หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 210
“เจอแล้ว เสียงมาจากข้างล่างนี่แหละ!”
เสียงของเจ้าหน้าที่กู้ภัยคนหนึ่งเรียกให้ทุกคนเดินเข้าไปหา เสียงเยี่ยเทียนเคาะผนังน้ำแข็งนั้นดังมาเข้าโสตประสาทของแต่ละคนอย่างชัดเจน
“ผูกเชือกไว้ ฉันจะลงไปก่อน พวกนายเตรียมเครื่องกว้านไว้เลยนะ แล้วคอยฟังคำสั่งฉัน!”
เหล่าอู๋มัดเชือกไว้กับตัวอย่างคล่องแคล่ว การกู้ชีพนั้นก็เหมือนกับการดับเพลิง แต่ละนาทีที่ล่าช้าไปอาจจะทำให้เสียไปหนึ่งชีวิตเลยก็ได้ หลังจากกำชับเสร็จ เหล่าอู๋ก็โหนเชือกปีนเขาโรยตัวลงไปในรอยแยกนั้น
“เครื่องกว้านไม่ต้องแล้ว หย่อนรองเท้าตะปูลงมาคู่หนึ่งซิ ขนาดเท่าไหร่นะ? อ้อเอาเบอร์สี่สิบสอง!” หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เสียงของเหล่าอู๋ที่เพี้ยนไปเล็กน้อยก็ดังออกมาจากเครื่องวิทยุสื่อสาร
แต่คำสั่งของเหล่าอู๋กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ที่ข้างบนต่างก็ฉงนใจ ผู้รอดชีวิตอยู่ข้างล่างนั่นมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังจะมีแรงปีนขึ้นมาเองได้อีกหรือ?
ที่จริงตอนแรกเยี่ยเทียนก็อยากจะแสร้งเป็นสลบไสลอยู่เหมือนกัน แต่ประการแรกเพราะเขาไม่มีทักษะการแสดงแบบนั้น ประการที่สองเพราะหน้าตาของเขาก็ดูสดใสมีเลือดฝาดดี คงตบตาคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว จึงได้แต่นั่งหน้าสลอนรอเจอกับเหล่าอู๋ที่โรยตัวลงมา
“นี่พ่อหนุ่ม เธอ…เธออยู่ข้างล่างนั่นมานานแค่ไหนแล้วนะ?”
หลังจากเยี่ยเทียนปีนขึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว พวกที่รออยู่ข้างบนก็ตกตะลึงกันหมด แม้แต่โค้ชปีนเขาคนนั้นไม่มีเวลาไปสืบสาวเอาความกับเยี่ยเทียนที่ขึ้นเขาไปเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่า เยี่ยเทียนตกไปในรอยแยกบนน้ำแข็งตั้งแต่ตอนไหนกันแน่
“ตกลงไปตอนที่หิมะเริ่มถล่มน่ะครับ ถึงตอนนี้ก็น่าจะเกือบยี่สิบชั่วโมงแล้วมั้งครับ?”
เยี่ยเทียนตอบไปตามตรง แต่สายตากลับมองไปที่กระเป๋าเป้ของคนเหล่านั้น คราวนี้ท้องของเขาร้อง “จ๊อกๆ” เสียงดังยิ่งกว่าเดิมอีก บัวหิมะพันปีสามารถเยียวยารักษาได้ก็จริงอยู่ แต่ว่าใช้กินแทนข้าวไม่ได้จริงๆ
“หิวแล้วใช่ไหม? อย่ามัวยืนเฉยกันอยู่สิ ให้เขากินอะไรก่อน!”
สภาพของเยี่ยเทียนในตอนนี้ค่อยดูเหมือนคนที่กำลังรอหน่วยกู้ภัยขึ้นมาหน่อย แต่ชุดปฐมพยาบาลที่พวกเขานำมาด้วยนั้นกลับไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย ตรงกันข้ามกับพวกอาหารกระป๋องและขนมปังกรอบที่ถูกเยี่ยเทียนกวาดเรียบ กินลงท้องไปจนหมดเกลี้ยงเลย
หลังจากเยี่ยเทียนกินอิ่มแล้ว เหล่าอู๋ก็เอ่ยถามว่า “พ่อหนุ่ม เธอใส่แต่เสื้อผ้าชุดนี้ อยู่ข้างล่างนั่นไปสิบกว่าชั่วโมงเลยหรือ?”
