หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 211
“เฟอร์เร็ตสายฟ้า? ชื่อนี้คุ้นหูนะ…”
เยี่ยเทียนคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เฟอร์เร็ตรุ่นกระทงและงูต่อสู้กัน เขาพยักหน้า ปฏิกิริยาของมันไว้เหมือนฟ้าแลปจริงๆ ตอนนั้นสายตาเขาเองก็มองตามแทบไม่ทัน
“เจ้าตัวน้อยนี้ เมื่อโตแล้วจะมีน้ำพิษชนิดหนึ่งอยู่ในเขี้ยว ถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้ากัดคนหรือว่าสัตว์แล้ว จะทำให้ร่างกายเป็นเหน็บชา บนภูเขาหิมะแห่งนี้ ต่อให้เป็นเสือดาวหิมะเห็นเฟอร์เร็ตสายฟ้าตัวนี้แล้วยังต้องยอมถอยไปหลายก้าวทีเดียว!”
เหล่าอู๋ไม่ได้ปกปิดความชอบที่ตัวเองมีต่อเฟอร์เร็ตสายฟ้าเลยแม้แต่น้อย มักจะคอยใช้มือลูบเฟอร์เร็ตสายฟ้าน้อยอยู่ตลอด แต่เห็นได้ชัดทีเดียวว่าเจ้าตัวน้อยไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร สนใจแต่ดูดนิ้วมือของเยี่ยเทียน
“ลุงอู๋ แล้วพวกเฟอร์เร็ตสายฟ้าด็กนี่กินอะไรบ้างล่ะ” เยี่ยเทียนเอ่ยปากถาม
“น่าจะกินพวกนมผงหรือเปล่า?” เหล่าอู๋ก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน เขาเพียงแต่เคยได้ยินถึงสัตว์ประเภทนี้มา แต่ไม่เคยเห็นคนเลี้ยงได้สำเร็จ
“ผมจะไปชงนมให้มันก่อน” เหล่าอู๋ถูกชะตากับเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก วิ่งเหยาะๆ ออกไปหานมผงแล้ว หลังจากผ่านไปห้าถึงหกนาที ก็เห็นเขายกถ้วยเล็กๆ เดินกลับมาที่ห้อง
“ไม่ดื่มเหรอ”
เยี่ยเทียนนำเอาศีรษะของเฟอร์เร็ตเด็กวางไว้ที่ถ้วยเล็กๆ แต่เจ้าตัวน้อยนี้ได้แต่ดม แล้วก็ขยับศีรษะออกมา จากนั้นก็กอดนิ้วมือของเยี่ยเทียนแทะเล่นต่อ โดยไม่สนใจนมผงชงถ้วยนั้นเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยเทียนพลันนึกได้ถึงเรื่องที่เฟอร์เร็ตเด็กกินน้ำจากกลีบดอกไม้ จึงมองไปทางเหล่าอู๋แล้วถาม “ลุงอู๋ กลีบบัวหิมะที่ผมหาเจอเมื่อวานล่ะ? มันกินของพวกนี้แหละ!”
เหล่าอู๋ส่ายหน้า แล้วพูดอย่างลำบากใจ “ของชิ้นนั้นส่งให้เขตปกครองไปแล้ว เสี่ยวเยี่ย กลีบบัวหิมะเหลือแค่กลีบนั้นเพียงกลีบเดียว ต่อไปนายจะเอาของพวกนั้นให้มันกินตลอดก็ไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ?”
“เจ้าตัวน้อยนี้คงไม่ได้อยากกินเนื้อหรอกนะ?” เยี่ยเทียนพลันเกิดความคิดประหลาดขึ้นมา
เหล่าอู๋สะดุ้งตกใจคำพูดของเยี่ยเทียน จึงรีบพูดอย่างพัลละวันว่า “เฮ้อ ฉันไม่ได้ว่านะเสี่ยวเยี่ย นายอย่าให้มันกินอะไรมั่วซั่วนะ ถ้ากินแล้วท้องเสียมันจะตายได้!”
