมะที่เยี่ยเทียนพบเห็นมาในระหว่างปีนเขา บัวหิมะสองดอกนี้มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ กลีบดอกที่ผลิบานออกมานั้นดูสุกใสแพรวพราวราวกับอัญมณี ถึงศพของเจ้าเฟอร์เรตจะส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา แต่ก็ยังไม่อาจกลบกลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นไปได้
เยี่ยเทียนผลักมือซ้ายไปยันกับผนังโพรง มือขวายื่นเข้าไปในโพรงปานสายฟ้าแลบ เขาเก็บบัวหิมะออกมาหมดทั้งสองดอก จากนั้นก็พลิกร่างหันก้นเข้าหาผนังน้ำแข็ง แล้วไถลกลับลงไปที่พื้น
“นี่มันเป็นของหายากเลยนะเนี่ย…”
หลังจากกลับลงไปยืนบนพื้นแล้ว เยี่ยเทียนก็พิจารณาดูบัวหิมะที่อยู่ในมือ เขาเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า บัวหิมะที่มีอายุมากกว่าร้อยปีนั้นกลีบดอกจะแข็งแรง ชุ่มน้ำและมีเนื้อเยอะ ส่วนบัวหิมะที่มีอายุมากกว่าพันปีนั้นภายนอกก็จะดูเหมือนกับอัญมณี และขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ
จากคำบรรยายของพรตเฒ่า เยี่ยเทียนจึงแน่ใจได้เลยว่า บัวหิมะทั้งสองดอกนี้จะต้องมีอายุอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปีแน่นอน ต่อให้เป็นบนเทือกเขาเทียนซานนี่ บัวหิมะที่มีอายุถึงขนาดนี้ก็ยังคงถือว่าหาพบได้ยากอย่างยิ่ง
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ…”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังมองดูบัวหิมะที่อยู่ในมือ ก็มีเสียงร้องของลูกอ่อนเฟอร์เรตดังมาจากอกเสื้อของเขา เจ้าตัวน้อยยื่นหัวโผล่ออกมา ดวงตาจ้องเขม็งไปยังบัวหิมะที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน
“แกอยากกินนี่เหรอ?” เมื่อได้ยินเสียงร้องของลูกเฟอร์เรตน้อย เยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา เด็ดกลีบบัวหิมะออกมาหนึ่งกลีบ ยื่นไปที่ปากของลูกเฟอร์เรต แล้วเจ้าตัวน้อยก็อ้าปากงับไปทันที
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะกลีบดอกนั้นแข็งเกินไป หรือเพราะฟันของเจ้าเฟอร์เรตยังไม่งอกออกมา มันถึงได้กัดไม่เข้าเลย และเริ่มร้องจี๊ดๆ ฟ่อๆ ขึ้นมาอย่างร้อนรนอีก
“มิน่าล่ะเจ้าสองตัวนั้นถึงได้แข็งตายกันหมด ที่แท้พวกมันก็กัดบัวหิมะนี่ไม่เข้าอย่างนั้นหรอกรึ?”
หลังจากเห็นท่าทางของลูกเฟอร์เรต เยี่ยเทียนก็เริ่มเข้าใจแล้ว ปกติบัวหิมะมีสรรพคุณในการบำรุงเลือดลม ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ถ้ามีบัวหิมะสองดอกนี้อยู่ใกล้ๆ ลูกเฟอร์เรตที่อยู่ในโพรงก็ไม่น่าจะหิวตายกัน ท่าทางสาเหตุจะมาจากจุดนี้นี่เอง
เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยเทียนจึงฉีกกลีบบัวหิมะออก ในกลีบบัวหิมะนี้อมน้ำไว้มากกว่าบัวหิมะธรรมดาทั่วไป ดังนั้นทันทีที่ฉีกออก น้ำจากกลีบบัวจึงไหลไปตามมือของเยี่ยเทียน
“จี๊ดๆ!”
เมื่อได้กลิ่นหอมของน้ำนั้น เจ้าตัวน้อยก็มุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเยี่ยเทียนทันที อุ้งเท้าน้อยๆ ทั้งสี่เกาะอยู่บนนิ้วมือนิ้วหนึ่งของเยี่ยเทียน แล้วเริ่มดูดกินน้ำที่อยู่บนนั้น หลังจากดื่มน้ำบัวหิมะลงท้องไปจนหมดแล้วก็ยังไม่หนำใจ จึงตั้งหน้าเลียนิ้วมือของเยี่ยเทียนต่ออีก
“กินให้หมดเลยก็ได้นะ!”