“ใช่ครับ…”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แต่เขาก็รู้อยู่ว่า เรื่องของตัวเองนั้นฟังดูอัศจรรย์เกินไปแล้ว หลังจากคิดๆ ดู จึงหยิบกลีบบัวหิมะกลีบสุดท้ายออกมาจากกระเป๋า แล้วพูดว่า “แต่ผมเจอนี่อยู่ข้างล่างนั่นน่ะครับ ผมกินไปหมดเลย เหลือแค่กลีบนี้แหละ!”
“นี่…นี่มันบัวหิมะนี่นา?”
เหล่าอู๋ยื่นมือไปรับกลีบบัวจากมือของเยี่ยเทียน แล้วก็ตะลึงตาค้างไปเลย “นี่เป็นบัวหิมะที่มีอายุมากกว่าพันปี คุณ…คุณกินมันไปหมดเลยหรือ?”
ควรทราบว่า บัวหิมะมีสรรพคุณรักษาโรคได้หลายโรค นอกจากจะขจัดความหนาว ขับพลังหยิน กระตุ้นพลังหยางและบำรุงโลหิตได้แล้ว ยังสามารถรักษาโรคทางนรีเวชบางโรคที่รักษายาก และช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย
ว่ากันว่า ซ่งเหม่ยหลิง (ภรรยาคนที่สองของเจียงไคเช็ค) เคยใช้บัวหิมะที่มีอายุมากกว่าพันปีเป็นตัวยา แต่ในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ คนเก็บสมุนไพรบนภูเขาหิมะกลับไม่เคยพบบัวหิมะที่อายุมากกว่าพันปีอีกเลย
“ตอนนั้นผมทั้งหนาวทั้งหิว ไม่มีทางเลือกแล้วก็เลยกินมันลงไปน่ะครับ จริงสิ ข้างล่างนั่นมีโพรงน้ำแข็งอยู่โพรงหนึ่ง ในนั้นยังมีศพของสัตว์อีกสองชนิดด้วยครับ…”
เยี่ยเทียนรู้ว่า เมื่อเขากลับไปแล้วจะต้องถูกสอบสวนแน่นอน เรื่องเจ้าตัวน้อยที่อยู่กับเขานี่ก็คงปิดบังไม่ได้เช่นกัน ยามนั้นจึงเล่าเหตุการณ์ที่ตนพบบัวหิมะออกมาตามความจริง
“เฮ้อ เสียของจริงๆ เลย…” หลังจากฟังเยี่ยเทียนเล่าจบ เหล่าอู๋ก็กระทืบเท้าหลายที แต่ก็จนปัญญาที่จะทำอะไรได้
แต่สภาพของเยี่ยเทียนในตอนนี้ก็เป็นเครื่องอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้ว เพราะในสายตาของคนที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาเทียนซาน บัวหิมะพันปีนั้นเป็นยาวิเศษในตำนาน เมื่อกินยาวิเศษนี้ลงไปแล้ว ก็ย่อมจะไม่รู้สึกหนาวเป็นธรรมดา
หลังจากนำศพของสัตว์สองตัวในโพรงน้ำแข็งนั้นขึ้นมาแล้ว พวกเหล่าอู๋ต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นงูประหลาดตัวนั้น พวกเขาก็ไม่เคยเห็นสัตว์ที่มีหน้าตาแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ตอนนั้นจึงใส่มันไว้ในถุง เตรียมจะนำกลับไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาวิจัย
ระหว่างนั้นเหล่าอู๋ก็ซักถามเยี่ยเทียนอีกเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาตอนที่เกิดหิมะถล่ม แต่เยี่ยเทียนก็ตอบว่าไม่รู้ไปเสียหมด และก็ไม่ได้พูดถึงพวกตี๋วั่งด้วย เพราะเยี่ยเทียนเห็นแล้วว่า จุดที่เดิมเป็นเขตเจดีย์น้ำแข็งนั้น ตอนนี้ไม่หลงเหลือสภาพเดิมแล้ว เขาก็ต้องไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเป็นธรรมดา
แก๊งตี๋วั่งเดิมทีก็ทำธุรกิจที่สกปรกไม่อาจเปิดเผยอยู่แล้ว ตอนที่พวกนั้นขึ้นภูเขาไปก็ทำอย่างลับๆ ล่อๆ และตามรายงานของโค้ชปีนเขาที่อยู่ในทีมกู้ภัยคนนั้น ก็มีแต่เยี่ยเทียนคนเดียวที่ขึ้นภูเขาไปโดยพลการ ดังนั้นพวกเหล่าอู๋จึงไม่รู้เกี่ยวกับแก๊งตี๋วั่งเลย
ด้วยเหตุนี้เหล่าอู๋จึงสรุปว่า ในเหตุการณ์หิมะถล่มครั้งนี้ไม่ได้ทำให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย สำหรับพวกเขาแล้ว ก็ถือว่ายังรักษาโบนัสปีนี้เอาไว้ได้ สีหน้าของแต่ละคนจึงเริ่มผ่อนคลายลง
“เอาละ พักที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ!” เนื่องจากตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะลับไปหลังเขาแล้ว หลังจากเหล่าอู๋ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับทางฝ่ายปกครองแล้ว ก็เริ่มตั้งค่ายในเขตเจดีย์น้ำแข็ง
“อื้อหือ คราวนี้เสียหายหนักเลยนะเนี่ย!”