“แต่ไม่ได้กินอะไรเลยก็ตายเหมือนกัน!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า ไม่รู้จะจัดการกับเจ้าตัวน้อยอย่างไรดี พลางคิดในใจว่าจะไปซื้อพวกผงธัญพืชพวกนี้มาแล้วดูว่ามันจะกินไหม
“เยี่ยเทียน สัตว์ตัวเล็กแค่นี้? มันน่ารักมากจริงๆ นะ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกับเหล่าอู๋กำลังถกเถียงกันว่าเลี้ยงอาหารเจ้าเฟอร์เร็ตเด็กอย่างไรดี เฉินสี่ฉวนเดินมาพร้อมกับตำรวจ
“ลุงเฉิน วันนี้ต้องของคุณคุณลุงเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ได้คุณลุง ไม่แน่ผมอาจจะถูกขังไปอีกหลายวัน…” เมื่อเห็นเฉินสี่ ฉวนเดินเข้ามาในห้อง เยี่ยเทียนจึงรีบลุกขึ้นยืน
เขารู้สึกนับถือและขอบคุณชายวัยกลางคนผู้นี้จากใจจริง ถึงแม้เว่ยหงจวินจะช่วยเขาไม่น้อย แต่นั่นเป็นตอนที่หลัง จากรู้ฐานะของเขาแล้ว แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้จุดประสงค์ในการช่วยของเขานั้นบริสุทธิ์ใจมาก โดยไม่ได้หวังให้เยี่ยเทียนทำอะไรเป็นการตอบแทน
“พูดอะไรน่ะ? ลุงเฉินคุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ แล้วยังจะใจแคบเห็นนายโดนเอาเปรียบได้ยังไง?”
เฉินสี่ฉวนหัวเราะพลางแบมือแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปหาอะไรกินกัน นายจะได้หายตกใจ ขนาดหิมะถล่มนายยังรอดมาได้ ดูท่าทางแล้วโชคชะตาของนายจะดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว!”
เฉินสี่ฉวนเดิมทีก็เป็นคนชอบศึกษาศาสตร์การดูโหงวเฮ้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่คุยกับเยี่ยเทียนบนรถไฟนานสิบกว่าชั่วโมงได้หรอก พอคุยไปคุยมาก็พูดถึงโหงวเฮ้งบนใบหน้าของเยี่ยเทียนไปเลย
“ลุงเฉิน ผมก็โชคดีแค่นั้นแหละครับ คุณลุงอย่าคิดมาอีกเลย…” เยี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ หน้าตาของเขาแม้แต่นักพรตเฒ่าก็มองไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ดูเป็นงานอดิเรกที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เลย
เฉินสี่ฉวนจ้องมองเยี่ยเทียนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างฉับพลัน “เอ๊ะ? ไม่ใช่ เสี่ยวเยี่ย ผมของนายดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว ก่อนหน้านั้นฉันจำได้ว่าผมของนายส่วนใหญ่เป็นสีขาว!”