เมื่อเห็นท่าทางน่ารักใสซื่อของเจ้าตัวน้อย ความหดหู่ของเยี่ยเทียนจากการที่ติดอยู่ในดินแดนน้ำแข็งนี้ก็ลดน้อยลงไปมาก จึงส่งกลีบบัวหิมะด้านที่ถูกฉีกออกแล้วไปที่ปากของลูกเฟอร์เรตน้อยอีก หลังจากรอจนน้ำในกลีบถูกดูดจนหมดแล้ว เยี่ยเทียนก็ฉีกเนื้อกลีบเป็นชิ้นเล็กละเอียดแล้วป้อนให้เจ้าตัวน้อยกิน
หลังจากกินดื่มจนอิ่มแล้ว เจ้าตัวจ้อยก็เริ่มง่วง ยื่นอุ้งเท้าหน้าไปจับเสื้อของเยี่ยเทียนไว้ ท่าทางอยากจะไต่ขึ้นไป ดูเหมือนว่ามันจะเห็นกระเป๋าของเยี่ยเทียนเป็นบ้านใหม่ของตัวเองไปแล้ว
“ฮ่ะๆ หลับซะนะ…”
เยี่ยเทียนค่อยๆ จับลูกเฟอร์เรตขึ้นมา แล้วใส่มันกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อ เจ้าตัวจ้อยก็แลบลิ้นออกมาเลียนิ้วมือของเยี่ยเทียน ท่าทางเหมือนจะกำลังแสดงความขอบคุณอยู่
“ถ้ามีบัวหิมะนี่อยู่ เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหนาวตายแล้วละ…” หลังจากจัดให้ลูกเฟอร์เรตนอนอย่างสบายแล้ว เยี่ยเทียนก็หันไปมองที่บัวหิมะสองดอกนั้น
พรตเฒ่าเคยกล่าวว่า บัวหิมะที่มีอายุได้ที่นั้นจะมีสรรพคุณในการขับไล่ความหนาว ขจัดพลังหยิน กระตุ้นพลังหยาง บำรุงโลหิต และก็จะมีประโยชน์อย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บของเขาเช่นกัน
ตั้งแต่ตอนเที่ยงวันจนมาถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้กินอะไรเลยมาสิบกว่าชั่วโมงแล้ว เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ นั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา ยื่นมือไปฉีกกลีบบัวหิมะมาหนึ่งกลีบ แล้วใส่ปากขบเคี้ยว
“ถุย ขมจังวะ?!”
ตอนแรกเขานึกว่า ดอกบัวหิมะที่มีกลิ่นหอมนี้พอกินแล้วน่าจะมีรสชาติหวานล้ำ แต่ชั่วขณะที่ต่อมรับรสบนลิ้นสัมผัสโดนน้ำบัวหิมะ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วเร่งเคี้ยวให้เร็วขึ้น จากนั้นก็รีบกลืนกลีบบัวลงท้องไป
“ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลยนี่ เจ้านี่มันใช่บัวหิมะพันปีรึเปล่าเนี่ย?” หลังจากกินกลีบบัวไปกลีบหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลองสังเกตดูความรู้สึกภายในร่างกาย แต่ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมเลย
“เอาเถอะ ถือเสียว่าแค่เติมท้องให้อิ่มก็แล้วกัน!” พอได้ยินเสียงร้อง “จ๊อกๆ” ดังมาจากท้อง เยี่ยเทียนก็ไม่สนใจรสชาติขมนี้แล้ว จึงฉีกกลีบของบัวหิมะดอกหนึ่งออกมาจนหมดแล้วยัดเข้าปากไป
พอกินบัวหิมะหมดไปหนึ่งดอก สายตาของเยี่ยเทียนก็มองไปที่อีกดอกหนึ่ง เจ้าบัวหิมะนี่ถึงจะดอกใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นน้ำทั้งนั้น ความหิวจึงไม่ได้ทุเลาลงไปเท่าไรเลย
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ฉีกกลีบบัวออกมาสองกลีบ แล้วยัดส่วนที่เหลือเข้าปากไปอีก เขมือบลงท้องไปเหมือนวัวเคี้ยวเอื้อง
“เอ๊ะ? เหมือนจะได้ผลแล้วนะเนี่ย!”