ตอนกลางคืนเยี่่ยเทียนเดินไปรอบๆ เขตเจดีย์น้ำแข็ง แล้วความยินดีที่รอดจากความตายมาได้ก็มลายหายไปทันที เพราะเขาพบว่า เครื่องรางหกชิ้นที่ตนฝังไว้นั้น กลับไม่เหลือเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ถูกน้ำแข็งและหิมะพัดพาหายไปจนหมด
แม้จะได้บัวหิมะพันปีมารักษาความเจ็บป่วยที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกาย แต่เมื่อเครื่องรางของขลังสูญหายไปหมด เยี่ยเทียนก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองได้กำไรหรือขาดทุนกันแน่ เพราะของพวกนั้นถ้านำไปขายละก็ อย่างน้อยๆ ก็จะทำให้เขาร่ำรวยมั่งคั่งชนิดที่ทั้งชาตินี้ก็ใช้ไม่หมดเลยทีเดียว
“ช่างเถอะ คราวนี้ก็ถือว่ายังมีโชคดีในความโชคร้ายอยู่ วันหลังถ้ามีโอกาสค่อยกลับมาขุดพวกมันขึ้นมาก็แล้วกัน!”
บนเครื่องรางนั้นมีพลังชี่ของเยี่ยเทียนอยู่ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เครื่องรางเหล่านั้นถูกพัดพาไปอยู่ที่จุดไหน แต่เมื่อเห็นกองหิมะที่ทับถมกันหนาหลายสิบเมตรบริเวณเชิงเขา เยี่ยเทียนก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็เริ่มเดินทางข้ามภูเขาหิมะ เรี่ยวแรงของเยี่ยเทียนที่แสดงให้เห็นในระหว่างการเดินทางนั้น ทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กัน ถ้าไม่มีเรื่องหิมะถล่ม เยี่ยเทียนก็คงอยู่บนภูเขาหิมะนี้ได้อย่างปลอดภัยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
แต่หลังจากมาถึงสำนักงานการปกครอง วันเวลาดีๆ ของเยี่ยเทียนก็มีอันต้องสิ้นสุดลง
ตำรวจสองนายจากสถานีตำรวจประจำเขตพาเยี่ยเทียนไปทำการสอบสวนที่ห้องเดี่ยว เจ้าตัวเล็กที่กำลังหลับสะลึมสะลือถูกเหล่าอู๋นำตัวไปก่อน ซึ่งเขาก็ดูเหมือนจะรู้จักสัตว์ชนิดนี้อยู่
เยี่ยเทียนคิดคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว เขายืนยันว่าตัวเองเป็นผู้ที่ชื่นชอบการปีนเขา ตอนนั้นเพราะอยากจะพิชิตภูเขาหิมะลูกนี้ให้ได้ จึงแอบปีนขึ้นไปเอง ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
คำพูดเหล่านี้เยี่ยเทียนก็เคยใช้อธิบายกับพวกเหล่าอู๋ไปแล้ว ประกอบกับเหตุหิมะถล่มครั้งนี้เกิดในบริเวณกว้างมาก จึงไม่น่าจะเป็นเพราะฝีมือของเยี่ยเทียน ดังนั้นหลังจากถามอีกไม่กี่คำ ตำรวจสองนายนั้นก็เดินออกไป
“ลุงเฉิน ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ เรื่องนี้คงต้องรบกวนลุงแล้วละครับ!”