ตอนที่เยี่ยเทียนเดินทางนั้นถึงแม้จะสวมหมวก แต่ตอนอยู่บนรถไฟก็ถอดออกอยู่สองสามครั้ง เฉินสี่ฉวนจึงจดจำผมสีขาวของเยี่ยเทียนได้อย่างแม่นยำ
“ผมเปลี่ยนไป?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง มองไปรอบด้าน แล้วจึงเห็นตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกอยู่ในนั้น จึงรีบวิ่งเข้าไป
“จริงๆ ด้วย!” เยี่ยเทียนพบว่า ผมของตัวเองในกระจก ตั้งแต่โคนผมเปลี่ยนเป็นสีดำหมดแล้ว เหลือแต่ปลายผมที่เป็นสีเทาแซมขาวอยู่บ้าง แต่เวลาที่ผ่านเขตนี้ไป เชื่อว่าเดี๋ยวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“กินบัวหิมะพันปีเข้าไปทั้งดอก หนังศีรษะเปลี่ยนเป็นสีขาวมีอะไรน่าแปลกตรงไหน?” เหล่าอู๋เบ้ปากอยู่ข้างๆ เกิดความพะวงอยู่ในใจกับพฤติกรรมการปู้ยี้ปู้ยำสิ่งธรรมชาติของเยี่ยเทียน
“เหอะๆ ลุงอู๋ ผมไม่ได้ปล้นขโมยมาเสียหน่อย คนที่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาหิมะ เก็บได้มาก็ยังเอามาเป็นของตัวเองไม่ใช่เหรอ?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา ถ้าหากไม่ได้เห็นแก่ที่อีกฝ่ายตัวเองไว้ ไมว่าเขาจะพูดอย่างไรก็จะไปเอากลีบดอกบัวหิมะนั่นกลับคืนมา
หลังจากฟังคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหล่าอู๋ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะอีกฝ่ายพูดไม่ผิด เขาเป็นคนพบบัวหิมะ เดิมทีก็ต้องเป็นของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว หากตัวเองยังเป็นสือถานั่นนี่ก็จะดูเป็นคนใจแคบเกินไป
เมื่อเห็นผมของตัวเองที่เปลี่ยนเป็นสีดำไปเกือบครึ่ง เยี่ยเทียนก็แอบดีใจอยู่บ้าง เขารู้ดีว่า ตัวเองต้องสูญเสียอายุขัยไปเกิดจากการฝืนลิขิตพลิกชะตาให้อาจารย์ ตอนนี้ถือว่าได้ชดเชยกลับมาแล้ว เพียงแค่ใช้เวลาบำรุงร่างกายอีกสามถึงห้าเดือน จะต้องฟื้นฟูกลับมาเหมือนตอนแรกได้แน่นอน
……..
สถานที่ที่ผู้บัญชาการจางเชิญเฉินสี่ฉวนไปเป็นห้องส่วนตัวในร้านอาหารขึ้นชื่อของเขตปกครอง นอกจากเยี่ยเทียนและเฉินสี่ฉวนแล้ว ยังมีรองผู้กำกับการที่มาจากสถานีตำรวจในเขตปกครองอีกสองคน
ตามที่ผู้บัญชาการจางพูดมา อาหารบนโต๊ะนี้ล้วนเป็นโสมภูเขาที่มาจากภูเขาหิมะ เต็มโต๊ะจนผิดปกติ
ผู้บัญชาการจางชอบดื่ม เมื่อนั่งลงแล้วก็ดื่มกับเฉินสี่ฉวนไปสามถ้วย ซึ่งเป็นเหล้าสองร้อยห้าสิบกรัมต่อถ้วย เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เฉินคอแข็งใช้ได้ ดื่มไปสามถ้วยพูดจาก็ชักจะติดๆ ขัดๆ แล้ว
“เสี่ยวเยี่ย มา พวกเรามาดื่มกันสักถ้วย!” เมื่อเห็นเฉินสี่ฉวนไม่ใช่คุู่ต่อสู้ ผู้บัญชาการจางจึงมาหาเยี่ยเทียนแทน
เยี่ยเทียนได้ยินจึงยกถ้วยเหล้าลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ลุงจาง ผมทำให้คุณต้องเดือดร้อนแล้ว เหล้าถ้วยนี้ถือว่าแทนคำขอโทษจากผม คุณไม่ต้องดื่มนะครับ!”