หลังจากบัวหิมะดอกที่สองลงท้องไป ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าบริเวณท้องน้อยเริ่มร้อนขึ้นมาอย่างเดือดพล่าน พลังชี่ที่ฝึกมาหลายปีก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว เขาจึงรีบนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นด้วยความยินดี
เมื่อเยี่ยเทียนเริ่มโคจรพลังตามวิชายุทธ พลังปราณอันร้อนผ่าวที่ท้องน้อยก็แผ่ขจายไปทั่วร่าง ทำให้ความหนาวเย็นภายในเส้นลมปราณบนร่างกายถูกขับออกไปจนหมด
ตอนที่เยี่ยเทียนทำพิธีฝืนลิขิตพลิกชะตาให้พรตเฒ่า เขาถูกกระแสพลังหยินพิฆาตของฟ้าดินสะท้อนกลับใส่ จึงมีพลังพิฆาตปริมาณมากที่แทรกซึมเข้าไปแอบแฝงอยู่ในเส้นลมปราณของเขา และทำลายระบบต่างๆ ภายในร่างกาย เนื่องจากความสามารถยังไม่ถึงขั้น เยี่ยเทียนจึงไม่มีหนทางที่จะรักษาอาการนี้ได้เช่นกัน
แต่ขณะนี้ความร้อนที่เกิดจากบัวหิมะได้แผ่ซ่านไปตามเส้นลมปราณต่างๆ ราวกับกระแสน้ำถาโถม นอกจากจะขจัดกระแสพลังหยินพิฆาตเหล่านั้นไปจนหมดแล้ว ยังเบิกเส้นลมปราณภายในกายที่อุดตันอยู่ให้เปิดโล่งได้อีกด้วย เท่ากับเป็นการชำระล้างเยี่ยเทียน เหมือนเขาได้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อความร้อนจากบัวหิมะแผ่ซ่านอยู่ในร่างกาย ความหนาวจากภายนอกจึงไม่ส่งผลอะไรกับเขาอีก เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนสุดท้ายได้ยินเสียงร้อง “จี๊ดๆ” ของลูกเฟอร์เรตปลุกให้ตื่นขึ้นมา
เยี่ยเทียนซึ่งเพิ่งตื่นจากฌานกำลังอารมณ์ดีมาก เขารู้สึกได้ว่า อาการบาดเจ็บภายในร่างกายฟื้นฟูขึ้นจนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เส้นลมปราณที่แต่เดิมโคจรพลังชี่ได้อย่างติดขัดนั้น ตอนนี้ก็เปิดโล่งหมดแล้ว ภายในร่างกายเหมือนกับมีพลังปะทุออกมาตลอดเวลา
“โอ้โฮ ผ่านไปสิบหกชั่วโมงเต็มๆ แล้วหรือเนี่ย?”
เหนือศีรษะท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว พอเยี่ยเทียนดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่า ขณะนั้นเป็นช่วงบ่ายของอีกวันหนึ่งแล้ว เวลาได้ผ่านไปถึงสิบกว่าชั่วโมงโดยที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
“เจ้าตัวเล็ก หิวแล้วใช่ไหมล่ะ?” เมื่อเห็นลูกเฟอร์เรตที่กำลังโผล่หัวน้อยๆ มีขนปุยออกมาจากกระเป๋า เยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา แล้วหยิบกลีบบัวหิมะที่เหลือไว้นั้นออกมา ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนให้เจ้าตัวน้อยกินลงไป
“แกนี่รู้จักแต่กินอย่างเดียวรึไงหา?!”
อาจเป็นเพราะบัวหิมะมีฤทธิ์แรงมาก เจ้าตัวน้อยเพิ่งจะกินเสร็จก็ท่าทางง่วงงุนอยากจะหลับอีกแล้ว จนเยี่ยเทียนที่ตอนแรกนึกว่าจะแหย่เจ้าตัวจ้อยนี่เล่นเสียหน่อยรู้สึกเซ็งไปเลย และวางมันกลับลงไปในกระเป๋าอย่างจนปัญญา
“ลองดูดีกว่าว่าจะปีนขึ้นไปได้รึเปล่า!”
เมื่ออาการบาดเจ็บที่แฝงอยู่ในกายหายดีแล้ว ความมั่นใจของเยี่ยเทียนจึงเพิ่มขึ้นมามาก ถึงเขาจะคิดอยู่ว่า น่าจะมีคนขึ้นเขามาทำการเสาะหากู้ภัย แต่แทนที่จะรอให้คนอื่นมา ตัวเองลงมือช่วยเหลือตัวเองก่อนน่าจะดีกว่า
“สวบๆ…สวบสาบ!” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังถือมีดอู๋เหินเตรียมจะเจาะลงไปบนผนังน้ำแข็ง ทันใดนั้นก็มีเสียงเดินย่ำหิมะดังมาจากเหนือศีรษะ เยี่ยเทียนจึงลิงโลดยินดีขึ้นมาทันที
“มีใครอยู่บนนั้นไหม? ผมอยู่ข้างล่างนี่นะ มีใครอยู่รึเปล่า? ช่วยผมด้วย!”