หลังจากให้ปากคำไปหมดทุกอย่างแล้ว เยี่ยเทียนก็ถูกขังอยู่ในห้องเล็กๆ คนเดียว แต่หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที ประตูห้องก็เปิดออก เฉินสี่ฉวนเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบตำรวจคนหนึ่ง
ระหว่างทางกลับมา เยี่ยเทียนได้ยินจากเหล่าอู๋ว่า พฤติกรรมของเขาละเมิดกฎการปีนเขา ซึ่งตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องนั้น ถ้าจะกักตัวเขาไว้สักสองสามวันก็นับว่าสมควรแล้ว
ดังนั้นก่อนที่จะมาถึงที่ทำการฝ่ายปกครอง เยี่ยเทียนจึงขอร้องเหล่าอู๋ให้เขาได้แอบโทรศัพท์สักครั้งหนึ่ง ในแถบซินเจียงนี้เขาไม่รู้จักใครเลย จะโทรหาพ่อก็อยู่ไกลเกินไป คงช่วยเหลือได้ไม่ทันการ ดังนั้นเขาจึงนึกถึงเฉินสี่ฉวนที่รู้จักกันบนรถไฟขึ้นมา
“เสี่ยวเยี่ย เธอนี่ใจกล้าไม่เบาเลยนะ กล้าปีนภูเขาหิมะคนเดียวเลยรึเนี่ย?”
พอเฉินสี่ฉวนเห็นเยี่ยเทียนแล้ว ก็เข้ามาตบไหล่เขาหนักๆ จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับตำรวจที่อยู่ข้างหลัง “ผู้กำกับจาง เด็กคงทำไปด้วยความไม่รู้น่ะ นี่ก็โดนตำหนิไปแล้ว ไว้เดี๋ยวผมจะอบรมเขาอีกที เห็นแก่หน้าผมเหล่าเฉินหน่อยเถอะนะ อย่าไปขังเขาเลย…”
เยี่ยเทียนเห็นเฉินสี่ฉวนขยิบตาให้ มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจ จึงทำหน้าสำนึกผิดทันที และพูดขึ้นว่า “ขอโทษครับคุณลุงจาง เป็นเพราะตอนนั้นผมไม่ทันยั้งคิด เลยไปเพิ่มปัญหาให้พวกคุณลุงแบบนี้!”
“การที่คนวัยรุ่นมีความกระตือรือร้นมันก็ดีอยู่หรอก แต่ต่อไปอย่าวู่วามอีกเด็ดขาดเลยนะ การที่เธอหายตัวไปคราวนี้น่ะ ทำให้พวกฉันมีภาระเพิ่มขึ้นมามากขนาดไหนรู้รึเปล่า?” เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับเฉินสี่ฉวน ผู้กำกับจางจึงไม่อยากจะเอาเรื่องกับเยี่ยเทียน เพียงแต่สั่งสอนเป็นเชิงต่อว่าไปเล็กน้อยเท่านั้น”
เมื่อได้ยินผู้กำกับจางพูดอย่างนั้นแล้ว เฉินสี่ฉวนก็ยิ้มแย้ม “ผู้กำกับจาง วันนี้ทุกคนคงทำงานเหนื่อยกันแย่เลยสินะ ไว้วันไหนผมจะส่งผ้าห่มขนแกะมาให้สักหนึ่งคันรถ คุณดูแล้วเอาไปแจกให้สหายทุกคนเป็นรางวัลก็แล้วกันนะ!”