หลังจากพูดจบ เยี่ยเทียนจึงดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด นี่คือเหล้าซาวเตาจึที่ครอบครัวชาวนาหมักเอง ดีกรีแรงไม่เบา พอดื่มลงท้องไปหนึ่งถ้วย เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงความร้อนวาบในท้องทันที
“ดี เหล่าเฉินดูคนไม่ผิด เด็กคนนี้มีอนาคตที่ดีแน่นอน!” คนที่ชื่นชอบสุรา ชอบที่สุดก็คือคนที่ดื่มเหล้าพรวดเดียวหมด ในหน่วยบังคับบัญชาทั้งหมดล้วนรู้ดี เวลาที่ผู้บัญชาการจางสนับสนุนคนนั้น ก็ใช้ความคอแข็งเป็นเกณฑ์มาตรฐาน
“ลุงจาง ผมขอดื่มเพื่อเคารพคุณหนึ่งถ้วยครับ!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเป็นคนรู้สึกช้า แต่เมื่อผ่านประสบการณ์ด้านความเป็นความตายมาหนึ่งครั้ง เขาก็ต้องการจะมอมเหล้าตัวเองเสียหน่อย แล้วจึงยกถ้วยเหล้าขึ้นหันไปทางผู้บัญชาการจางและเชิญตำรวจที่นั่งอยู่อีกสองคนให้ยกเหล้าขึ้นมา
การดื่มเหล้ารอบนี้ถึงกับหน้ามืดตาลาย พอถึงช่วงท้ายนอกจากเยี่ยเทียนที่ยังนั่งอยู่แล้ว คนที่่เหลือสองามคนต่างก็ลื่นไหลนอนสลบอยู่ใต้โต๊ะ
“ดื่มเก่งจริงๆ!”
เมื่อเห็นไหเหล้าที่กองอยู่ที่พื้นห้าร้อยกรัมทั้งหมดแปดไหแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนไปเรียกพนักงานมาช่วยแบกคนออกไปนั้น เสียงของเจ้าตัวน้อยก็ร้องดังมาจากกระเป๋า “จี จี”
“เป็นอะไร? แกก็อยากดื่มเหรอ?” ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังเกิดอารมณ์ครึ้มเหล้า จึงยกถ้วยเหล้าที่เหลืออีกนิดหน่อยขึ้นมาแล้ววางไปที่ปากของเฟอร์เร็ตด็ก
“จี จี…จี จี!” เฟอร์เร็ตเด็กใช้กรงเล้บหน้าขยับถ้วยออกไป แล้วกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะพลางร้องไม่หยุด
“อยากกินอาหารใช่ไหม?” ครั้งนี้เยี่ยเทียนเข้าใจแล้ว จึงใช้นิ้วมือชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะที่ไม่มีใครแตะ แล้วพูดว่า “ฉันชี้ไปอันไหน ถ้าอยากกินก็พยักหน้านะ!”
เยี่ยเทียนดื่มมากไปจริงๆ เวลานี้ได้ใช้คำพูดของมนุษย์พูดคุยอยู่กับเฟอร์เร็ตเด็ก แต่จะว่าไปก็แปลก เจ้าตัวน้อยราวกับเข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน พลางใช้กรงเล็บหน้าทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน แล้วผงกหัวน้อยๆ ของมันไปที่เยี่ยเทียนไม่หยุด
“อันนี้? อันนี้? อ๋อ อันนี้เหรอ?” เมื่อชี้อาหารติดต่อกันสองสามจาน และตอนที่เยี่ยเทียนชี้ไปที่น้ำแกงไก่หิมะตก เจ้าเฟอร์เร็ตเด็กก็ร้อง “จี จี” ขึ้นมา
ถือว่าเยี่ยเทียนยังพอมีสติ หยิบถ้วยเล็กมาตักน้ำแกงใส่ไปครึ่งถ้วย และฉีกเนื้อเป็นเส้นๆ อีกให้ แล้วจึงวางเฟอร์เร็ตเด็กลงบนโต๊ะ ดูแล้วเจ้าตัวเล็กคงจะหิวขนาดหนัก ซดน้ำแกงหมดในอึกเดียว แถมเนื้อที่ฉีกเป็นเส้นๆ นั้นก็ถูกมันกลืนลงไปขนหมดเกลี้ยง
“สำเร็จ ถ้าเจ้าอยู่กับพี่เยี่ย ต่อไปก็จะมีเนื้อไก่ให้กินทุกวัน!” เมื่อนำเฟอร์เร็ตเด็กใส่กลับไปในกระเป๋าแล้ว เยี่ยเทียนก็ล้มนอนบนโต๊ะและกรนขึ้นมา
“อื้ม อย่าเล่นน่า จั๊กกะจี้!”