หลังจากได้ประจักษ์ถึงความน่ากลัวของหิมะถล่ม เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าตะโกนเสียงดัง และร้องเรียกด้วยเสียงเบาๆ แทน ขณะเดียวกันก็กลับด้านมีดอู๋เหิน ใช้ส่วนด้ามมีดเคาะลงไปบนผนังน้ำแข็ง
“นี่…หิมะถล่มคราวนี้เสียหายร้ายแรงขนาดนี้เลยรึเนี่ย?”
เหนือจากศีรษะของเยี่ยเทียนขึ้นไปหลายสิบเมตร คนหกคนกำลังยืนอยู่ที่เขตเจดีย์น้ำแข็ง และมองไปยังผาน้ำแข็งฝั่งตรงข้ามที่มีความสูงถึงร้อยเมตรด้วยสีหน้าพรั่นพรึง พวกเขาไม่รู้ว่า เพราะอะไรหิมะถล่มครั้งนี้ถึงทำให้ผาน้ำแข็งนั้นแตกแยกออกจากกันได้
ผาน้ำแข็งที่เรียบลื่นเป็นเงาดั่งกระจกนั้น ยามนี้กลับเกิดรอยแยกลึกขึ้นรอยหนึ่งราวกับมีคนจามขวานลงไปตรงกลาง
และเขตเจดีย์น้ำแข็งที่เดิมทีไม่น่าจะโดนหิมะถล่มได้นั้น ก็ดูราวกับถูกอุทกภัยซัดกระหน่ำ แม้แต่เสาน้ำแข็งที่ดำรงอยู่มานับพันนับหมื่นปีก็ยังหักไปตั้งแต่ตรงโคนตั้งหลายต้น
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ช่วยลดความยุ่งยากให้เยี่ยเทียนไปได้ไม่น้อยเลย เพราะศพของพวกตี๋วั่งก็ถูกซัดกลบฝังอยู่ใต้กองหิมะลึกหลายสิบเมตรแล้วเช่นกัน
“อาลิม แค่ถอดถอนใบรับรองโค้ชปีนเขาของแกน่ะ ยังถือว่าเบาไปเลยด้วยซ้ำนะ!” คนที่เป็นหัวหน้าทีมกู้ภัยกำลังต่อว่าเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งในทีมนั้น ซึ่งที่แท้ก็คือโค้ชสอนปีนเขาของเยี่ยเทียนนั่นเอง
หลังจากที่เยี่ยเทียนแอบไปขึ้นเขาตามลำพัง อาลิมก็ไม่ได้ไปรายงานหัวหน้าตั้งแต่แรก เพราะเขาคิดจะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ แต่หลังจากเกิดเหตุหิมะถล่มขึ้น เขาก็ไม่กล้าปิดบังเรื่องนี้อีก จึงไปรายงานต่อฝ่ายบริหารทันที
สำหรับฝ่ายบริหารแล้ว อุบัติเหตุบนภูเขาหิมะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก หลังจากได้รับรายงานจากอาลิม จึงจัดทีมกู้ภัยสองกลุ่มขึ้นเขาไปทันที และกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่มาถึงเขตเจดีย์น้ำแข็งก่อน
“เหล่าอู๋ ฉันเหมือนจะได้ยินเสียงคนร้องเรียกอยู่นะ ยังมีคนรอดชีวิตอยู่อีกรึเปล่า?” เสียงร้องเรียกของเยี่ยเทียนดึงความสนใจของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในทีมมาได้
“เป็นไปไม่ได้น่า? ยังจะมีใครรอดชีวิตได้อีกล่ะ?” ชายวัยกลางคนที่ชื่อเหล่าอู๋นั้นส่ายหน้ารัวๆ แต่จากนั้นก็หูผึ่งขึ้นมาทันที เพราะเขาได้ยินเสียงเยี่ยเทียนเคาะผนังน้ำแข็ง
“เร็ว หาซิว่าเสียงมาจากตรงไหน ระวังรอยแยกพวกนั้นด้วยนะ ผู้รอดชีวิตน่าจะหลบอยู่ข้างล่างนี่แหละ!”
เหล่าอู๋เป็นผู้นำทีมกู้ภัยกลุ่มนี้ เขามีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน จึงรู้ว่าในภัยธรรมชาติแบบนี้ มีแต่ต้องเข้าไปหลบอยู่ในรอยแยกบนน้ำแข็งเท่านั้น ถึงจะมีความหวังที่จะรอดชีวิตได้