“แบบนั้นผมก็เกรงใจน่ะสิ นี่เหล่าเฉิน เย็นนี้ก็อย่าเพิ่งกลับไปเลยนะ ช่วงเดือนนี้สัตว์ป่าบนภูเขากำลังอ้วนท้วนดีนา…”
หลังจากได้ยินเฉินสี่ฉวนพูดแบบนั้น ผู้กำกับจางก็หัวเราะขึ้นมา เขารู้ว่าเฉินสี่ฉวนทำธุรกิจส่งออก ผ้าห่มขนแกะหนึ่งคันรถนี่มีมูลค่าสูงไม่ใช่เล่นเลย ถ้าหัวหน้าอย่างเขาสามารให้สวัสดิการดีๆ แก่ลูกน้องได้ นั่นก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มบารมีเหมือนกัน
“คุณลุงจางครับ ผมเก็บสัตว์ตัวเล็กๆ บนภูเขาได้ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่าผมจะขอเก็บไปเลี้ยงได้รึเปล่าครับ?”
พอได้ยินว่าผู้กำกับจางจะกินสัตว์ป่า เยี่ยเทียนก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ถึงเขาจะเป็นคนที่กินได้ทุกอย่างไม่มีเกี่ยง และสัตว์ป่าที่ตายไปด้วยน้ำมือของเขาก็มีเป็นร้อยเป็นพันตัว แต่เยี่ยเทียนกลัวเหลือเกินว่า ผู้กำกับจางคนนี้จะจับลูกเฟอร์เรตที่เคยผ่านความทุกข์ยากร่วมกับเขาตัวนั้นไปกินเสีย
ขณะนั้นผู้กำกับจางกำลังอารมณ์ดี พอได้ยินเยี่ยเทียนถามก็โบกมือเรียกตำรวจที่ยืนอยู่ข้างหลังมาสั่งการว่า “เสี่ยวจ้าว พาเขาไปดำเนินการตามขั้นตอนทีนะ ถ้าสัตว์ตัวเล็กๆ อะไรนั่นไม่ใช่สัตว์สงวนหรือสัตว์คุ้มครองของประเทศ ก็คืนให้เขาไปเถอะ…”
ในสมัยนี้การคุ้มครองสัตว์ป่ายังไม่เข้มงวดเท่าไรนัก โดยเฉพาะในสถานที่ที่ห่างไกลจากศูนย์กลางการปกครองแบบนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่มีใครใส่ใจอย่างจริงจังเลย แม้แต่สัตว์ป่าคุ้มครองบางชนิดก็ยังปรากฏบนโต๊ะอาหารอยู่บ่อยๆ
เห็นได้ชัดว่า เหล่าอู๋ชอบลูกเฟอร์เรตตัวนี้มาก ตอนที่หาเขาเจอนั้น เขาก็กำลังฉีกผ้าห่มนวมมาทำรังให้เจ้าตัวเล็กนี่อยู่พอดี หลังจากได้ยินจุดประสงค์ที่เยี่ยเทียนมาหาตน จึงตอบอย่างอดไม่ได้ว่า “โธ่เสี่ยวเยี่ย ยกเจ้าตัวนี้ให้ลุงอู๋เลี้ยงเถอะนะ!”
“ลุงอู๋ เจ้านี่มันมีวาสนากับผมนะครับ ลุงคอยดูนะ… พอมันตื่นขึ้นมาละก็ จะเอาแต่หาผมท่าเดียวเลยละ!” ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน ลูกเฟอร์เรตตัวนั้นก็ตื่นขึ้นมา หลังจากสูดจมูกดมฟุดฟิด ขาทั้งสี่ก็ปีนขึ้นไปบนเสื้อผ้าของเยี่ยเทียน
“เฮ้อ เจ้าตัวนี้มันมีความคิดจิตใจเหมือนคน ถ้ามันยอมรับเธอเป็นเจ้านายแล้ว ลุงก็คงหมดปัญญาแล้วละนะ!” เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนั้น เหล่าอู๋ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนยื่นนิ้วก้อยให้เจ้าลูกเฟอร์เรตดูด แล้วหันไปถามเหล่าอู๋ว่า “ลุงอู๋ แล้วตกลงมันเรียกว่าตัวอะไรครับเนี่ย?”
“มันเรียกว่าเฟอร์เรตสายฟ้า เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะบนภูเขาหิมะ ฝึกให้เชื่องได้ยากสุดๆ เลย แต่ถ้าเลี้ยงมันได้ละก็ มันจะช่วยล่าสัตว์ให้เราได้ด้วยนะ!” เมื่อเยี่ยเทียนกับลูกเฟอร์เรตท่าทางสนิทสนมกันดีเหลือเกิน เหล่าอู๋ก็ทำหน้าอิจฉา