เยี่ยเทียนที่กำลังหลับสนิทรู้สึกว่ามีคนกำลังเกาจมุกตัวเองอยู่ จึงลืมตาขึ้น แล้วจึงเห็นเจ้าเฟอร์เร็ตเด็กกำลังปีนเล่นซุกซนอยู่หน้าของตัวเอง และดวงตาที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดคู่หนึ่งก็สบตากับเยี่ยเทียนพอดี
“ฮ่าๆ เจ้าตัวเล็ก แกตื่นเร็วเหมือนกันนะ?”
การดื่มจนเมาไปเมื่อสองสามวันก่อนได้ทำให้อารมณ์ที่ตึงเครียดของเยี่ยเทียนได้เบาลางลง บวกกับร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว เขารู้สึกว่าสภาพตอนนี้ดีกว่าเก่ามาก
หลังจากตื่นนอนแล้ว เยี่ยเทียนพบว่าตัวเองก็ถูกคนอุ้มมานอนภายในห้องของรีสอร์ทเทียนฉือเช่นกัน พอเปิดผ้าม่านออก ก้มีแสงอาทิตย์สาดเข้ามาจากข้างนอกแล้ว
เมื่ออาบน้ำแบบลวกๆ แล้ว เยี่ยเทียนจึงออกไปสอบถามห้องพักของเฉินสี่ฉวน ขณะที่กำลังจะออกไปหา เฉินสี่ฉวนกับผู้บัญชาการจางก็เดินเข้ามาพอดี
ถึงแม้เมื่อวานจะถูกเยี่ยเทียนมอมเหล้าเมาจนเมามาย แต่ท่าทางของผู้บัญชาการจางที่มีต่อเยี่ยเทียนกลับมีความสนิทสนมและอบอุ่นใจมากขึ้น พอเดินเข้ามาก็พูดว่า “นายนี่ไม่เลวเลยนะ รอให้เข้าไปในเมือง แล้วพวกเราค่อยดื่มกันใหม่ ถ้าลุงจางอายุเท่านาย จะต้องดื่มชนะนายแน่นอน!”
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้บัญชาการจางแล้ว เยี่ยเทียนจึงรีบยกมือยอมแพ้ แล้วเอ่ยพูดว่า “ลุงจาง คุณลุงปล่อยผมไปเถอะครับ ตอนนี้ผมยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย วันหลังถ้าคุณลุงไปปักกิ่ง ผมจะให้คุณลุงดื่มให้หนำใจเลย!”
“ได้ อย่างนั้นพวกเราก็คำไหนคำนั้นนะ!”
พูดตามจริง ผู้บัญชาการจางก็ไม่กล้าดื่มกับเยี่ยเทียนอีกแล้ว เมื่อวานพวกเขาสามคนรุมเยี่ยเทียนคนเดียว ยังดื่มกันจนล้มไม่เป็นท่า ราวกับว่าท้องไส้ของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนหลุมดำที่กลืนกินทุกก็ไม่ปาน
หลังจากกินอาหารเช้าง่ายๆ เสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็นั่งรถของเฉินสี่ฉวนกลับมาที่อุรุมชี ห้องพักของโรงแรมได้คืนห้องไปนานแล้ว ได้ยินว่าตอนบ่ายจะมีรถกลับไปปักกิ่งหนึ่งเที่ยว เยี่ยเทียนจึงให้เฉินสี่ฉวนจองตั๋วนอนหนึ่งใบ
นอกจากบัตรประชาชนกับ “มีดสั้นอู๋เหิน” ที่ยังติดตัวอยู่ ตอนนี้เยี่ยเทียนก็ไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว ถ้าหากไม่มีเฉินสี่ฉวน ไม่แน่เขาคงต้องโทรกลับไปที่ปักกิ่งเพื่อขอความช่วยเหลือจากที่บ้านแล้ว
การมาเที่ยวซินเจียงในครั้งนี้ ของขลังวิเศษที่ล้ำค่าทั้งหกล้วนสูญหาย แต่กลับขจัดภัยพิบัติที่แฝงเร้นในอนาคตของพ่อได้ และยังรักษาโรคเก่าของตัวเองให้หายอีก เยี่ยเทียนจึงพูดไม่ถูกว่าได้กำไรหรือขาดทุน